- Home
- Isranews
- เรื่องเด่น - สำนักข่าวอิศรา
- เหตุใด "ทูตวีรชัย" ต้องย้ำว่า "กัมพูชาไม่ได้พื้นที่ 4.6 ตร.กม."
เหตุใด "ทูตวีรชัย" ต้องย้ำว่า "กัมพูชาไม่ได้พื้นที่ 4.6 ตร.กม."
คำพิพากษาของศาลโลกในคดีปราสาทพระวิหาร เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2556 ที่ผ่านมา ยังสร้างข้อถกเถียงในสังคมไทย ว่าสรุปแล้วไทยได้เปรียบหรือเสียเปรียบกัมพูชา?
โดยเฉพาะพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม. ที่ "ทูตวีรชัย พลาศรัย" หัวหน้าทีมสู้คดีของฝ่ายไทย ยืนยันว่ากัมพูชาไม่ได้พื้นที่ส่วนนี้ตามที่ร้องขอ มีเพียง "พื้นที่เล็กๆ" รอบปราสาทพระวิหาร ที่ศาลโลกตีความอยู่ว่าใต้อธิปไตยของกัมพูชา ตั้งแต่คำพิพากษาปี 2505 ที่ต้องไปหาข้อสรุปเพิ่มเติมว่าหมายถึงพื้นที่ใดบ้าง
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ขอนำเสนอข้อมูลเพิ่มเติมความเข้าใจว่า เหตุทูตวีรชัยถึงต้องย้ำว่า "กัมพูชาไม่ได้พื้นที่ 4.6 ตร.กม."
พื้นที่ 4.6 ตร.กม.สำคัญแค่ไหน ต่อการทำความเข้าใจคำพิพากษาของศาลโลกคดีปราสาทพระวิหาร ?
เมื่อเดือนตุลาคม 2556 ที่ผ่านมา กองเขตแดน กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกหนังสือชื่อ “เบื้องลึกเบื้องหลัง การสู้คดีตีความปราสาทพระวิหาร” เปิดเผยเบื้องหลังและที่มาของคดีนี้ โดยบทหนึ่งได้กล่าวถึงความสำคัญของแผนที่ฉบับต่างๆ ที่นำไปสู่การร้องขอพื้นที่ 4.6 ตร.กม.โดยกัมพูชา (บทแผนทีนั้นสำคัญไฉน หน้า 94)
มีข้อมูลโดยสรุปดังนี้
1.แผนที่ที่สำคัญและเกี่ยวข้องกับคดี ต้องเป็นแผนที่ที่คู่กรณีเสนอต่อศาลในคดีเดิม เมื่อปี พ.ศ. 2502-2505 ซึ่งเมื่อนับรวมกันแล้ว ทั้งสองฝ่ายได้เคยเสนอแผนที่ต่อศาลไว้ประมาณ 60 ฉบับ แต่ศาลนำแผนที่เพียง 6 ฉบับมาผลิตซ้ำเพื่อเก็บไว้ในประมวลเอกสารของคดีที่เรียกว่า "pleadings" ซึ่งเป็นเอกสารที่บันทึกแทบจะทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างการต่อสู้และการพิจารณาคดีเดิม โดยแนบไว้ในซองบนปกในด้านหลัง ของประมวลเอกสารของคดีนี้ ซึ่งแผนที่ที่ศาลประมวลและแนบเก็บไว้ถือว่ามีความสำคัญพิเศษกว่าแผนที่ฉบับอื่น เนื่องจากศาลระบุไว้ ในเอกสารดังกล่าวว่า "แผนที่ที่ศาลผลิตและแนบไว้ในประมวลเอกสารคดี ล้วนแต่จำเป็นต่อการทำความเข้าใจคำพิพากษา" ซึ่งแผนที่ 6 ฉบับที่ศาลผลิตซ้ำและแนบเก็บไว้ ในประมวลเอกสารคดีนั้น ฉบับที่สำคัญที่สุด ในสายตาทีมสู้คดีฝ่ายไทยคือ "แผนที่ 85 ดี" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ตัดจาก Big map คือเลือกเจาะพื้นที่พียง 4 เปอร์เซ็นต์ของ Big map ออกมา และพิมพ์บนหัวว่า "Partial reproduction" จึงถือว่าแผนที่ 85 ดี เป็นเอกสารชิ้นเดียวที่ศาลผลิตขึ้นเอง
2.แผนที่ 85 ดีนี้ เป็นหลักฐานที่สำคัญที่สุด ที่ใช้แสดงขอบเขตของพื้นที่พิพาทในคดีเดิม เนื่องจากประกอบด้วย เส้นสันปันน้ำตามขอบหน้าผาโดยประมาณ ตามความเข้าใจของผู้เชี่ยวชาญด้านแผนที่ของไทยในชั้นข้อเขียน ซึ่งกันเอาปราสาทพระวิหารเกือบทั้งหมด ให้อยู่ในเขตไทย และแสดงเส้นสันปันน้ำตามที่กัมพูชาเข้าใจ ซึ่งเป็นเส้นที่อ้อมไปทางทิศเหนือ ห่างจากตัวปราสาทไปไม่กี่เมตร ซึ่งกันเอาตัวปราสาทให้อยู่ในเขตกัมพูชา
นอกจากนี้ ฝ่ายไทยยังเชื่อว่าแผนที่นี้ ใช้แสดงพื้นที่พิพาทตามความเข้าใจของศาลในคดีเดิม เนื่องจากสอดคล้องกับคำบรรยายในหน้า 15 ของคำพิพากษาเมื่อปี 2505 ที่ว่า
“เส้นเขตแดนซึ่งเลาะตามขอบหน้าผา หรืออย่างน้อยที่แล่นไปทางทิศใต้และทิศตะวันออกของบริเวณปราสาท จะมีผลให้พื้นที่บริเวณนี้อยู่ในเขตไทย ส่วนเส้นเขตแดนที่ลากไปทางทิศเหนือ หรือทิศเหนือและทิศตะวันตก จะทำให้พื้นที่บริเวณนี้ตกอยู่ในเขตกัมพูชา”
จึงเป็นคำบรรยายที่น่าจะตรงกับคำว่า Vicinity (บริเวณโดยรอบหรือใกล้เคียงปราสาท) ในวรรคปฏิบัติการที่ 2 ของคำพิพากษาและเป็นการตอบคำร้องของกัมพูชาที่กล่าวถึงสิ่งหักพังของปราสาท ซึ่งในคดีเดิม กัมพูชาไม่ได้กำหนดชัดเจน เพียงแต่บอกว่าเป็นดินแดนผืนหนึ่ง
นอกจากนี้ เส้นสันปันน้ำที่กัมพูชาเสนอในคดีเดิม ซึ่งปรากฏเป็นเส้นสีแดงในแผนที่ 85 ดี เมื่อนำมาเทียบกับเส้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อปี 2505 จะเห็นว่าพื้นที่ใกล้เคียงกันมาก โดยพื้นที่ที่จะตกเป็นของกัมพูชาโดยการลากเส้นทั้งสองเส้นก็ต่างกันเพียง 0.07 ตารางกิโลเมตร ซึ่งในอดีต ภายหลังคำพิพากษาปี 2505 การที่ฝายไทยกันพื้นที่ปราสาทและบริเวณใกล้เคียงให้แก่กัมพูชานั้น ฝ่ายไทยกันพื้นที่ขาดไปเพียงไม่กี่เมตร ซึ่งกัมพูชาเองก็ไม่เคยดำเนินการใดเพื่อบังคับคดีและไม่เคยใช้กลไกสหประชาชาติ เรียกร้องพื้นที่คืน
3.ส่วน "แผนที่ภาคผนวก 1" ที่กัมพูชาถือเป็นหลักฐานที่สำคัญที่สุด อีกทั้งเป็นแผนที่ที่กัมพูชาแนบท้ายคำร้องเริ่มคดีเมื่อปี 2502 นั้น กลับเป็นที่น่าสังเกตว่าในการสู้คดีตีความคำพิพากษาครั้งนี้ กัมพูชากลับใช้แผนที่ฉบับต่างๆ ที่ไทยเสนอในคดีเดิมมาใช้แสดงขอบเขตบริเวณใกล้เคียง ตามคำพิพากษาปี 2505 ทั้งที่ไทยใช้แผนที่เหล่านี้ เพื่อชี้ต่อศาลในคดีเดิมว่าภูมิประเทศตามแผนที่มาตรส่วน 1:200,000 ผิดจากความเป็นจริง ซึ่งได้แก่แผนที่แผ่นที่ 3 (เป็นการนำแผนที่ 1:200,000 มาขยายใหญ่ ให้เป็นมาตราส่วน 1:50,000 เพื่อแสดงภูมิประเทศบริเวณภูมะเขือ และปราสาทพระวิหาร) และแผ่นที่ 4 (แสดงภูมิประเทศบริเวณภูมะเขือและและปราสาทพระวิหาร จากมาตราส่วน 1:10,000 แต่ลดขนาดลงให้สามารถเห็นได้บนแผนที่แผ่นเดียว ในมาตราส่วน 1:50,000) ของภาคผนวก 49 ของคำให้การแก้ฟ้องฝ่ายไทยในคดีเดิม
ซึ่งเมื่อกัมพูชานำแผนที่สองฉบับที่มีมาตราส่วนต่างกัน (แผนที่ แผ่นที่ 3 และแผนที่ แผ่นที่ 4) และภูมิประเทศไม่ตรงกัน มาซ้อนทับกัน ย่อมเกิดพื้นที่ที่เหลือมกันอยู่ กัมพูชาทำเช่นนี้เพื่อให้ศาลหลงเข้าใจว่าพื้นที่ที่เหลื่อมกันประมาณ 4.6 ตร.กม.นื้เป็นพื้นที่พิพาทตั้งแต่ในคดีเดิม ซึ่งไม่เป็นความจริง เนื่องจากพื้นที่พิพาทดังกล่าวเป็นของใหม่ ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อปี 2550 เมื่อฝ่ายกัมพูชาต้องการพื้นที่โดยรอบปปราสาทพระวิหารเพิ่มเติมเพื่อใช้ในการยื่นขอขึ้นทะเบียนมรดกโลก
ทีมต่อสู้คดีของไทยจึงใช้ข้อต่อสู้ในเรื่องนี้ต่อศาลว่าแผนที่แผ่นที่ 3 ของภาคผนวก 49 ไม่ใช่แผนที่ 1:200,000 เพราะมีความแตกต่างกันหลายประการ ทั้งในเรื่องภูมิประเทศและเส้นเขตแดน นอกจากนี้ การใช้แผนที่แผ่นที่ 3 และ 4 ของภาคผนวก 49 ในลักษณะนี้ของฝ่ายกัมพูชา เป็นการใช้แผนที่ผิดวัตถุประสงค์อย่างสิ้นเชิงและไทยได้ตอบโต้ว่าการทำเช่นนี้ “เป็นการปลอมแผนที่ เพราะไม่มีการแสดงแผนที่นี้ในคดีเดิม”
ที่กล่าวมาทั้งหมดสรุปได้ว่าข้อต่อสู้เรื่องแผนที่ของฝ่ายไทยมีวัตถุประสงค์หลัก 3 ข้อ (1) เพื่อแสดงให้ศาลเห็นว่าขอบเขตพื้นที่พิพาท ในปี 2505 มีเพียง 0.35 ตร.กม. แต่ปัจจุบันกลับเรียกร้องพื้นที่ถึง 4.6 ตร.กม. (2) เพื่อชี้ว่าการใช้แผนที่ของศาลในคดีเดิม ก็เพื่อพิสูจน์ว่าปราสาทอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชาเท่านั้น ศาลไม่มีเจตนาที่จะใช้แผนที่ชี้เส้นเขตแดน และ (3) เพื่อชี้ว่าวิธีที่กัมพูชานำแผนที่ 1:200,000 ใช้ไม่ได้ โดยข้อต่อสู้ของไทย ไม่ได้มุ่งทำลายความน่าเชื่อถือของแผนที่ แต่หักล้างความน่าเชื่อถือของการถ่ายทอดเส้นเขตแดนจากแผนที่ลงภูมิประเทศจริง
...ข้อเท็จจริงจากหนังสือเล่มนี้จึงสรุปได้ว่า เหตุที่ "ทูตวีรชัย" ต้องย้ำว่า "กัมพูชาไม่ได้พื้นที่ 4.6 ตร.กม." ตามที่ร้องขอ ก็เนื่องจากไม่ใช่พื้นที่พิพาทเดิมมาตั้งแต่แรก
ภาพประกอบจากเว็บไซต์ news.thaipbs.or.th