- Home
- Isranews
- ตะกร้าข่าว
- กฤษฎีกาชี้ ขาดอายุความแล้ว หลังอดีตบิ๊กสปช.เรียกร้องให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
กฤษฎีกาชี้ ขาดอายุความแล้ว หลังอดีตบิ๊กสปช.เรียกร้องให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
ล่วงพ้นระยะเวลาสิบปีนับแต่วันทำละเมิด กฤษฎีกาชี้อดีตบิ๊กสปช.เรียกร้องหน่วยงานรัฐให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ขาดอายุความแล้ว
เมื่อเร็วๆ นี้ เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เผยแพร่บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง การยื่นคำขอให้หน่วยงานของรัฐชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับ ความเสียหายที่เกิดจากการออกคำสั่งลงโทษทางวินัยข้าราชการ
ทั้งนี้ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการได้มีหนังสือ ที่ ศธ 0209/12509 ลงวันที่ 31 สิงหาคม 2560 ถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ขอหารือปัญหาเกี่ยวกับการพิจารณาคำขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน สรุปข้อเท็จจริงได้ ดังนี้
1. กระทรวงศึกษาธิการได้มีคำสั่ง ที่ สป 493-498/2542 ลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2542 ลงโทษทางวินัยข้าราชการพลเรือนสามัญรวมหกราย ดังนี้
1.1 ลงโทษไล่นายพิสิษฐ์ ศิวิลัย และนายชัชวาลย์ วัดอักษร ออกจากราชการ ฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ และฐานประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 82 วรรคสาม และมาตรา 84 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535
1.2 ลงโทษปลดนายกมล ภู่ประเสริฐ นายยุทธชัย อุตมา นายเลี่ยม พูลเอี่ยม และนายเกียรติ อัมพรายน์ ออกจากราชการ ฐานประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 84 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนฯ
ต่อมาข้าราชการทั้งหกรายได้อุทธรณ์คำสั่งลงโทษดังกล่าวต่อคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) โดยนายกรัฐมนตรีได้พิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ยกอุทธรณ์ตามข้อเสนอของ ก.พ. และมีหนังสือลงวันที่ 2 กันยายน 2545 แจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้ข้าราชการทั้งหกรายทราบ
2. ผู้ถูกลงโทษทางวินัยทั้งหกรายได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองชั้นต้นขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนคำสั่งลงโทษทางวินัย และให้กระทรวงศึกษาธิการมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีกลับเข้ารับราชการและคืนสิทธิอันพึงมีพึงได้ตั้งแต่วันลงโทษ ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 แต่มิได้ฟ้องขอให้ศาลปกครองมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองและเรียกให้กระทรวงศึกษาธิการรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 9 (3) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ
ซึ่งศาลปกครองได้รวมการพิจารณาและศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ. 654-659/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อ. 832-837/2556 เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2556 สรุปได้ว่า การพิจารณาทางปกครองของคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยและของ อ.ก.พ. กระทรวงศึกษาธิการในกรณีของผู้ฟ้องคดีทั้งหกรายนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากมีบุคคลที่มีสภาพร้ายแรงอันอาจทำให้การพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลางร่วมเป็นกรรมการอยู่ด้วย การที่ปลัดกระทรวงศึกษาธิการมีคำสั่งลงโทษทางวินัยผู้ฟ้องคดีทั้งหกรายตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยและมติ อ.ก.พ. กระทรวงศึกษาธิการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงมีผลทำให้คำสั่งลงโทษทางวินัยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามไปด้วย และการที่นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งยกอุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน จึงพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งลงโทษทางวินัยผู้ฟ้องคดีทั้งหกรายและเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ให้ยกอุทธรณ์ โดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่คำสั่งดังกล่าวมีผลบังคับ
3. ในเดือนมิถุนายน 2557 ผู้ถูกลงโทษทางวินัยจำนวนห้าราย ได้แก่ นายพิสิษฐ์ฯ นายกมลฯ นายชัชวาลย์ฯ นายเลี่ยมฯ และนายเกียรติฯ ได้มีหนังสือถึงปลัดกระทรวงศึกษาธิการขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายจากการถูกลงโทษทางวินัย แต่โดยที่ในปี พ.ศ. 2546ได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารงานภายในกระทรวงศึกษาธิการตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 เป็นผลให้นายชัชวาลย์ฯ นายเลี่ยมฯ และนายเกียรติฯ อยู่ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ส่วนนายพิสิษฐ์ฯ และนายกมลฯ ยังอยู่ในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ดังนั้น สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการจึงพิจารณาคำขอเฉพาะรายนายพิสิษฐ์ฯ และนายกมลฯ โดยนายพิสิษฐ์ฯ ได้มีหนังสือลงวันที่ 3 มิถุนายน 2557 และนายกมลฯ ได้มีหนังสือลงวันที่5 มิถุนายน 2557 ถึงปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่พ.ศ. 2539 โดยระบุว่ารวมถึงเงินเดือน เงินบำนาญ ค่าเช่าบ้าน ตลอดจนดอกเบี้ยผิดนัดร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามจำนวนเงินต้นและเวลาผิดนัด การเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ค่าเสียโอกาสได้รับเบี้ยประชุม การเยียวยาความเสียหายทางด้านจิตใจ ซึ่งสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการได้รับหนังสือของบุคคลทั้งสองเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2557
4 สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการได้มีหนังสือ ลับ ถึงกรมบัญชีกลาง หารือเกี่ยวกับสิทธิของนายพิสิษฐ์ฯ และนายกมลฯ ในการได้รับเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และเงินค่าเช่าบ้าน รวมทั้งดอกเบี้ยผิดนัดของเงินดังกล่าวตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ซึ่งกรมบัญชีกลางได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ถึงสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ แจ้งความเห็นสรุปได้ว่า นายพิสิษฐ์ฯ และนายกมลฯ มีสิทธิได้รับเงินเดือนเต็มจำนวนระหว่างถูกไล่ออกจากราชการและปลดออกจากราชการจนถึงวันก่อนเกษียณอายุราชการ ส่วนสิทธิในการได้รับเงินประจำตำแหน่งของบุคคลทั้งสองย่อมเป็นไปตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายดังกล่าวต่อไป และกรณีเงินค่าเช่าบ้าน บุคคลทั้งสองย่อมมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านในช่วงเวลาที่ถูกไล่ออกจากราชการและปลดออกจากราชการ
สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการพิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้การพิจารณาคำขอชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย จึงขอหารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในประเด็นดังต่อไปนี้
1. กรณีที่ผู้เสียหายสามารถฟ้องต่อศาลปกครองให้พิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของกระทรวงศึกษาธิการ และเรียกให้กระทรวงศึกษาธิการรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนพร้อมกับการฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งลงโทษทางวินัยได้ แต่ผู้ฟ้องคดีไม่ได้ฟ้องต่อศาลในส่วนที่เกี่ยวกับการกระทำละเมิด แล้วต่อมาเมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งลงโทษทางวินัย ผู้เสียหายจะมีสิทธิยื่นคำขอต่อหน่วยงานของรัฐให้พิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้หรือไม่ อย่างไร
2. เงินเดือน เงินเดือนตามที่ได้มีการเลื่อนขั้นเงินเดือน บำเหน็จ บำนาญเงินประจำตำแหน่ง เงินหรือสิทธิประโยชน์อื่นที่สามารถคำนวณเป็นเงินได้ซึ่งจ่ายให้แก่ผู้เสียหายโดยเป็นการจ่ายตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือตามมติขององค์กรหรือหน่วยงานที่มีอำนาจพิจารณาอนุมัติ เช่น ก.พ. จะถือว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นค่าสินไหมทดแทนที่หน่วยงานของรัฐจะต้องนำมาพิจารณาชดใช้ให้ผู้เสียหายหรือไม่ อย่างไร
3. คำขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต้องยื่นต่อหน่วยงานของรัฐภายในระยะเวลาใด เป็นอายุความหรือไม่ อย่างไร
4. ถ้าเป็นกรณีที่มีอายุความ คำขอของนายพิสิษฐ์ฯ และนายกมลฯ ที่ให้สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน อายุความจะเริ่มนับตั้งแต่เมื่อใด และถือว่าคำขอดังกล่าวขาดอายุความหรือไม่
5. กรณีที่คำขอขาดอายุความแล้ว ปลัดกระทรวงศึกษาธิการในฐานะหัวหน้าหน่วยงานของรัฐสามารถวินิจฉัยตัดสิทธิของนายพิสิษฐ์ฯ และนายกมลฯ ได้เองโดยไม่ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดขึ้นพิจารณา หรือยังต้องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดขึ้นก่อนเพื่อพิจารณาเสนอความเห็นต่อปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
6. กรณีที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยผิดนัดร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ฯ ประกอบกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการสามารถพิจารณาจ่ายให้แก่ผู้ยื่นคำขอได้ แม้ว่ากฎหมาย กฎ และระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินเดือน เงินเดือนตามที่ได้มีการเลื่อนขั้นเงินเดือน บำเหน็จ บำนาญเงินประจำตำแหน่ง เงินหรือสิทธิประโยชน์อื่นใดที่สามารถคำนวณเป็นเงินได้ จะไม่ได้กำหนดเรื่องดอกเบี้ยใช่หรือไม่ อย่างไร
คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) เห็นว่าข้อหารือของสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการมีประเด็นที่ต้องพิจารณารวมสี่ประเด็นและมีความเห็นในแต่ละประเด็น ดังนี้
ประเด็นที่หนึ่ง นายพิสิษฐ์ ศิวิลัย และนายกมล ภู่ประเสริฐ มีสิทธิยื่นคำขอให้สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการพิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือไม่ และต้องยื่นคำขอภายในระยะเวลาใด
เห็นว่า เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า กระทรวงศึกษาธิการได้มีคำสั่งลงโทษทางวินัยนายพิสิษฐ์ฯ และนายกมลฯ เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2542 แต่บุคคลทั้งสองได้ยื่นคำขอให้กระทรวงศึกษาธิการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2557 และวันที่ 5 มิถุนายน 2557 ตามลำดับ จึงเป็นการยื่นคำขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อล่วงพ้นระยะเวลาสิบปีนับแต่วันทำละเมิดแล้ว สิทธิเรียกร้องให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของนายพิสิษฐ์ฯ และนายกมลฯ จึงขาดอายุความ
ประเด็นที่สอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการต้องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดฯ หรือไม่
เห็นว่า เมื่อความเสียหายในกรณีที่หารือมานี้เกิดจากการออกคำสั่งลงโทษทางวินัยของกระทรวงศึกษาธิการซึ่งเป็นคำสั่งทางปกครอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการจึงมีคำสั่งเกี่ยวกับคำขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของนายพิสิษฐ์ฯ และนายกมลฯ ได้โดยไม่ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด
ประเด็นที่สาม เงินเดือนหรือสิทธิประโยชน์อื่นที่สามารถคำนวณเป็นเงินได้ซึ่งสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการได้จ่ายให้แก่นายพิสิษฐ์ฯ และนายกมลฯ ตามกฎหมาย กฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้อง ถือเป็นค่าสินไหมทดแทนหรือไม่
เห็นว่า เงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งที่สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการได้จ่ายให้แก่นายพิสิษฐ์ฯ และนายกมลฯ ภายหลังจากศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งลงโทษทางวินัยแล้ว เป็นเงินที่หน่วยงานของรัฐจ่ายให้แก่บุคคลทั้งสองเพื่อเยียวยาหรือบรรเทาความเดือดร้อนในระหว่างที่ถูกลงโทษทางวินัยตามสิทธิที่พึงมีพึงได้ตามกฎหมาย กฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้องเท่านั้น มิใช่ค่าสินไหมทดแทนที่ต้องชดใช้เพื่อทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่บุคคลทั้งสองอันเนื่องมาจากการกระทำละเมิดแต่อย่างใด
ประเด็นที่สี่ กรณีที่สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการต้องจ่ายดอกเบี้ยผิดนัดเป็นส่วนหนึ่งของค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ฯ ประกอบกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หากกฎหมาย กฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินเดือนหรือสิทธิประโยชน์อื่นที่สามารถคำนวณเป็นเงินได้มิได้กำหนดเรื่องดอกเบี้ยไว้ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการจะพิจารณาจ่ายดอกเบี้ยผิดนัดให้แก่นายพิสิษฐ์ฯ และนายกมลฯ ได้หรือไม่ อย่างไร นั้น เมื่อได้ให้ความเห็นในประเด็นที่หนึ่งแล้วว่า สิทธิเรียกร้องให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของนายพิสิษฐ์ฯ และนายกมลฯ ขาดอายุความแล้ว จึงไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาในประเด็นนี้
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับข้าราชการ ศธ. จำนวน 6 ราย ถูกคำสั่งคำสั่งกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ลงโทษกรณีการจัดซื้อห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์และจัดซื้อโปรแกรมบริหารโรงเรียนประถมศึกษา จำนวน 5,999 หน่วย วงเงิน 360 ล้านบาท เพื่อใช้กับโรงเรียน 30,000 โรง ตั้งแต่ พ.ศ.2542 หลังถูกร้องเรียนว่า มีการล็อกสเปกจัดซื้อ ในสมัยรัฐบาลพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี โดยนายสุขวิช รังสิตพล เป็น รมว.ศึกษาธิการในขณะนั้น กระทั่งปี 2557 คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดที่ให้เพิกถอนคำสั่งไล่ออก ปลดออกข้าราชการ ศธ. จำนวน 6 ราย