- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- เปิดผลสอบ สตง. ฟันธง หอพัก มทร.ตะวันออก แพงเกินจริง 46 ล. –เอื้อเอกชน ?
เปิดผลสอบ สตง. ฟันธง หอพัก มทร.ตะวันออก แพงเกินจริง 46 ล. –เอื้อเอกชน ?
หมายเหตุ : เป็นรายละเอียดผลการสอบสวน กรณี ข้อร้องเรียน การก่อสร้างหอพักน.ศ. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก (มทร.ตะวันออก) และกรณีรองศาสตราจารย์ไพบูลย์ มากจันทร์ อดีตอธิการบดีมทร.ตะวันออกได้ใช้อำนาจอธิการบดีลงนามในสัญญากู้เงินจำนวน 260 ล้านบาท จากธนาคารกรุงไทย เพื่อนำมาจ่ายให้กับบริษัทกำจรกิจก่อสร้าง จำกัด ผู้รับเหมาโครงการก่อสร้างหอพักนักศึกษา ทั้งที่ อยู่ในช่วงถูกสั่งพักราชการ ของ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)
ในปี 2546 คณะเกษตรศาสตร์บางพระ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ได้จัดทำโครงการก่อสร้างหอพักสวัสดิการนักศึกษา โดยให้เอกชนลงทุนก่อสร้างยกกรรมสิทธิ์ให้สถาบันฯและโอนกรรมสิทธิ์ให้สถาบันฯบริหารจัดการจัดเก็บและแบ่งผลประโยชน์ส่งคืนแก่ผู้ลงทุนในระยะเวลาที่กำหนด
ในการดำเนินการ คณะเกษตรศาสตร์บางพระ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ได้จัดทำโครงการเป็นลักษณะโครงการจ้างเหมาแบบเบ็ดเสร็จ โดยให้เอกชนเข้ามาลงทุนก่อสร้างก่อสร้างหอพัก กำหนดแบบแปลนการก่อสร้าง ประมาณการก่อสร้าง และเสนอแผนการเก็บค่าเช่าจากนักศึกษา
คณะเกษตรศาสตร์บางพระ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ได้มีคำสั่งที่ 89/2546 ลงวันที่ 9 พฤษภาคม 2546 แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อดำเนินการคัดเลือกผู้ลงทุนจัดสร้างหอพักสวัสดิการนักศึกษา สำหรับคณะกรรมการพิจารณาผลการคัดเลือกผู้ลงทุนจัดสร้างหอพักสวัสดิการนักศึกษา ประกอบด้วย
1 นายไพบูลย์ มากจันทร์ อธิการบดี เป็นประธานกรรมการ
2. นายพูลเกียรติ์(กนกพล)นาคะวิวัฒน์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ระดับ 8 กรรมการ
3. นายนิคม สาคร ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ระดับ 8 กรรมการ
4. นายรังสรรค์ เจ๊ะโว๊ะ กรรมการ
5. นางจุฬาภรณ์ ตันติประสงค์ กรรมการ
6. นายผดุงศักดิ์ วานิชชัง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ระดับ 8 กรรมการ
7. นายจรุงชาติ ศุภพิชญ์นาม อาจารย์ 2 ระดับ 7 กรรมการ
8. นายไพฑูรย์ นิลเศรษฐ์ ผู้ปฏิบัติงานบริหารระดับ 5 กรรมการ
เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2546 รองศาสตราจารย์ไพบูลย์ มากจันทร์ คณบดีคณะเกษตรศาสตร์บางพระ ปฏิบัติราชการแทนอธิบการบดีสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ได้ทำหนังสือประกาศเชิญชวนลงทุนจัดสร้างหอพักสวัสดิการนักศึกษา ในพื้นที่ดินของสถาบันฯ
โดยระบุว่าเป็นการลงทุนในกิจการของรัฐ ณ คณะเกษตรศาสตร์บางพระ การยื่นซองเสนองาน แยกเอกสารเป็น 4 ส่วน คือ เอกสารส่วนที่ 1 การตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เสนองาน,เอกสารส่วนที่ 2 เอกสารประกอบการยื่นซองเสนองาน พร้อมหนังสือค้ำประกัน(หลักประกันซอง),เอกสารส่วนที่3 ซองข้อเสนอด้านเทคนิคเกี่ยวกับการดำเนินการลงทุนและการจัดสร้างหอพักสวัสดิการนักศึกษา พร้อมข้อเสนออื่นๆ (ถ้ามี),เอกสารส่วนที่ 4 ซองข้อเสนอด้านราคา
มีผู้ซื้อแบบจำนวน 3 ราย คือ บริษัท ธนะสินพัฒนา-วิวัฒน์ก่อสร้าง จำกัด, บริษัทกำจรกิจก่อสร้าง จำกัด, บริษัทเหมืองแร่สายทอง จำกัด
มีผู้เสนอราคาเพียง 1 ราย คือ บริษัท กำจรกิจก่อสร้าง จำกัด เสนอราคารวมภาษีมูลค่าเพิ่ม จำนวน 260,000,000บาท กำหนดส่งมอบภายใน 300 วัน พร้อมยื่นตารางการคืนทุน ประมาณการรายรับ-รายจ่ายทั้งโครงการ ระยะเวลา 25 ปี โดยเริ่มต้นเก็บจากนักศึกษาจำนวน 800บาทต่อคนต่อเดือนในปีแรกและมีการปรับเพิ่มค่าเช่า 20% ทุก 4 ปี
โดยตามแผนของผู้เสนอราคาระบุว่า การชำระหนี้ให้ชำระทุกสิ้นเดือน จำนวน 12 เดือน/ปี และหมายเหตุตารางการคืนทุน ข้อ4 สถาบันสามารถผ่อนคืนเงินลงทุนมากกว่าที่กำหนด จะทำให้ระยะเวลาคืนทุนลดลงแสดงให้เห็นว่า สถาบันจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในผลดำเนินการจัดเก็บรายได้
ในการพิจารณาผลการคัดเลือกผู้ลงทุนจัดสร้างหอพักสวัสดิการนักศึกษา คณะกรรมการฯพิจารณา เพียงแต่ว่าคุ้มค่าต่อการลงทุน ราชการไม่เสียประโยชน์ คณะกรรมการได้ต่อรองราคา คณะกรรมการเห็นว่าคุ้มค่าต่อการลงทุน โดยไม่มีการพิจารณาเกี่ยวกับผู้ลงทุนจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในผลการดำเนินการ กำไร ขาดทุนของตนเอง แต่กลับให้สถาบันฯเป็นผู้รับผิดชอบแทน และไม่มีการพิจารณาเกี่ยวกับค่าวัสดุก่อสร้างว่ามีราคาที่สูงเกินความเป็นจริงหรือไม่
จากการคำนวณราคางานก่อสร้างโครงการจัดสร้างหอพักสวัสดิการนักศึกษาพร้อมสิ่งก่อสร้างส่วนควบอื่นๆ อุปกรณ์และงานระบบต่างๆโดยวิศวกรของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคที่ 2 ได้คำนวณตามหลักเกณฑ์การกำหนดราคากลาง ซึ่งใช้ราคาวัสดุก่อสร้างของสำนักงานพาณิชย์จังหวัดชลบุรี เป็นเงินจำนวนเงิน 213,439,166.30บาท (รายละเอียดตามเอกสารหมายเลข 16) แต่ราคาที่คณะกรรมการพิจารณาผลการคัดเลือกผู้ลงทุนฯได้พิจารณาเห็นชอบตามราคางานก่อสร้างที่บริษัทกำจรกิจก่อสร้าง จำกัด ผู้เสนอราคา จำนวนเงิน 260,000,000บาท ซึ่งสูงกว่าราคาที่คำนวณตามหลักเกณฑ์การกำหนดราคากลางจำนวน 46,560,833.70บาท(260,000,000 – 213,439,166.30)โดยไม่มีราคาเปรียบเทียบ
เนื่องจากมีผู้เสนอราคาเพียงรายเดียว ทำให้ไม่มีข้อเปรียบเทียบได้ว่าบริษัทกำจรกิจก่อสร้าง จำกัด เสนอราคาที่เหมาะสมหรือไม่
และเมื่อพิจารณาด้านราคา คณะกรรมการฯควรนำหลักเกณฑ์การกำหนดราคากลางมาคำนวณถึงราคาที่ถูกต้องซึ่งต้องใช้ราคาพาณิชย์จังหวัดชลบุรีซึ่งเป็นราคาวัสดุในพื้นที่ก่อสร้างนำมาคำนวณเปรียบเทียบเพื่อหาราคาที่แท้จริง แต่ก็ไม่นำมาเปรียบเทียบเพื่อต่อรองเรื่องราคา แต่กลับทำความเห็นว่าราคาของบริษัทกำจรกิจก่อสร้าง จำกัด เป็นราคาที่เหมาะสม ทำให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออกสร้างหอพักในราคาที่สูงกว่าความเป็นจริง 46,560,833.70บาท ทำให้การคำนวณค่าเช่าหอพักนักศึกษาสูงกว่าความเป็นจริงประกอบกับการพิจารณาผู้เสนอราคารายเดียวจึงไม่มีการเปรียบเทียบราคากับรายอื่น
เห็นว่าการดำเนินการของคณะกรรมการฯ พิจารณาราคาเอื้อประโยชน์ให้ผู้เสนอราคา เสนอมูลค่างานสูงกว่าความเป็นจริง เป็นเงิน 46,560,833.70บาท พฤติการณ์น่าเชื่อว่าเป็นการทุจริต ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ เข้าข่ายมาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542
การทำสัญญา รองศาสตราจารย์ไพบูลย์ มากจันทร์ คณบดีคณะเกษตรศาสตร์บางพระ ปฏิบัติหน้าที่แทนอธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีราชมงคลได้ทำสัญญาสร้างหอพักสวัสดิการนักศึกษาฯ กับ บริษัทกำจรกิจก่อสร้าง จำกัด เป็นเงิน 260,000,000บาทตามสัญญาเลขที่ 1/2546 ลงวันที่ 2 ธันวาคม 2546 ตามเงื่อนไขการจัดสรรผลประโยชน์ ข้อ 9.1 สถาบันฯจะต้องโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารตามที่ผู้ลงทุนแจ้งเป็นหนังสือให้ทราบ หากส่งมอบเงินดังกล่าวล่าช้ากว่ากำหนด สถาบันจะต้องชดใช้ดอกเบี้ยการส่งมอบเงินล่าช้าให้แก่ผู้ลงทุนในอัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 7.5 ต่อปี ของจำนวนเงินที่ยังไม่ได้ส่งมอบให้ผู้ลงทุนตามกำหนดระยะเวลานั้นๆ
ทั้งนี้สถาบันจะแจ้งการส่งมอบเงินพร้อมส่งสำเนาหลักฐานใบเสร็จรับเงินเป็นหนังสือให้แก่ผู้ลงทุนภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้โอนเงินให้แก่ผู้ลงทุน และข้อ 9.2 สถาบันจะต้องรับผิดชอบในผลการดำเนินการบริหารจัดการหอพักสวัสดิการนักศึกษาที่สถาบันกำกับดูแลแทนผู้ลงทุน โดยจะต้องจัดนักศึกษาเข้าพักไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของจำนวนห้องทั้งหมด
เห็นว่า คณะเกษตรศาสตร์บางพระทำสัญญาเสียเปรียบที่ต้องเป็นผู้จัดเก็บค่าเช่าและต้องรับภาระในการเสียดอกเบี้ยให้แก่บริษัทกรณีส่งเงินล่าช้า ซึ่งผู้ลงทุนควรรับผิดชอบเองในการลงทุน และสัญญาข้อ 11 การยินยอมให้สถาบันฯชำระเงินลงทุนก่อนหมดอายุสัญญา ผู้ลงทุนยินดีให้ทางสถาบันฯรับภาระการชำระเงินตามมูลค่าของโครงการจัดสร้างหอพักสวัสดิการนักศึกษาของสถาบันแทนผู้ลงทุนได้ก่อนหมดระยะเวลาแห่งสัญญานี้ เมื่อสถาบันฯมีหนังสือแจ้งความประสงค์ขอรับภาระการชำระเงินลงทุนในส่วนที่เหลือทั้งหมดแทนผู้ลงทุน โดยพิจารณาค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินที่ลงทุนตามวิธีการคำนวณแบบเส้นตรง
เห็นว่า การกำหนดเงื่อนไขดังกล่าวเพื่อรองรับในการขอซื้อคืนค่าก่อสร้างของเอกชน หลังจากโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ คณะเกษตรศาสตร์บางพระได้เก็บค่าเช่าจากนักศึกษาเพื่อจัดส่งให้บริษัทกำจรกิจก่อสร้าง จำกัดรวมจำนวน 16 งวด เป็นเงิน 14,475,881.96 บาทและ ต่อมาคณะเกษตรศาสตร์บางพระได้ยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก ได้นำเรื่องขอความเห็นชอบการ Refinance โครงการจัดสร้างหอพักสวัสดิการนักศึกษา เข้าประชุมสภามหาวิทยาลัย ครั้งที่ 10/ 2549 วันที่ 28 พฤศจิกายน 2549 ซึ่งมติสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออกเห็นชอบในหลักการรับซื้อคืนจากผู้ลงทุนโดยกู้เงินจากสถาบันการเงินให้มหาวิทยาลัยดำเนินการได้ตามเสนอ
วันที่ 31 มกราคม 2550 สภามหาวิทยาลัยฯได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงและพักการปฏิบัติหน้าที่ของอธิการบดี เนื่องจากมีการถูกร้องเรียนว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยให้รองศาสตราจารย์ไพบูลย์ มากจันทร์ พักการปฏิบัติหน้าที่ราชการในตำแหน่งอธิการบดี ต่อมาเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2551 สภามหาวิทยาลัยฯมีมติให้พักการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งอธิการบดีของ รศ.ไพบูลย์ มากจันทร์ จนกว่าจะสั่งการเป็นอย่างอื่น ตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม 2551 เป็นต้นไป แต่ปรากฏว่า ในระหว่างที่ถูกสั่งพักราชการ รองศาสตราจารย์ไพบูลย์ มากจันทร์ อธิการบดียังคงฝ่าฝืนคำสั่งโดยยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไป และได้ซื้อคืนโครงการจัดสร้างหอพักสวัสดิการนักศึกษาฯทั้งโครงการจากบริษัทกำจรกิจก่อสร้าง จำกัด เป็นเงิน 260,000,000บาท โดยไม่มีการตรวจสอบก่อนว่าราคาที่ผู้ร่วมลงทุน(บริษัทกำจรกิจก่อสร้าง จำกัด)ก่อสร้างสูงเกินจริงหรือไม่และโครงการดังกล่าวมีการชำระเงินให้บริษัทกำจรกิจก่อสร้างจำกัด เพียงจำนวน 16 งวดเป็นเงิน 14,475,881.96บาท ก็ได้จัดซื้อคืนโครงการคืนจากผู้ร่วมลงทุน ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งสภามหาวิทยาลัยที่สั่งให้พักการปฏิบัติหน้าที่
เห็นว่า การกระทำของรองศาสตราจารย์ไพบูลย์ มากจันทร์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออกเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใด เข้าไปมีส่วนได้เสียสำหรับตนเองหรือผู้อื่นเนื่องด้วยกิจการนั้น ทำให้ทางราชการได้รับความเสียหาย จำนวน 46,560,833.70บาท
ซึ่งกรณีดังกล่าวมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออกได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยรองศาสตราจารย์ไพบูลย์ มากจันทร์ โดยคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาแล้วมีความเห็นว่า การกระทำของรองศาสตราจารย์ไพบูลย์ มากจันทร์ เป็นความผิดฐานปฏิบัติหรือการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการและเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง สมควรลงโทษไล่ออกจากราชการ
พฤติการณ์ของรองศาสตราจารย์ไพบูลย์ มากจันทร์ น่าเชื่อว่าเป็นการทุจริต ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ เข้าข่ายมาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542 และเป็นการฝ่าฝืนระเบียบคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินว่าด้วยวินัยทางงบประมาณและการคลัง พ.ศ.2544 กรณีเป็นเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการทำสัญญาซื้อขายหรือจ้าง ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายหรือระเบียบที่ใช้บังคับกับหน่วยรับตรวจ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ