- Home
- Isranews
- เรื่องเด่น - สำนักข่าวอิศรา
- ความแตกต่างราว "ฟ้า"กับ"เหว" ระหว่าง“เสรีไทย”ยุค“จารุพงศ์ VS ปรีดี-เสนีย์”
ความแตกต่างราว "ฟ้า"กับ"เหว" ระหว่าง“เสรีไทย”ยุค“จารุพงศ์ VS ปรีดี-เสนีย์”
“…เท่ากับว่า “องค์กรเสรีไทย” มีเป้าหมายหลักคือทวงคืนอำนาจ และรักษาฐานเสียงทางการเมือง ปูทางรักษากระแสเพื่อเตรียมกลับเข้ามาเลือกตั้งอีกครั้ง ขณะที่ “ขบวนการเสรีไทย” มีเป้าหมายหลักเพื่อรักษาอธิปไตย และผลประโยชน์ของชาติ…”

“คำว่า เสรีไทย นั้น มีความหมายลึกซึ้งในสำนึกทางประวัติศาสตร์ สะท้อนภาพความจริงของสามัญชนไทยทั้งหลายที่ใฝ่เสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ถือเป็นชื่ออันเป็นมงคลยิ่งที่ปวงชนชาวไทยจากทุกมุมโลกได้ร่วมกันสานต่ออุดมการณ์ให้ประเทศชาติพ้นมหพันตภัยนี้ไปให้ได้ หากเรายังมั่วนิ่งโฉย ก็จะต้องประสบกับชะตากรรมอันเลวร้ายนี้ร่วมกัน”
ส่วนหนึ่งจากแถลงการณ์ของ “องค์กรเสรีไทย” ที่ก่อตั้งโดย “จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ” อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) เมื่อย่ำรุ่งวันที่ 24 มิถุนายน 2557 เพื่อให้พ้องกับวันครบรอบ 82 ปี 24 มิถุนายน 2475 วันเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณายาสิทธิราชย์ เป็นประชาธิปไตย
(อ่านประกอบ : "จารุพงศ์"ใช้ตำแหน่งเลขาธิการ ออกแถลงการณ์ตั้งองค์กรเสรีไทยต้าน คสช. )
ทั้งนี้ การจัดตั้งองค์กรดังกล่าว เป็นไปตามที่ “จักรภพ เพ็ญแข” เคยกล่าวผ่านคลิปวีดีโอก่อนหน้านี้ ที่ระบุว่า จะมีการจัดตั้งองค์กรประชาธิปไตยในต่างประเทศ เพื่อต่อต้านการรัฐประหาร และเผด็จการในประเทศไทย ในระหว่างเดือนมิถุนายน 2557 โดยให้ “จารุพงศ์” นั่งแท่นเลขาธิการ และมีกลุ่มคนเสื้อแดงต่างประเทศร่วมเคลื่อนไหวหลายคน
(อ่านประกอบ : เปิดคลิปสด “จักรภพ” ประกาศตั้งองค์กรต้านรัฐประหาร ดัน“จารุพงศ์” นำทัพ )
อย่างไรก็ดีสิ่งที่น่าสนใจนอกเหนือไปจากวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งองค์กรทั้ง 6 ข้อ ที่เน้นด้านการต่อต้านระบอบเผด็จการทหารและอำมาตย์ พร้อมกับฟื้นฟูและเสริมสร้องระบอบประชาธิปไตยนั้น
คือคำพูดที่ว่า “เสรีไทย มีความหมายลึกซึ้งในสำนึกทางประวัติศาสตร์”
ดังนั้นอาจตีความได้ว่า “จารุพงศ์” ต้องการสื่อนัยยะว่า “องค์กรเสรีไทย” จัดตั้งขึ้นเพื่อสานต่ออุดมการณ์ “ขบวนการเสรีไทย” ขบวนการใต้ดินที่ดำเนินการในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เพื่อปลดแอกชาวไทยให้รอดพ้นจากการคุกคามของฝ่ายอักษะในเอเชียบูรพา คือ ประเทศญี่ปุ่น ?
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org เทียบแนวคิด และเป้าหมายขององค์กรทั้ง 2 แห่ง ให้เห็นกันชัด ๆ ดังนี้
“องค์กรเสรีไทย” เป็นองค์กรที่ก่อตั้งขึ้น ภายหลังเกิดเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และนายจารุพงศ์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต่อต้านรัฐประหาร เผด็จการทหาร และระบอบอำมาตย์ โดยมีมวลชนเสื้อแดงต่างประเทศบางส่วนเข้าร่วมในองค์กร เพื่อขับเคลื่อนแนวคิด และขยายแนวร่วมให้กว้างขวางขึ้น
จึงอาจถือได้ว่าเป็นองค์กรต่อยอดจากคนเสื้อแดงภายในประเทศไปสู่ต่างประเทศอย่างเป็นรูปธรรม และเป็นเอกภาพมากยิ่งขึ้น แต่สิ่งที่แตกต่างจากกลุ่มคนเสื้อแดงในประเทศคือ มีผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112 เข้าร่วมด้วย เช่น นายจักรภพ เพ็ญแข นายเพียงดิน รักดาว เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ที่น่าสังเกตคือ การจัดตั้งคราวนี้ แทบไม่มีนักการเมือง หรือฝ่ายขั้วอำนาจเก่าพรรคเพื่อไทย เข้าร่วมในขบวนการนี้แม้แต่น้อย นอกจากนี้ยังประกาศเสียงดังฟังชัดว่า “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในขบวนการดังกล่าว
อาจประเมินได้ว่า องค์กรนี้จัดตั้งขึ้นเพียงเพื่อรักษากระแสการต้านรัฐประหาร และรักษาฐานมวลชนคนเสื้อแดง และแฟนคลับที่นิยมชมชอบใน “พ.ต.ท.ทักษิณ” และพรรคเพื่อไทย แทนกลุ่ม นปช. ที่ประกาศ “เว้นวรรค” เคลื่อนไหวทางการเมือง รอ คสช. จัดตั้งรัฐบาล และเปิดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปอีกครั้งหนึ่ง
ขณะที่ “ขบวนการเสรีไทย” ปรากฎข้อมูลในเอกสารทางวิชาการ และหนังสือประวัติศาสตร์หลายเล่มว่า เป็นขบวนการใต้ดิน ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อต่อต้านการรุกรานของจักรวรรดินิยมญี่ปุ่น ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ในช่วงที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับประเทศญี่ปุ่น ส่งผลให้เกิดการต่อต้านจากหลายภาคส่วนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นภาคนักการเมืองขั้วอำนาจเก่าก่อนหน้าที่จะแตกหักกับจอมพล ป. เช่น นายปรีดี พนมยงค์ รมว.คลัง ในขณะนั้น เป็นหัวหน้าขบวนการ หรือแม้แต่สายอำมาตย์อย่าง ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เอกอัครราชทูตประจำสหรัฐอเมริกา ฝ่ายหัวก้าวหน้าอย่างนายเตียง ศิริขันธ์ เป็นต้น จนในที่สุดประเทศไทยก็รอดพ้นจากการเป็นประเทศแพ้ในสงคราม
ส่วน "สุลักษณ์ ศิวรักษ์" หรือ "ส.ศิวรักษ์" ปัญญาชนสยาม ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ของการอภิวัฒน์ 2475 และศึกษาประวัติปรีดี พนมยงค์ แกนนำคณะราษฎรและผู้ก่อตั้งเสรีไทยเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีส่วนทำให้ไทยไม่ตกเป็นผู้แพ้สงคราม ก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ แนวทางการก่อตั้ง องค์กรเสรีไทย ของ นายจารุพงศ์ ไว้หลายประเด็น
โดยเฉพาะเรื่อง "ที่มา" และ "จุดยืน"
" คำว่าเสรีไทยไม่ได้จดทะเบียนไว้ คงจะสงวนลิขสิทธิ์ไว้ไม่ได้ ดังนั้น นายจารุพงศ์ ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง เขาจะนำคำนี้ไปทำอะไรเขาก็สามารถนำไปใช้ได้"
"คุณจารุพงศ์ใกล้ชิดกับคุณทักษิณ แล้วทักษิณเขาพูดเสมอว่าเขายกย่องอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ แต่สิ่งที่ทักษิณทำนั้นตรงข้ามกับอาจารย์ปรีดีทุกอย่าง เพราะอาจารย์ปรีดีนั้น อุทิศเพื่อชาติและมนุษยชาติ เสรีไทยของอาจารย์ปรีดี ทำเพื่อชาติและฮิวแมนนิตี้โดยแท้”
“การตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นมันขึ้นอยู่กับกาละเทศะด้วย เช่น ตอนหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 มีคนมาเชิญ อาจารย์ป๋วย ( ศ.ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ) ทำรัฐบาลพลัดถิ่น มีคนคนหนึ่งที่สวีเดนซึ่งโจมตี สถาบันกษัตริย์มาโดยตลอด เขาข้ามมาจากสวีเดน มาพบอาจารย์ป๋วยที่ลอนดอน ชวนอาจารย์ ป๋วยตั้งขบวนการเสรีไทยใหม่ แต่อาจารย์ป๋วย ก็ไม่เห็นด้วย ทั้งที่ตอนนั้น ในไทย ก็มีรัฐบาลที่เลวร้าย คือรัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียร ที่จำกัดอิสรเสรีภาพอย่างยิ่ง แต่อาจารย์ป๋วยก็ให้เหตุผลว่า แต่เมืองไทยเรายังไม่ได้ถูกต่างชาติเข้าครอบงำ เพราะฉะนั้น ไม่มีความจำเป็นที่จะตั้งรัฐบาลอิสระนอกประเทศ”
"ศ.ดร.ป๋วย ก็เป็นเสรีไทยคนหนึ่งด้วยเช่นกัน และโดยส่วนตัวแล้วเห็นด้วยกับ อาจารย์ป๋วย ว่าไม่มีความจำเป็นต้องตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นหรือรัฐบาลอิสระนอกประเทศ"
“แต่ว่าแน่นอน คุณทักษิณ คงต้องการตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น และการที่นำเอาชื่อ เสรีไทยของอาจารย์ปรีดีมาใช้นี่ ผมเชื่อว่าคนเหล่านี้ไม่มีความเชื่อเรื่องเสรีไทย ประชาธิปไตย และทำเพื่อราษฎรอย่างจริงจัง”
ดังนั้น เท่ากับว่า “องค์กรเสรีไทย” มีเป้าหมายหลักคือทวงคืนอำนาจ และรักษาฐานเสียงทางการเมือง ปูทางรักษากระแสเพื่อเตรียมกลับเข้ามาเลือกตั้งและมีอำนาจทางการเมืองอีกครั้ง
ขณะที่ “ขบวนการเสรีไทย” มีเป้าหมายหลักเพื่อรักษาอธิปไตย และผลประโยชน์ของชาติ!
ด้วยที่มา และจุดประสงค์ที่แตกต่างกันเช่นนี้ จึงทำให้องค์กรเสรีไทย ไม่สามารถที่จะนำมาเปรียบเทียบความศักดิ์สิทธิ์ ของ ขบวนการเสรีไทย ในอดีตได้
ชนิดที่เรียกได้ว่า แตกต่างกันราว "ฟ้า" กับ "เหว" เลยทีเดียว!
