- Home
- Isranews
- เรื่องเด่น - สำนักข่าวอิศรา
- สื่อแอล.เอ.สะท้อน propaganda ในสื่อไทย “ผิดหวัง-จำต้องเลือกข้าง”
สื่อแอล.เอ.สะท้อน propaganda ในสื่อไทย “ผิดหวัง-จำต้องเลือกข้าง”
“กระจก”ส่อง“กระจก”ล้อมวงสทนา 2 นักหนังสือพิมพ์ภาษาไทยใน แอล.เอ.วิพากษ์สื่อไทยว่าด้วย propaganda แบบเจ็บๆคันๆ คนหนึ่งผิดหวัง อีกคนหนึ่งจำเป็นต้องเลือกข้าง
เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2557 สองนักหนังสือพิมพ์ภาษาไทย ในนครลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐ ภาณุพล รักแต่งาม บรรณาธิการหนังสือพิมพ์สยามทาวน์ ยูเอส (SIAM TOWN US) และ สมเจตน์ พยัคฆฤทธิ์ บรรณาธิการหนังสือพิมพ์เสรีชัย สนทนากับ เสนาะ สุขเจริญ สุทธิวรรณ ตัณญพงศ์ปรัชญ์. และ ภีรกาญจน์ ไค่นุ่นนา ว่าด้วยการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนไทยในปัจจุบัน
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org เรียบเรียงเนื้อหามานำเสนอดังนี้
ภาณุพล:ผมมีความรู้สึกว่าบทบาทของสื่อทุกวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เปลี่ยนจากบทบาทที่เราเคยเรียน จากอาจารย์เคยสอนมาทั้งหมดเลย สื่อต้องเลือกข้าง สื่อต้องเป็นเครื่องมือ propaganda (โฆษณาชวนเชื่อ) ในการที่จะเอาความคิดเห็นของตัวเองไปยัดให้คนอ่าน
ใครสอนคุณมา (เน้นเสียง).. ผมก็ไม่รู้ แล้วกลายเป็นสิ่งถูกต้อง ถ้าสื่อไหนไม่เป็นอย่างคุณ คุณก็ด่าเขาอย่างโน้นอย่างนี้ คือผมเข้าใจว่าสื่อ มันอยู่ยากในยุคนี้ ถ้าสังคมเป็นแบบนี้ อย่างในช่วงเป็นหนังสือพิมพ์ไทยทาวน์ในช่วง กำลังแดง กำลังเหลือง แรงๆ ส่งสารน้องๆขายโฆษณา เขาโทรมาด่า ถอนโฆษณาก็มี ถ้าเลือกไปเลย คุณเป็นหนังสือสีเหลืองอย่างนี้มันชัดไปเลย โอ.เค.โฆษณากลุ่มนั้นมาเลย แดงก็มีโฆษณา
แต่พอวันนี้เราลงข่าว กิจกรรมของคนเหลือง คนแดงโกรธเรา พอมีกิจกรรมของคนแดง คนเหลืองโกรธเรา ก็มันเป็นอย่างนี้ แล้วผมถูกด่าแบบวันนี้เหลืองด่า วันนี้แดงด่า บางที ทั้งเหลืองทั้งแดง ด่าเช้าเย็น แล้วมันทำให้คนหน้ามืดตามัว ใช้สติสตางค์ไม่เป็นแล้ว
อย่างเช่น ผมเคย ถูกด่าในประเด็นที่ งี่เง่ามาก มึงเอารูปทักษิณมึงนะเลิกเอาแต่รูปหล่อๆมาลง จะบ้าเหรอรูปผมก็เอามาจากอินเตอร์เน็ต เปิดเจอก็อามาใช้ ถูกด่าแม้กระทั่งอย่างนี้เอารูปทักษิณมาลง ต้องเอารูปทักษิณไม่หล่อมาลงมึงถึงจะพอใจ
อย่างนี้ คือ ผมว่าเราใช้สื่อเป็นเครื่องมือทั้งหมดตั้งแต่ต้น ดีหรือเปล่าไม่รู้นะทำให้เกิดการตื่นตัวขึ้นมาขนาดนี้แต่ว่า ใช้เป็นเครื่องมือตั้งแต่ต้น ผิดมาตั้งแต่ต้น
ผมยืนยันกับทุกคนผมไม่เหลืองไม่แดง คือ ถึงผมจะเหลืองจะแดงเป็นเรื่องของผม
แต่หนังสือของผมไม่เหลืองไม่แดง ผมเสนอหมดแหละ ทักษิณ ชินวัตร มาแอลเอ ผมก็สัมภาษณ์ คนเขาก็ด่าผมตึม ผมก็กลายเป็นเสื้อแดงในวันนั้นเพราะว่าเสื้อแดงเฮฮา เพราะว่าทักษิณได้แก้ตัว เขาเป็นอย่างไร อย่างนี้
แต่ขณะเดียวกันบทวิจารณ์ของผม ถ้าผมเขียนผมอาจไม่เห็นด้วยกับทักษิณพูดก็ได้ ผมอาจจะเอามาอย่างนี้
แต่คนเขาไม่อ่านแล้ว คือทำงานลำบากมากถ้าคุณยังต้องคำนึงถึงรายได้ของหนังสือพิมพ์ ถ้าคุณจะต้องคำนึงว่าคุณจะต้องไปร้านนั้นไปอยู่ในชุมชนอย่างงี้ คุณจะทำงานลำบาก เพราะว่าคนไม่มีสติสตางค์กันแล้ว ถูกกรอกอยู่อย่างนี้
ขณะที่คุณดูทุกช่อง รับๆแล้วมากลั่นกรอง ไม่เลย คุณดูอยู่กับช่องใดช่องหนึ่งที่ที่คุณคิดว่าคุณชอบ แล้วได้รับอย่างเดียวทุกวันๆ จนกระทั่งสมองคิดว่าตันแล้วนะ
พูดก็พูดช่วงแรกๆผมสนใจมากผมยากจะเขียน ทุกวันนี้ผมมีความรู้สึกว่าถ้าผมไม่แน่จริง ผมไม่กล้าเลย ผมมีความรู้สึกว่า ถ้ามีความคิดอะไร ผมจะถาม น้าเจตน์ (สมเจตน์ พยัคฆฤทธิ์) ถามเพื่อให้แน่ใจว่ามันคืออะไรแล้วไม่กล้าเขียน
เพราะผมรู้สึกว่าผมอ่านจากเว็บไซต์อ่านข่าวนี้ผมมีความรู้สึกว่าเขาเลือกมาให้ผมอ่านแล้วหรือยัง เพราะว่าผมเองอยู่ที่นี่เหมือนคนเสพข่าวคนหนึ่ง ผมไม่ใช่เป็นคนที่ไปเสพข่าวคนแรก เหมือนอยู่ที่แอลเอ เราเสพข่าวจากที่หนังสือพิมพ์เขาว่ากันมาแล้วแล้วก็เอามา เพราะฉะนั้นเราแน่ใจได้อย่างไร กลายเป็นรู้สึกอย่างนั้นคือสื่อจากเมืองไทยกลายเป็นว่าไม่เชื่อใจเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ทั้งๆที่ผมเองก็มาจากสื่อเหมือนกัน ถ้าใครด่าสื่อ เผลอๆผมผสมโรงด้วย
ผมก็รู้สึกผิดหวังมาก คืออาจไม่ทุกคนนะแต่ผมไม่รู้ว่าใครดี ละ ใครเป็นอย่างไร ผมแยกไม่ถูกเอาเป็นว่า ภาพรวมแล้วมันเปลี่ยนไปเยอะมาก พวกนี้ ที่สำคัญครูบาอาจารย์ก็เป็นด้วย ถ้าสื่อไม่กลับไปสู่กรอบของมัน ประเทศไทยก็คงวุ่นวายไปอีกนาน เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ให้ตาย ผมไม่เอาข่าวเมืองไทยมาเป็นข่าวแรก
ถ้าอย่างนั้นสื่อจะต้องกลับมามองตัวเองอย่างไร?
ภาณุพล: กลับไปดูครูบาอาจารย์สอนคุณมาว่าอย่างไรในเรื่องของจรรยาบรรณ จริงๆ สื่อเป็นแค่คนกลาง ระหว่างแหล่งข่าวกับคนอ่าน มันคือสื่อ
คุณไม่มีสิทธิเป็นเครื่องมือ propaganda ของใคร ไม่ว่าจะเจตนาดี หรือเจตนาไม่ดีก็แล้วแต่
ผมเห็นว่ามันน่าที่จะมีกลวิธีอื่น ที่ทำได้มากกว่าที่กลายเป็นอุทิศตัวเป็นเครื่องมือของใครหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งก็แล้วแต่ ทั้งฝ่ายต่อต้านและฝ่ายรัฐบาลเองผมว่า เมื่อก่อน อย่างนี้มันมีมานานแล้วแต่มันไม่มีเปิดเผยเป็นที่ภาคภูมิใจเป็นที่ยอมรับของคนทั่วประเทศ ของคนอ่านขนาดนี้ และถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปในอนาคตให้ตายเถอะมันไม่มีทางสงบหรอกเมืองไทย
เพราะว่าสื่อทำหน้าที่เป็นเครื่องมือ propaganda ใครว่าสื่อเมืองไทยไม่มีอิสระ ทำได้ขนาดนี้เชียวหรือ อย่างที่นี่ก็มีนะ เลือกข้างชัดเจน ฟอกซ์นิวส์อย่างนี้ แต่ว่าบทบาทของมันไม่ใช่เป็นการกุขึ้นมาหรือว่าเกินความจริงอย่างนี้ อย่างที่เรารู้สึกกัน คือเขาเล่นในเกม ถ้าคุณผิดมากูเอามึงตายอย่างเลย (เน้นเสียง) แต่มันอยู่ในเกม และทำหน้าที่พียงแค่บทบาทของสื่อ ไม่มีการชวนคน จะไม่มี
แล้วส่วนตัวมองปรากฏการณ์เคลื่อนไหวทางการเมืองไทยในขณะนี้อย่างไร?
ภาณุพล:ผมไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้ง ถ้าพูดก็พูดนะ ในความรู้สึกของผม การเลือกตั้ง (2 ก.พ.)มันไม่มีอยู่แล้วนะ มันจะสิ้นเปลืองเงินกันไปทำไม ทั้งในประเทศและนอกประเทศมันไม่ใช่เงินของรัฐบาล เงินภาษีทั้งเลย แต่เมื่อมันมีการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรเกิดขึ้นมาแล้วนี่ ในความเป็นสื่อเรา เขาส่งบัตรเลือกตั้งไปให้คุณแล้วนะ คุณต้องทำอย่างไรบ้าง หนึ่งสองสามสี่ นี่คือสิ่งที่เราทำได้ แต่ว่าเราไม่ควรที่จะไปบอกเขาว่าคุณควรทำอย่างไร ก็แล้วแต่เขา
สมเจตน์:ผมว่าสื่อไทยที่เมืองไทยก็เลือกข้างนะ ทีนี้มันก็มีอยู่ 2 ประเด็น ประเด็นแรก ตามความเชื่อเดิมเราคิดว่าสื่อควรจะเป็นกลาง ให้น้ำหนักค่อนข้างเท่ากัน แต่ที่นี้ส่วนตัวผมมองว่า ในเมื่อเราทำหน้าที่ในการเสนอข่าวแล้ว การที่จะเสนอความเห็นเราน่าจะคิดว่าเราเลือกในสิ่งที่มันถูก และสิ่งที่มันถูกไม่ได้หมายความสังคมคิดว่ามันถูก แต่เราก็เหมือนเลือกข้างโดยธรรมชาติ เพราะเราเชื่ออย่างนี้
เราเชื่อว่า กปปส. (คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข) เขาทำถูกแล้วเพราะเขามีสิทธิที่จะต่อสู้กับรัฐบาลที่ฉ้อฉล เราก็คิดว่า เออ กปปส.ถูกเราก็สนับสนุนเขา
แต่ในขณะเดียวกันถ้าย้อนไปสมัย สปก.4-01 (การแจก สปก.ยุครัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์) เราก็บอกว่าเออ คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ เขาไม่ถูกนะ ตรงนั้น ซึ่งมันก็ไม่รู้ว่าเป็นการเลือกข้างหรือเปล่า แต่เราเลือกในสิ่งที่ ณ ปัจจุบันที่คิดว่าเรื่องนี้น่าจะถูกต้อง
มีคนเขาว่าผม เขาต่อว่ามาทำไม เราถึงเสนอข่าวเฉพาะทางฝั่งนี้ ไม่เห็นเสนอข่าวฝั่งโน้นบ้างเลย ผมก็เขาบอกว่าคุณไม่ต้องเชื่อผมหรอก เพียงแต่ว่าสิ่งที่ผมนำเสนอ จากประสบการณ์ส่วนตัวเราก็ดูข่าวเรื่อยๆ สิ่งที่เรานำเสนอเป็นสิ่งที่เราคิดว่าดีที่สุดที่เราจะให้ ส่วนเขาจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เขา
รู้สึกผิดหวังกับสื่อไทยเหมือนคุณภาณุพลหรือไม่?
สมเจตน์:ผมไม่ค่อยผิดหวัง ผมคิดว่า ความแตกต่างมันเป็น... ผมพูดนานแล้วว่าประเทศไทยมันต้องเจอแบบนี้
เมื่อเรามาเจอประชาธิปไตยมันต้องเจอขัดแย้งกันแล้ว เราไม่เคยชินที่จะขัดแย้งกัน
เราเคยชินกับคำพูดที่บอกว่า “ผมโตกว่าคุณนะคุณต้องฟังผม” เมื่อไหร่ที่ทุกคนมีเสรีภาพเท่ากันมันจะเถียงกันก่อนแล้วจะทะเลาะกัน มีปัญหากันก่อนซึ่งมันเป็นเรื่องปกติ ผมว่าหลายๆประเทศที่เขาฆ่ากัน เขาอะไรต่างๆ เพราะว่ามันมีเสรีภาพ เหมือน ฟิลิปปินส์ สมัยมาร์กอส (อดีตประธานาธิบดี) ใช่ไหม จากยุคหนึ่งสเปนมายุคอเมริกา มายุคของมาร์กอส มันก็มีการต่อสู้ในลักษณะนี้มาตลอด แต่วันหนึ่งเมื่อเรา รู้จักเจ็บตัวกับการต่อสู้เราก็จะรู้ว่า การต่อสู้อย่างหนึ่ง ความคิดอย่างหนึ่ง แล้วเคารพกันเหมือนที่นี่ (สหรัฐ) ที่ว่าคุณเป็นพรรคหนึ่งกับอีกพรรคหนึ่งแล้วเราก็ไม่ต้องต่อสู้กันอีก
ส่วนความเห็นที่ไม่ตรงกันเราอาจเอาหน้าชนกันแล้วทะเลาะกันแล้วก็จบ พรุ่งนี้เราก็ลืม อะไรอย่างนี้ มันแค่ความคิดชั่วขณะหนึ่งแล้วก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ใช่ ชีวิตทั้งหมด มันยังมีกินข้าว ยังมีไปเที่ยว ยังมีการเมือง ส่วนอื่นๆ อะไรอย่างนี้
มีคนบอกว่าสื่อมีปัญหาเพราะว่าสังคมส่วนใหญ่มีปัญหา
สมเจตน์:มันก็มี 2 อย่าง คือสื่อเหมือนคุณภาณุพล มองว่าสื่อเป็นการเสนอ แต่บางทีสื่อเองก็ทำ 2 หน้าที่ ตัวเองนำเสนอด้วยและตัวเองอยากจะให้ความคิดของเราเป็นความคิดที่ชนะ เพราะฉะนั้นเราก็ทำ 2 หน้าที่ ในฐานะสื่ออย่างหนึ่ง ฐานะส่วนตัวอย่างหนึ่ง เหมือนเราอยู่ข้างมวลมหาประชาชนเราก็อยากให้มวลมหาประชาชนชนะ เราก็พยายามทำทุกวิถีทางใช้สื่อของเราเป็นเครื่องมือ ที่จะไปถึงเป้าหมายนั้นด้วย
ภาณุพล: ผมมองอย่างนี้ ผมมองว่าการแสดงความคิดเห็นของเรามันทำได้ ผมก็มีความคิดเห็นของผม แต่ผมจะไม่เอามาเจือปนกับข่าว ถ้าข่าวหน้าหนึ่งของผมมันก็คือข่าวล้วนๆ จะไม่มีอะไรที่ที่..อะไรอย่างนี้ จะพยายามนำเสนอทุกด้าน อย่างทุกวันนี้ถ้าผมเอาข่าวที่เมืองไทย ถ้าประเด็นเดียวกันผมจะเอาจากเล่มโน้นเล่มนี้มารวมกัน เพื่อจะให้ข่าวมันไม่ใช่ว่าเทไปทางเดียวกัน ผมเอาอย่างน้อย 2-3 เล่ม อย่างผมไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้งครั้งนี้ ถ้าเป็นบทความบทบรรณาธิการ ผมก็เอาเต็มที่เหมือนกัน เพราะมันเป็นความเห็นส่วนคุณจะเชื่อไม่เชื่อมันเป็นความเห็น แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นจริงมันก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ผมจะไม่ไปบิดเบือนคุณเลย
สมเจตน์:คุณภาณุพลเขาดีกว่าผมตรงนี้ ตรงที่เขามีความเป็นธรรมอยู่ในใจ แต่ผมไม่ค่อยมีความเป็นธรรม ผมมีความรู้สึกว่าถ้าหากว่าผมสามารถผลักคุณออกไปได้ ผมก็จะผลักคุณออกไป ในช่วงนี้ผมจะให้คนนี้พูดมากกว่าเพื่อจะให้คนเขาได้รับส่วนนี้มากกว่าส่วนโน้น
ทั้งนี้“ภาณุพล”ก่อนผันตัวเป็นหนังสือพิมพ์ในลอสแองเจลิส เคยทำนิตยสารชื่อดังในเมืองไทย
ขณะที่“สมเจตน์”เป็นนักหนังสือพิมพ์อาวุโส อยู่กับหนังสือพิมพ์เสรีชัยมากว่า 30 ปี
ปัจจุบันในลอสแองเจลิส มีหนังสือพิมพ์ภาษาไทยมากกว่า 5 ฉบับ หลักๆ ได้แก่ หนังสือพิมพ์เสรีชัย หนังสือพิมพ์สยามทาวน์ ยูเอส (SIAM TOWN US) หนังสือพิมพ์ สยาม มีเดีย หนังสือพิมพ์ Asian Pacific หนังสือพิมพ์ข่าวสด
ทั้งหมดวางแผงเป็นรายสัปดาห์มียอดพิมพ์หลักพันถึงหลักหมื่นฉบับ