ถึงเงินเฟ้อจะต่ำ แต่ปัญหาปากท้องยังเป็นเรื่องใหญ่
ถึงเงินเฟ้อจะต่ำ แต่ปัญหาปากท้องยังเป็นเรื่องใหญ่
ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2556 อัตราเงินเฟ้อของประเทศไทยอยู่ในระดับที่ไม่สูงนัก โดยในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มีค่าเท่ากับ 2.25% แต่ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ปัญหา “ของแพง” ยังเป็นปัญหาหลักที่ประชาชนต้องการให้รัฐบาลแก้ไขอย่างเร่งด่วน
บทวิเคราะห์นี้ต้องการชี้ให้เห็นว่าความขัดแย้งกันระหว่างตัวเลขของภาครัฐที่ยืนยันว่า ปัญหาเงินเฟ้อไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลใจกับความรู้สึกของประชาชนที่รู้สึกว่าเงินในกระเป๋ามีค่าน้อยลงเรื่อยๆ นี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร
มุมมองที่แตกต่างกันนี้ เกิดจากการตีความคำว่า “ของแพง” ที่ไม่เหมือนกัน รัฐบาลมักจะมองว่าปัญหาของแพงจะเกิดขึ้นเมื่ออัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่สูง แต่ประชาชนประเมินปัญหาของแพงจากการใช้จ่ายประจำวัน เพื่อให้เห็นความแตกต่างระหว่างมุมมองทั้งสองด้าน บทวิเคราะห์นี้จะนำเสนอข้อมูลสองชุดด้วยกัน
ชุดแรก เป็นดัชนีราคาผู้บริโภคในภาพรวม ซึ่งใช้เป็นฐานในการคำนวณอัตราเงินเฟ้อของประเทศ
ชุดที่สอง เป็นข้อมูลที่นำเอาดัชนีราคาเฉพาะอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่ใช่แอลกอฮอล์มาคำนวณโดยมีการปรับค่าน้ำหนักของสินค้าในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์เสียใหม่ โดยจะขอเรียกดัชนีชุดที่สองนี้ว่า “ดัชนีปากท้อง” เพราะเป็นตัวชี้วัดซึ่งเกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันมากที่สุด จึงสามารถใช้สะท้อนความรู้สึกของประชาชนเกี่ยวกับปัญหาของแพงได้ดีกว่าดัชนีราคาผู้บริโภคในภาพรวม
รูปที่นำเสนอแสดงผลของการคำนวณดัชนีปากท้องเทียบกับดัชนีราคาผู้บริโภคในภาพรวม จะเห็นได้ว่า ตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคม 2555 อัตราเงินเฟ้อที่คำนวณจากดัชนีปากท้องอยู่ในระดับที่สูงกว่าดัชนีราคาผู้บริโภคมาตลอด โดยในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อปากท้องมีค่าเท่ากับ 5.25% ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อในภาพรวมมีค่าเพียง 2.25% ดังนั้นโดยเปรียบเทียบแล้ว อัตราเงินเฟ้อปากท้องมีค่ามากว่าถึง 2.3 เท่า การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของดัชนีปากท้องนี้ จึงสอดคล้องกับความเห็นของประชาชนที่รู้สึกว่าของแพงขึ้น
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ดัชนีปากท้องเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว มีสาเหตุมาจากนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ที่เพิ่มกำลังซื้อของผู้ใช้แรงงาน และทำให้ต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการสูงขึ้น จึงส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อราคาสินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งเป็นสิ่งต้องบริโภคทุกวัน นอกจากนโยบายค่าแรงขั้นต่ำแล้ว ปัญหาภัยแล้งในช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมาก็ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารมีราคาเพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน
ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์วิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับปัญหาของแพงว่าเป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องแก้ไขโดยด่วน เพราะกระทบกับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย
“ถึงแม้อัตราเงินเฟ้อจะต่ำ แต่ปัญหาปากท้องได้กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องได้รับการแก้ไขโดยด่วน ปัญหาอาหารแพงในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ทำให้เงิน 300 บาท มีอำนาจซื้อลดลงเป็น 290 บาท หากแนวโน้มยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ภายในสิ้นปี 2557 ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทจะมีค่าเหลือประมาณ 250 บาท ใกล้เคียงกับค่าแรงขั้นต่ำในกรุงเทพและปริมณฑลก่อนมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ นั่นแสดงว่า สุดท้ายแล้วนโยบายนี้จะไม่สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานในพื้นที่เหล่านี้ได้อย่างยั่งยืน”
ดร.เกียรติอนันต์ ยังกล่าวอีกว่า ปัญหานี้เป็นผลจากกำลังซื้อและต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นไปพร้อมๆ กัน การแก้ปัญหาจึงต้องเป็นการแก้ทั้งระบบ หากเลี่ยงได้ รัฐบาลไม่ควรใช้นโยบายกระตุ้นกำลังซื้ออีก เพราะนโยบายนี้ใช้เวลาไม่นานก็จะกระทบกับค่าครองชีพ แต่การแก้ปัญหาด้วยการบรรเทาผลกระทบด้านต้นทุนนั้น เกี่ยวข้องกับการปรับโครงสร้างของการผลิตทั้งอุตสาหกรรม เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล ดังนั้น สิ่งที่พอจะทำได้ในระยะสั้น คือ การบริหารความคาดหวังของประชาชน ด้วยการแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับปัญหานี้อย่างจริงจัง และจะไม่ออกนโยบายในการกระตุ้นให้เกิดเงินเฟ้อออกมาอีก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่า ของจะไม่แพงขึ้นไปรวดเร็วเหมือนในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา
“ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า นโยบายลดค่าครองชีพ เช่น ร้านโชว์สวยและโครงการธงฟ้า มีข้อจำกัดไม่สามารถเข้าถึงประชาชนได้อย่างทั่วถึง หากยังเดินหน้าด้วยแนวทางนี้ต่อไป ย่อมส่งผลต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาล อาจถูกมองว่าไม่มีความสามารถในการบริหารจัดการเศรษฐกิจ ก้าวแรกของการแก้ปัญหา เริ่มจากการยอมรับว่าปัญหาของแพงเป็นเรื่องจริง ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลต้องเข้าใจว่า การมองปัญหาคุณภาพชีวิตของประชาชนนั้น จะอิงอยู่กับตัวเลขในภาพรวมเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องรู้จักมองในรายละเอียด เพื่อจะแก้ปัญหาให้ตรงจุดอย่างแท้จริง”
