- Home
- Isranews
- เรื่องเด่น - สำนักข่าวอิศรา
- "หลานพุทธทาส" เสนอปิดสวนโมกข์ 10 ปี แก้ปมปัญหาขัดแย้งภายใน
"หลานพุทธทาส" เสนอปิดสวนโมกข์ 10 ปี แก้ปมปัญหาขัดแย้งภายใน
ฟัง "เมตตา พานิช" หลานพระธรรมโกศาจารย์ ร่ายยาวปมปัญหาความขัดแย้งในสวนโมกข์ งานปรับปรุงยอดเขาพุทธทอง เงินบริจาค เสนอปิดตัวเอง 10 ปี แก้ปมขัดแย้งภายใน "ผมยังเชื่อในวัฏจักรและมองว่าเมื่อสวนโมกข์มาถึงจุดเสื่อมเช่นนี้แล้ว จะทำให้ทุกคนได้หันมาปรึกษาหารือและทบทวนถึงโลกุตรธรรม และเป็นบทเรียนพาสวนโมกข์ไปสู่ความเจริญสูงสุดได้อีกครั้ง”
“ปัจจุบันนี้ไม่ว่าธรรมชาติหรือ คนที่รู้ว่าปัญหาคืออะไรก็จะรู้ดีว่าไม่ทำก็ได้ ไม่เป็นไรเลย โบสถ์เดิม ท่านพุทธทาสไม่ใช้เงินเลย ท่านเพียงขอแรงพระสงฆ์ในสวนโมกข์ ช่วยกันเรียงหินบนลานดินเท่านั้น นี่แค่ทำบันไดทางขึ้น มันก็ไม่ใช่หลักแล้ว มีเด็กวัดและคนข้างนอกเขามองอย่างคนทั่วไปว่าต้องมีความเจริญ แต่เป็นความเจริญทางวัตถุ ถ้าวัตถุเจริญ จิตใจก็เสื่อม วัตถุนิยมมันมีรสอร่อย มันเพลิดเพลิน มันทำให้เห็นแก่ตัว แล้วที่บอกว่าจะปรับปรุงเพื่อให้มีความเป็นธรรมชาตินั้น ก็ต้องถามกลับนะว่า ของเดิมนั้น ไม่ธรรมชาติหรือ ของเดิมก็อยู่ตามธรรมชาติอยู่แล้ว แล้วจะปรับปรุงเพื่อให้เป็นธรรมชาติอีกทำไม”
นี่คือความเห็นของ นายเมตตา พานิช หลานพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาส อินทปัญโญ) ในฐานะประธานกรรมการธรรมทานมูลนิธิ คณะธรรมทาน ไชย สวมโมกข์ ภาพ ที่กล่าวยืนยันกับสำนักข่าวอิศรา WWW.isranews.org ถึงมูลเหตุที่ทำให้ชาวบ้านรวมถึงตนเอง ต้องออกมาแสดงความขัดแย้ง เกี่ยวกับปัญหาโครงการปรับภูมิทัศน์บนเขาพุทธทองที่เกิดขึ้นในสวนโมกข์ เวลานี้
นายเมตตา ระบุว่า ตนเองในวันนี้ ไม่มีตำแหน่งใดๆ จึงไม่ต้องการเข้าไปก้าวก่าย เพราะเดิมที ตั้งใจไว้ว่า เมื่อทำงานมา 10 ปีจะเกษียณ ซึ่งตนก็เคยปรารภไว้กับท่านโพธิ์ ท่านจ้อย ท่านสิงห์ทอง โดยท่านโพธิ์เองก็ตั้งใจจะละวางตำแหน่งเจ้าอาวาส ในวัย 80 ปี เช่นเดียวกับท่านพุทธทาส
ส่วนตนนั้น ตั้งใจจะใช้ชีวิตหลังเกษียณจากตำแหน่งไวยาวัจกร มาใช้เวลาซ่อมแซมบ้านที่ทรุดโทรมเสียที ดังนั้น ตนจึงมอบอำนาให้แก่ไวยาวัจกรรุ่นใหม่ที่ก้าวเข้ามาทำหน้าที่แล้ว
แต่เมื่อเกิดเรื่องราวต่างๆ ขึ้น พระและฆราวาสที่เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่เหมาะสมจึงมาปรึกษาหารือ และขอให้ช่วยหน่อย ตนก็ไม่อาจวางเฉยได้อีกต่อไป ซึ่งก็ทำให้มีการปล่อยข่าวว่าตนหวงอำนาจ เป็นการออกมาเรียกร้อง แสดงบทบาท ทั้งที่ไม่มีบทบาทใดๆ แล้ว ซึ่งในความเป็นจริงตนปรารถนาอยู่อย่างสงบ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับความวุ่นวายทางวัตถุ แต่ที่จำเป็นต้องออกมาพูดในช่วงหลังนี้ เพื่อให้สังคมได้รับรู้ความจริงอีกด้าน
“ส่วนหนึ่ง เพราะผมเห็นว่าการให้สัมภาษณ์ส่วนใหญ่มาจากฝ่ายที่ต้องการปรับปรุงภูมิทัศน์บนยอดเขาพุทธทอง เป็นการให้ข้อมูลฝ่ายเดียว โดยเขาจะหยิบยกข้อมูลทางวิชาการมาพูด ทำให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นสิ่งชอบธรรม และมักอ้างว่าทำให้มีความเป็นธรรมชาติ ดีกว่าไม่ทำ ซึ่งก็ต้องถามกลับว่าของเดิมนั้น ไม่ธรรมชาติหรือ ซึ่งการปรับปรุงยอดเขาพุทธทองนี้ เท่าที่ ผมฟังจากชาวบ้าน ก็มีคนอยู่ 3 กลุ่มคือ ทั้งชาวบ้านที่เขารู้ปัญหาที่แท้จริง มองแล้วเข้าใจ กับชาวบ้านที่เขาไม่เข้าใจและอาจคิดว่าเมื่อมีความเจริญแล้วอาจจะดี ทำให้มีคนมาวัดเยอะขึ้น กลุ่มที่ 3 ก็คือ กลุ่มที่ต้องการอนุรักษ์ จะรักษางานของท่านพุทธทาสเอาไว้ ตั้งใจจะคงสิ่งต่างๆ ไว้ตามเดิม เพื่อให้เห็นว่าท่านพุทธทาสท่านมีปณิธานอย่างไร ท่านตั้งใจอย่างไร และตอนท่านมีชีวิตอยู่นั้น สวนโมกข์เป็นอย่างไร”
“ถ้ามีการพัฒนา ปรับปรุงให้มีความเจริญทางวัตถุ สิ่งดั้งเดิมเหล่านี้จะกลายเป็นเพียงตำนานทันที เป็นตำนานที่จะไม่มีใครได้เห็นอีก เป็นตำนานที่ไม่มีชีวิต ผู้ที่คิดจะทำ คิดจะเปลี่ยนแปลง เขาก็มองว่าสวนโมกข์ได้เวลาเปลี่ยนแปลงแล้ว แต่ส่วนตัวผมแล้ว คิดว่าของเก่ามีคุณค่ากว่า”
นายเมตตา กล่าวว่าเหตุที่ท่านพุทธทาสทำยอดเขาพุทธทองให้เรียบง่ายมีเพียงผืนดินเป็นพื้นและมีท้องฟ้าเปรียบเป็นหลังคาโบสถ์นั้น ก็เพื่อดำเนินรอยตามพุทธประสงค์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เรียบง่าย แม้แต่ลานหินโค้งก็เช่นกัน เมื่อพระสงฆ์ลงปาติโมกข์จึงไม่มีสิ่งปรุงแต่งใด แม้แต่การฉันอาหารที่สวนโมกข์ก็ไม่มีการตั้งสำหรับ พระจะฉันในบาตรของตน เพื่อความเรียบง่ายและไม่สร้างความรบกวนให้แก่ใคร เมื่อฉันเสร็จก็ล้างบาตรของตน
ส่วนยอดเขาพุทธทองนั้น การที่มีความพยายามปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ก็เป็นไปด้วยความยึดติด เพราะแท้จริงแล้ว ยอดเขาพุทธทองก็เป็นเพียงสิ่งที่ท่านพุทธทาสสมมติขึ้นมา
“ท่านสมมติให้เป็นโบสถ์ แต่ความเป็นจริงแล้วยอดเขาพุทธทองก็ไม่ใช่โบสถ์ การที่อ้างว่าจะปรับปรุงยอดเขาพุทธทอง หรือปรับปรุงโบสถ์ของสาวนโมกข์ หรือถ้าอนาคตจะมีการทำหลังคาโบสถ์ ทำอะไรที่มากกว่านี้ จึงขัดกับแนวทางของความเรียบง่าย”
นายเมตตา ยังกล่าวด้วยว่า เมื่อครั้งที่ตนได้รับแต่งตั้งเป็นไวยาวัจกร ในช่วงที่ท่านโพธิ์เป็นเจ้าอาวาสนั้น ตนเองและท่านโพธิ์จะหารือกันในทุกเรื่อง “ผมจะปรึกษาท่านอาจารย์โพธิ์ทุกเรื่อง เรื่องใดที่ท่านอาจารย์โพธิ์และผมเห็นไม่ตรงกันเราจะจบเรื่องนั้นไปเลย จะไม่ทำเลย”
เมื่อประเด็นเรื่องสถานการณ์ความขัดแย้งในสวนโมกข์วันนี้ อีกทั้งการที่มีศิษย์สวนโมกข์หลายคนกล่าวว่ามีเหตุการณ์เกี่ยวกับบัญชีเงินบริจาครวม 50 ล้านบาทของสวนโมกข์ ที่ชักนำให้คนภายในก้าวเข้ามาแทรกแซงการบริหารนั้น
นายเมตตา กล่าวว่า “เรื่องเงิน 50 กว่าล้านนั้น เป็นเงินที่ได้รับบริจาคมานับแต่ครั้งที่ท่านพุทธทาสเริ่มสร้างสวนโมกข์ มีทั้งเงินที่มอบโดยคุณย่าของผม โดยคณะธรรมทาน ซึ่งเป็นตระกูลพานิช และเงินบริจาคด้วยจิตศรัทธาของญาติโยมที่ศรัทธาในงานของท่านพุทธทาส เงินเหล่านี้ คิดดูนะครับ ว่าฝากอยู่ในธนาคารตั้งแต่ยุคที่ธนาคารให้ดอกเบี้ย 10 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น เมื่อถึงวันนี้ เงินของสวนโมกขพลาราม จึงมีถึง 50 กว่าล้าน”
นายเมตตาอธิบายถึงที่มาของเงิน 50 กว่าล้านว่า แบ่งเป็นของธรรมทานมูลนิธิ 27 ล้านบาท เพื่อใช้ในการจัดพิมพ์เผยแพร่งานชุดธรรมโฆษณ์ของท่านพุทธทาสภิกขุ และอีก 23 ล้านบาท แบ่งเป็นของธรรมาศรมนานาชาติ เพื่อให้ไว้สำหรับการสืบต่อวิถีภาวนาและไว้ดูแลผู้มาปฏิบัติธรรมที่สวนโมกข์นานาชาติที่ธรรมะมาตา เพราะผู้มาอบรมไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ด้วยเงินบริจาคเหล่านี้เอง ท่านพุทธทาสผู้มองการณ์ไกลและมีความกล้าหาญ มีความขบถและมีบารมีมากพอ จึงตัดสินใจทำในสิ่งที่ย้อนแย้งกัน นั่นคือ ความกล้าที่จะตั้งสวนโมกขพลารามเป็นวัดธารน้ำไหล หากขณะเดียวกันก็กล้าหาญที่จะฉีกตัวเองออกมา จะไม่อยู่ใต้อำนาจของเถรสมาคม
ส่วนความกล้าหาญในการตั้งวัดธารน้ำไหล และกล้าที่จะออกมาจากกรอบของคณะสงฆ์นั้น นายเมตตา อธิบายว่า “เดิมทีเป็นสวนโมกขพลาราม ต่อมาเมื่อเห็นว่าควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการปฏิบัติภาวนายิ่งขึ้น ท่านก็ตั้งเป็นวัดธารน้ำไหล เหตุที่ท่านตั้งเป็นวัดธารน้ำไหล เพราะเมื่อเป็นนิติบุคคลแล้ว จะสามารถเปิดบัญชีของตนเองได้ เพื่อนำมาใช้สืบต่อพุทธศาสนา ส่วนความกล้าหาญและบารมีของท่านนั้น ท่านก็ได้ลั่นวาจาไว้เลยว่า “เงินนี่ไม่ใช่เงินฉัน ไม่ใช่เงินวัด เป็นเงินของสวนโมกข์” ด้วยบารมีของท่าน ก็ไม่มีใครเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการบริหาร ส่วนการบริหารดูแลเงินบริจาคเหล่านี้ ท่านมอบให้เป็นหน้าที่ของธรรมทานมูลนิธิ ซึ่งก็คือคุณพ่อของผม ส่วนธรรมทานมูลนิธินั้น เดิมทีเป็นเพียงคณะธรรมทาน ดูแลโดยตระกูลพานิช และตั้งเป็นนิติบุคคล เมื่อท่านพุทธทาสมีดำริให้ก่อตั้งโรงเรียนพุทธนิคม โรงเรียนวิถีพุทธแห่งแรกของไทย คณะธรรมทานจึงใช้ชื่อธรรมทานมูลนิธิมานับแต่นั้น”
“ส่วนที่เปิดบัญชีเป็นของวัดธารน้ำไหลนั้น มีการระบุในวงเล็บไว้ชัดเจน คือเป็นวัดธารน้ำไหลก็จริง แต่มีการระบุว่า เพื่องานธรรมโฆษณ์ ในส่วนนี้ 27 ล้าน เพราะงานธรรมโฆษณ์นั้น เป็นงานที่ท่านพุทธทาสท่านใส่ใจอย่างจริงจัง และท่านมุ่งหวังเผย แผ่คำสอนของพระพุทธเจ้า ทุกวันนี้ธรรมทานมูลนิธิ ก็นำเงินส่วนนี้มาจัดพิมพ์หนังสือชุดธรรมโฆษณ์ทุกปีๆ อีกส่วนที่เป็นเงิน 23 ล้านบาทนั้น ก็นำไว้ใช้ดูแลส่วนของธรรมาศรมนานาชาติ คือสวนโมกข์นานาชาติ ธรรมะมาตา โครงการสำหรับผู้หญิงมาปฏิบัติธรรม เหล่านี้มีการรับรู้ชัดเจน และมีวงเล็บระบุไว้ แม้จะเป็นบัญชีวัดธารน้ำไหลก็ตาม แต่ในส่วนของวัดธารน้ำไหลจริงๆ นั้น มีเพียงแค่ 2-3 ล้าน เท่านั้น”
นอกจากนี้ ทุกๆ บัญชี ที่มีการเบิกจ่าย นายเมตตาเล่าว่า ตลอดระยะเวลาที่ตนเป็นไวยาวัจกร จะมีการลงนามร่วมกันถึง 4 คน คือ พระอาจารย์โพธิ์ และพระมณเฑียรหรือท่านจ้อย เป็นผู้ลงนามในส่วนของวัดธารน้ำไหล และมีนายเมตตา และหลานที่เป็นไวยาวัจกรร่วมลงนามในฐานะตัวแทนของธรรมทานมูลนิธิ ทุกบัญชีจึงโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพียงแต่ไม่มีการรายงานแก่คนในวงกว้าง จะรายงานให้ทราบเพียงในกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องจริงๆ เท่านั้น ซึ่งนายเมตตา ก็ได้รายงานทุกอย่างให้พระอาจารย์สุชาติทราบอย่างละเอียดแล้วเช่นกัน
ทั้งนี้ นายเมตตา เล่าว่าตนเพิ่งทราบว่าสวนโมกข์มีเงินบริจาคมากถึง 50 กว่าล้าน ก็เมื่อครั้งที่ไปนำบัญชีเงินฝากทั้งหมดมามอบให้ท่านเจ้าอาวาสสุชาติ เพื่อทำการเปลี่ยนแปลงผู้มอบอำนาจ เนื่องในวาระที่ตนออกจากการทำหน้าที่เป็นไวยาวัจกร
แต่ด้วยความกังวลบางประการของพระอาจารย์สุชาติ โดยเฉพาะเรื่องการทำหน้าที่บริหาร เกรงว่าจะกระทำการใดลงไปที่เป็นการผิดวินัยสงฆ์ ทำให้ท่านอาจารย์สุชาติ นำเรื่องนี้ไปปรึกษากับท่านเจ้าคณะอำเภอและนำบัญชีดังกล่าวไปด้วย ซึ่งโดยปรกติแล้ว บัญชีรายรับรายจ่าย โดยละเอียดนั้น นายเมตตาเล่าว่าจะรู้กันเฉพาะคนในสวนโมกข์ ซึ่งบัญชีที่นายเมตตามอบให้ท่านอาจารย์สุชาติก็มีความละเอียด และระบุถึงรายละเอียดต่างๆ ของบัญชีอย่างชัดเจน แต่เนื่องจากท่านเจ้าอาวาสสุชาติกังวลเรื่องการเซ็นมอบอำนาจว่าอาจจะทำสิ่งใดผิดระเบียบวินัยสงฆ์ลงไปจึงนำเรื่องนี้ไปปรึกษาเจ้าคณะอำเภอ
“ท่านไม่ชำนาญเรื่องการบริหาร ท่านเป็นพระปฏิบัติ ตรงนี้ผมไม่ว่าท่านผิด ท่านไม่ผิดเลย เรื่องนี้ไม่มีใครผิด เพียงแต่เป็นความไม่เข้าใจกัน”
นายเมตตาเล่าว่า จากนั้น ในวันประชุมสภาวัฒธรรมและพุทธศาสนาของ อำเภอไชยา ที่มีขึ้นเป็นประจำ ในวัดเวียง ซึ่งเป็นวัดของเจ้าคณะอำเภอ โดยในวันดังกล่าวจะมีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และพุทธศาสนิกชนตัวแทนจากตำบลต่างๆ ทั้ง 9 ตำบลใน อ.ไชยามาร่วมรับฟัง ถึงปัญหาต่างๆ ในวัดแต่ละแห่ง เจ้าคณะอำเภอก็ได้นำปัญหาของสวนโมกข์ขึ้นมากล่าวว่าสวนโมกข์กำลังมีปัญหาเรื่องความไม่โปร่งใสของเงิน 50 กว่าล้าน ซึ่งเจ้าคณะอำเภอจะต้องเข้ามาจัดการ แล้วเรื่องนี้ก็แพร่ขยายไปทั่ว ชาวบ้านก็ตกใจ แล้วศิษย์สวนโมกข์ท่านหนึ่งที่ประชุมในที่นั้นก็นำเรื่องนี้มาเล่าให้ท่านเจ้าอาวาสฟัง ท่านก็ตกใจ และเสียใจที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เมื่อเรื่องเงินบริจาค 50 กว่าล้านแพร่ออกไป ทางสำนักพุทธศาสนาและเจ้าคณะอำเภอก็ได้ก้าวเข้ามาดูแล และหยิบยกระเบียบวินัยสงฆ์ขึ้นมาว่าเงินเหล่านี้ถือเป็นเงินของวัดธารน้ำไหลทั้งสิ้น นำไปสู่การตรวจสอบด้วยกล้องวงจรปิด และเขียนหมายเลขบนซองบริจาคทุกซองในวัด
“ในเงิน 50 กว่าล้านนี้ ตามเจตนารมณ์ดั้งเดิมนั้น 27 ล้านคือเงินทีผู้มีจิตศรัทธาบริจาคมา เพื่อจัดพิมพ์งานชุดธรรมโฆษณ์ของท่านพุทธทาส สวนอีก 23 ล้าน เป็นส่วนที่ไว้ใช้ดูแลสวนโมกข์นานาชาติและธรรมะมาตา ดังนั้น เงินบริจาคที่เป็นของวัดธารน้ำไหลจริงๆ มีเพียง 2-3 ล้านเท่านั้น แต่เมื่อเกิดความเข้าใจผิดกันเช่นนี้ และตัวผมเองผมก็ออกจากการเป็นไวยาวัจกรของวัดธารน้ำไหลแล้ว ผมก็ได้มอบบัญชีทุกอย่างให้ท่านเจ้าอาวาสสุชาติไปหมดแล้ว ผมก็สบายใจแล้ว ไม่มีอะไรติดค้าง ไม่ได้มีของร้อนเก็บไว้ใกล้ตัว"
"ตอนนี้ผมก็เพียงดูแลธรรมทานมูลนิธิให้ดี จากนี้ หากมีการจัดพิมพ์งานชุดธรรมโฆษ์ของท่านพุทธทาส หรือมีส่วนที่ต้องเบิกจ่ายสำหรับสวนโมกข์นานาชาติ ผมก็ทำเรื่องเบิกจ่ายต่อท่านเจ้าอาวาสตามขั้นตอนที่ถูกต้อง ท่านเจ้าอาวาสท่านก็เซ็นให้ทุกครั้ง ไม่เคยมีปัญหาอะไรกับท่านเลย นอกจากนี้ พระที่ดูแลบัญชีให้ท่านเจ้าอาวาสก็เป็นพระที่ดีและมีความเข้าใจในความเป็นสวนโมกข์และปณิธานของท่านพุทธทาสอย่างแท้จริง”
อย่างไรก็ดี นายเมตตามีความกังวลว่าในอนาคต หากเงิน 50 กว่าล้านนี้ ถูกนำไปใช้อย่างผิดวัตถุประสงค์ หรือบิดเบือนไปจากแนวทางเดิม หรือความตั้งใจเดิมของท่านพุทธทาส ก็ถือว่าไม่เหมาะสม ซึ่งการปรับภูมิทัศน์บนยอดเขาพุทธทอง อาจเป็นจุดแรกเริ่มของความเข้าใจผิด ในการที่จะนำเงินเหล่านี้ มาใช้อย่างผิดวัตถุประสงค์
“ในฐานะที่ผมไม่มีตำแหน่งอะไรแล้วในวันนี้ ผมก็ไม่อยากก้าวก่าย แต่โดยส่วนตัวผมแล้วผมอยากให้อนุรักษ์ บัญชี 50 กว้านนั้น ปรกติไม่มีใครรู้ แต่ตอนนี้มีคนรู้กันแล้ว ก็เลยมีความพยายามจะฟื้นโครงการอินเดีย ที่ท่านพุทธทาสเคยตั้งใจไว้ และนำมาสู่การปรับปรุงยอดเขาพุทธทอง ซึ่งผมเองได้ยินเขาคุยกันว่า อาจใช้งบประมาณ 10 กว่าล้าน ผมก็หวังว่า เงินบริจาคเหล่านี้ขอให้ใช้ตรงตาม
วัตถุประสงค์ดั้งเดิม ส่วนตัวผมเองตอนนี้ไม่มีตำแหน่งใดในสวนโมกข์แล้ว ก็ตั้งใจจะดูแลในส่วนของธรรมทานมูลนิธิอย่างดีที่สุด จะดูแลสวนโมกข์นานาชาติและธรรมะมาตา ให้เป็นสถานที่ปฏิบัติ ภาวนาสำหรับคนทุกคนที่ต้องการความสงบในจิตใจ” นายเมตตาระบุ
ก่อนกล่าวทิ้งท้ายว่า
"ปัญหาในสวนโมกข์วันนี้ ไม่มีใครผิดนะครับ เพียงแต่เต็มไปด้วยทิฐิ และอ่อนแอ ไม่เข้มแข็งเหมือนก่อน ยอมแพ้ต่ออำนาจวัตถุนิยม ผมก็ทำใจยอมรับความเปลี่ยนแปลงได้ และก็ตั้งใจจะทำหน้าที่ของตนให้ดีทั้งการดูแลสวนโมกข์นานาชาติ และการจัดพิมพ์งานชุดธรรมโฆษณ์"
"แต่ในมุมมองส่วนตัว ผมว่าถ้าสวนโมกข์จะแก้ปัญหานี้ให้ได้ สวนโมกข์ควรจะต้องปิดตัวเอง สัก 10 ปี เพื่อเรียนรู้ ปฏิบัติ และสอนตนเองได้ เข้าใจในโลกุตรธรรมให้ได้อย่างแท้จริง ก่อนที่จะไปสอนคนอื่น ท่านพุทธทาสท่านตั้งใจสร้างสถานที่สำหรับปฏิบัติธรรม เพราะท่านเชื่อว่า โลกจะมีสันติภาพได้ต่อเมื่อคนมีศีลธรรม แต่มีไม่กี่คนที่จะเข้าใจเรื่องนิพพาน เมื่อเข้าใจแล้ว สิ่งนี้จะแก้ปัญหาจิตใจ เมื่อจิตใจสงบเขาจะไม่ทำอันตรายแก่ตนเองและผู้อื่น"
"ท่านพุทธทาสต้องการนำศีลธรรมกลับมาสู่โลก ท่านต้องการทำสวนโมกข์ให้เป็น “วิทยาลัยสมาธิภาวนา แต่สวนโมกข์วันนี้ ร้อนเป็นไฟ พระหลายรูปก็ปลีกวิเวกไปอยู่กับท่านจ้อยที่วัดตระกรบแล้ว ที่นั่นสงบเหลือเกิน ต่างจากสวนโมกข์ในวันนี้ แต่ผมก็ยังเชื่อในวัฏจักรและมองว่าเมื่อสวนโมกข์มาถึงจุดเสื่อมเช่นนี้แล้ว จะทำให้ทุกคนได้หันมาปรึกษาหารือและทบทวนถึงโลกุตรธรรม และเป็นบทเรียนพาสวนโมกข์ไปสู่ความเจริญสูงสุดได้อีกครั้ง” นายเมตตาระบุ