ศาลปค.ยกฟ้องคดีห้ามฉาย ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ เนื้อหาขัดศีลธรรม
ศาลปค.พิพากษายกฟ้อง คดีสั่งห้ามฉายหนัง ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ ชี้คกก.พิจารณาภาพยนตร์ฯ ใช้ดุลยพินิจถูกต้อง มีเนื้อหาสร้างความเเตกเเยก ความสงบเรียบร้อย ศีลธรรมอันดี ปชช.

วันที่ 11 ส.ค. 2560 ศาลปกครองกลางอ่านคำพิพากษา ในคดีหมายเลขดำที่ 1321/2555 คดีหมายเลขแดงที่ 1419/2560 คดีพิพาทระหว่าง นายมานิต ศรีวานิชภูมิ ที่ 1 และนางสาวสมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ ที่ 2 (ผู้ฟ้องคดี) กับ คณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ที่ 1 คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ คณะที่ 3 ที่ 2 และกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ที่ 3 (ผู้ถูกฟ้องคดี) เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครอง (คดีการห้ามฉายภาพยนตร์ เรื่อง เชคสเปียร์ต้องตาย)
โดยศาลปกครองพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ไม่อนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองนำภาพยนตร์ เรื่อง เชคสเปียร์ต้องตาย ออกเผยเเพร่ในราชอาณาจักร เป็นการใช้ดุลยพินิจที่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะ ภาพยนตร์เรื่องนี้มีเนื้อหาที่ก่อให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างคนในชาติ ซึ่งเป็นกรณีที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงยังฟังไม่ได้ว่า เป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
ทั้งนี้ คดีนี้มีคำวินิจฉัยว่า คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ตามบันทึกการตรวจพิจารณาภาพยนตร์ ลงวันที่ 3 เมษายน 2555 ที่ไม่อนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองนำภาพยนตร์เรื่อง เชคสเปียร์ต้องตาย ออกเผยแพร่ในราชอาณาจักร และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ตามมติที่ประชุมครั้งที่ 3/2555 เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2555 ที่มีมติยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง ชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่ หากเป็นการกระทำละเมิด ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองหรือไม่ เพียงใด
ศาลปกครองพิเคราะห์เห็นว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มีคำสั่งไม่อนุญาตให้นำภาพยนตร์เรื่อง เชคสเปียร์ต้องตาย ออกเผยแพร่ในราชอาณาจักร เนื่องจากมีเนื้อหาสาระบางส่วนอาจก่อให้เกิดการแตกความสามัคคีของคนในชาติ ในการตรวจพิจารณาภาพยนตร์เรื่องนี้ จึงจำเป็นต้องพิจารณาเนื้อหาสาระสำคัญของภาพยนตร์โดยตลอดเรื่องอย่างเชื่อมโยงร้อยเรียงเป็นเนื้อเดียวกันว่า มีเนื้อหาเข้าลักษณะก่อให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างคนในชาติหรือไม่
แม้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองจะกล่าวว่า ประเทศในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นประเทศสมมุติก็ตาม แต่โดยที่มีเนื้อหาหลายฉากหลายตอน สื่อให้เห็นได้ว่าเป็นสภาพสังคมไทย และเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย มิใช่ประเทศสมมุติตามที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองกล่าวอ้าง สำหรับฉากที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เห็นว่า คล้ายกับเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 อันเป็นฉากที่พิพาทนั้น เป็นฉากที่มีกลุ่มผู้ชายใส่เสื้อสีดำ โพกผ้าสีแดงที่ศีรษะจำนวนหนึ่ง ถือท่อนไม้วิ่งเข้าไปในโรงละครแล้วทำร้ายคนดูละคร คณะนักแสดง จับผู้กำกับละครแขวนคอ โดยมีชายสวมแว่นดำถือเก้าอี้เหล็กพับทุบตีที่ร่างกายของผู้กำกับละคร ที่ถูกแขวนคอ โดยมีกลุ่มผู้ชายโพกผ้าสีแดงที่ศีรษะส่งเสียงสนับสนุนการกระทำนั้น เป็นการนำเหตุการณ์ร่วมสมัยมาไว้เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ที่ย่อมสร้างความไม่พอใจให้เกิดขึ้นแก่ญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิต หรือผู้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้เกิดความรู้สึกเคียดแค้นชิงชัง อันอาจเป็นชนวนให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างคนในชาติได้
เมื่อในการเข้าร่วมประชุมกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2555 ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้แจ้งให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองแก้ไขเปลี่ยนแปลงบทภาพยนตร์ในฉากดังกล่าวแล้ว แต่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองยืนยันที่จะไม่ทำการแก้ไขทั้งที่สามารถดำเนินการได้ โดยมิได้ส่งผลกระทบต่อเนื้อหาสำคัญของเรื่อง รวมถึงแนวคิดเกี่ยวกับด้านมืดและด้านสว่างของมนุษย์ บาปบุญคุณโทษ ผลกรรม และการต่อสู้ระหว่างธรรมะกับอธรรมภายในจิตใจคน ที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองประสงค์จะนำเสนอให้ผู้ชมภาพยนตร์ได้รับรู้ และเมื่อพิจารณาหนังสืออุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง ฉบับลงวันที่ 17 เมษายน 2555 ที่รับว่า ได้มีการถกเถียงกันอย่างมากถึงฉาก 6 ตุลาคม 2519 และฉากที่มีการใช้สีแดง แสดงให้เห็นว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งสองทราบและเข้าใจแล้วว่า บทภาพยนตร์ในส่วนใดที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ประสงค์ให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองแก้ไขหรือตัดทอน ประกอบกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนเป็นรากฐานความดีงามของสังคมไทยที่รัฐธรรมนูญมุ่งหมายธำรงรักษา จึงบัญญัติให้เป็นเหตุสำคัญประการหนึ่ง ที่ฝ่ายนิติบัญญัติสามารถยกขึ้นใช้เป็นเหตุผลในการออกกฎหมายมาจำกัดสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญได้
แม้ว่าในการผลิตหรือสร้างภาพยนตร์จะถือเป็นการประกอบอาชีพอย่างหนึ่งที่รัฐธรรมนูญรับรองให้ผู้ประกอบอาชีพมีสิทธิและเสรีภาพในการผลิตหรือสร้างภาพยนตร์ก็ตาม แต่สิทธิและเสรีภาพดังกล่าวยังต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งข้อจำกัดบางประการตามมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551 คือ ภาพยนตร์ที่ผลิตขึ้นมาจะต้องไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่กระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของรัฐ และเกียรติภูมิของประเทศไทย.
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ภาพยนตร์ เรื่อง ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ อำนวยการสร้างและกำกับภาพยนตร์ โดย นายมานิต ศรีวานิชภูมิ และน.ส.สมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ โดยได้เข้ายื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง เมื่อปี 2555 ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนมติและคำสั่งของคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ห้ามฉาย จัดจำหน่ายในราชอาณาจักร โดยขอให้ชดใช้ค่าเสียหายจากเงินทุนในการสร้างภาพยนตร์และดอกเบี้ย ร้อยละ 7.5 ต่อปี รวม 7.5 ล้านบาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด
ภาพประกอบ:ไทยรัฐออนไลน์
