- Home
- Isranews
- เรื่องเด่น - สำนักข่าวอิศรา
- ธุรกิจ“ครีม - อาหารเสริม” ภัยเงียบในโลกออนไลน์
ธุรกิจ“ครีม - อาหารเสริม” ภัยเงียบในโลกออนไลน์
ตร.บุกทลายโกดังอาหารเสริมเถื่อนกลางเมืองอุดรฯ: ไทยรัฐออนไลน์ 19 มี.ค. 57
อย.จับร้านขายอาหารเสริม-เครื่องสำอางผิดกฎหมายย่านดอนเมือง: สำนักข่าวไทย 4 ก.ค.57
ปคปจับอาหารเสริม-เครื่องสำอางปลอม: เดลินิวส์ 8 เม.ย.58

แม้พาดหัวข่าวเหล่านี้จะปรากฏอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์และหน้าเว็บเพจต่าง ๆ บนโลกออนไลน์อยู่เนือง ๆ แต่ผู้บริโภคสินค้ากลับไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก ผู้คนส่วนใหญ่มองเพียงว่าจะมีผลิตภัณฑ์ชนิดใดที่เข้ามาเป็นตัวเสริมให้ผิวสวย ขาว ใส เหมือนคำโฆษณา โดยไม่ตระหนักว่าส่วนผสมของสารเร่งความงามนั้นมีพิษภัยมากน้อยเพียงใด
และเพียงแค่คลิกข้อความสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ผ่านโซเชียลทุกคนก็สามารถตกเป็นเหยื่อโฆษณาเช่นเดียวกับ "วรรณวรางค์" สาววัย 23 ปีที่หวิดเสียโฉมจากการสั่งซื้อครีมผ่านเฟสบุ๊คมาแล้ว

วรรณวรางค์ หญิงสาวที่ตกเป็นเหยื่อโฆษณาทางโลกออนไลน์
เหยื่อโฆษณาทางโลกออนไลน์
จากภาพ...ไม่ได้เป็นการรีวิวสินค้าหรือเสนอขายผลิตภัณฑ์ใด ๆ ตุ่มสิวเม็ดโตและมีสีแดงบนใบหน้าหญิงดังกล่าวก็ไม่ได้เกิดจากอาการแพ้ฝุ่น หรือ เพราะสิวฮอร์โมน แต่เป็นสภาพใบหน้าที่ผ่านการใช้ครีมที่ผู้เสียหายเคยหลงเชื่อการโฆษณาครีมจากเน็ตไอดอลผ่านโซเชียลมีเดีย โดยหลังการตัดสินใจสั่งซื้อครีมใช้เพียง 2 สัปดาห์ ใบหน้าของหญิงสาวก็อยู่ในสภาพเช่นนี้
วรรณวรางค์ สมใจ อาชีพออแกไนซ์ ผู้เสียหายจากการใช้ครีมของเน็ตไอดอล เล่าว่า เธอเป็นคนรักสวยรักงามเหมือนผู้หญิงทั่วไป ชอบอ่านกระทู้แสดงความคิดเห็นเรื่องต่าง ๆ ในโซเชียลมีเดีย กระทั่งไปพบเพจเฟสบุ๊คหนึ่ง ซึ่งเป็นเน็ตไอดอลสาวหน้าสวยและเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ครีมแบรนด์หนึ่ง ที่มักนำรีวิวความเห็นหลังการใช้ผลิตภัณฑ์ของตัวเอง มาโชว์ ว่าใช้ดี สิวหาย หน้าใสภายในหนึ่งสัปดาห์ จึงตัดสินใจลองสั่งมาใช้ 2 ชุด ชุดละ1,850บาท ผ่านไปประมาณ 1 สัปดาห์รู้สึกผิวหน้าดีขึ้นจริง แต่พอเข้าสัปดาห์ที่สอง ใบหน้ากลับเริ่มมีตุ่มเม็ดแดงขึ้น มีอาการคัน แสบใบหน้าเวลาโดนแดด และมีอาการปวด จึงหยุดใช้ทันที แล้วรีบไปพบแพทย์ที่คลินิกย่านเมืองทองธานี
“หมอตรวจแล้วบอกว่า ผิวหน้าน่าจะแพ้สารเคมีชนิดหนึ่ง และได้สั่งให้หยุดใช้ครีมนั้นทันที" หญิงสาวที่ตกเป็นเหยื่อโฆษณาระบุ
วรรณวรางค์ ยอมรับว่า เธอเลยสั่งครีมมาใช้ โดยไม่ได้ตรวจสอบว่าปลอดภัยหรือไม่ เนื่องจากผู้ขายยืนยันผ่านเฟสบุ๊คว่าผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา(อย.) ซึ่งผลที่ได้ไม่คุ้มกับเสียเพราะจ่ายค่าซื้อครีมจำนวนกว่า 3,000 บาท แต่เสียค่ารักษาใบหน้าไปแล้ว 7,000 บาท
กรณีที่เกิดขึ้นกับหญิงสาวคนนี้เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ แล้ว ถือว่าโชคดี เพราะมีอาการแพ้แค่เป็นสิวหนอง และผื่นคันบนใบหน้า ต่างจากหญิงสาวอีก 3 รายที่คนหนึ่งต้องเสียชีวิตจากการใช้ผลิตภัณฑ์ลดความอ้วนและเสริมความงาม ในขณะที่อีก 2 คนได้รับอันตรายจนต้องเข้ารับการรักษาจากแพทย์ในโรงพยาบาล เนื่องจากแพ้พิษของสารอันตรายที่ผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า ได้รับการการันตีจากอย.แล้วเช่นกัน
ตัวอย่างครีมที่โฆษณาขายผ่านทางโซเชียลมีเดีย
เว็บไซต์เครื่องสำอาง-อาหารเสริมภัยใกล้ตัวเพียงแค่คลิก
จากกรณีข้างต้น นอกจากจะมีตัวแทนขายครีม อาหารเสริม ที่ทั้งปลอดภัยไม่ปลอดภัย ผ่านโซเชียลมีเดียแล้ว อีกกระแสธุรกิจที่กำลังเป็นที่นิยมในกลุ่มนักลงทุนด้านความงาม คือการมีครีม อาหารเสริม ที่เป็นแบรนด์ของตัวเอง โดยปัจจุบันมีโรงงานรับผลิตครีมมากมาย ซึ่งมักจะโฆษณาผ่านเว็บไซต์ต่าง ๆ เนื่องจากเป็นช่องทางที่สามารถสื่อสารได้สะดวก รวดเร็ว ในการรับผลิตครีม อาหารเสริม ออกแบบผลิตภัณฑ์ ทำแผนการตลาด พร้อมมีเลขจดทะเบียนจากอย.ให้มากมาย
และเมื่อคลิกเข้าเว็บไซต์ชื่อดังพิมพ์ข้อความ “รับผลิตครีม” ก็พบเว็บไซต์ที่โฆษณาว่าเป็นโรงงานรับผลิตครีม อาหารเสริมมากกว่า 20 เว็บไซต์ ซึ่งเนื้อหาภายในเว็บไซต์ส่วนใหญ่จะคล้ายกัน ระบุถึงการก่อตั้ง มาตรฐานการผลิต การรับประกัน การออกแบบสินค้า ต่าง ๆ หรือแม้แต่การวางแผนการตลาด รวมถึงการจดทะเบียนกับอย.ให้ด้วย พร้อมมีรูปภาพประกอบ
และเป็นที่น่าสังเกตว่า ส่วนใหญ่จะไม่ระบุที่ตั้งของโรงงาน แต่จะบอกเพียงตำแหน่งบริษัทจัดจำหน่าย จึงเกิดข้อกังขาว่าผู้บริโภคจะแน่ใจได้อย่างไรว่า โรงงานที่โฆษณาว่ารับผลิตครีม อาหารเสริมต่าง ๆ เกลื่อนเว็บนี้ จะปลอดภัย และได้ผลจริงโดยที่ไม่อวดสรรพคุณเพื่อขายของให้ได้กำไร
พ.ต.ท.สุริยา สิงหกมล ผู้บัญชาการสำนักคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวว่า ขณะนี้ยังมีผู้ประกอบหลายรายที่ยังอาศัยช่องว่างการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โฆษณาผ่านเว็บไซต์ต่าง ๆ เชิญชวนผู้สนใจร่วมลงทุนทำธุรกิจดังกล่าว โดยอ้างว่าเป็นโรงงานรับผลิตครีม หรืออาหารเสริมต่าง ๆ พร้อมรับออกแบรนด์สินค้า และจดเลขที่อย.ให้ เพียงแค่มีเงินมาลงทุน โดยบางรายระบุเงินลงทุนเริ่มตั้งแต่ 80 บาท อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบพบว่า ร้อยละ 90 ที่โฆษณาผ่านเว็บไซต์รับผลิตครีมผิดหมดและไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค
“ผู้ประกอบการโรงงานผลิตครีมมักผสมสารปนเปื้อน สารต้องห้าม มีการปลอมเลขอนุญาต หรือนำเลขอนุญาต(อย.)ของผลิตภัณฑ์อื่นมาอ้าง ทำให้ผู้บริโภคไม่ได้รับความปลอดภัย ปัจจุบันพบว่ามีอาหารเสริมที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มลดความอ้วน กลุ่มเพิ่มความขาว ขนาดหน้าอก และกลุ่มเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ อย่างไรก็ตาม สินค้าหลายชนิดทำงานได้ผลจริงภายในครั้งแรก หรือภายใน 7 วัน เนื่องจากมีฤทธิ์ของยาผสมอยู่” พ.ต.ท.สุริยา กล่าว และย้ำว่าเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาดีเอสไอและอย.ได้เข้าตรวจสอบโรงงานรับผลิตครีม ผลิตยาลดอ้วน อาหารเสริมต่าง ๆ ของบริษัท สุกฤษ 55 จำกัด ต.คอกกระบือ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ซึ่งโฆษณาผ่านโซเชียลว่ารับผลิตครีม และอาหารเสริม โดยการจับกุมครั้งนั้นได้ยึดของกลางเป็นยาลดความอ้วนที่ผิดกฎหมายได้กว่า 900,000 เม็ด และทาง อย.นำไปตรวจพบว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าว แสดงชื่อไม่ตรงกับที่จดแจ้งไว้กับอย. และยังมีสารต้องห้ามปนเปื้อน อีกทั้งยังแสดงฉลากอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง
ยาอันตรายภัยแฝงจากผลิตภัณฑ์ลดอ้วน
องค์การอาหารและยาได้มีจัดจำแนกประเภทยาอันตราย โดยระบุว่าที่ตรวจพบในผลิตภัณฑ์อาหารเสริมส่วนใหญ่เป็นสารประเภท “ไซบูทามีน เบนซิลไซบูทามีน ออริสแตท” ซึ่งมักพบในยาลดความอ้วน” แน็ก ทรานซามิน “ฮอร์โมนเพศหญิง พบในยาเพิ่มความขาว หรือขนาดหน้าอก และ” ซิลดาเนฟิล ทาราดาฟิล” พบในกลุ่มเสริมสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าอาหารเสริมชนิดใดมีอันตรายต่อร่างกายหรือไม่ เพราะพิจารณาเพียงว่ามีเลข อย. กำกับ ก็คิดว่าน่าจะปลอดภัย ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เลข อย.ข้างฉลากผลิตภัณฑ์ ไม่ใช่เครื่องรับประกันว่า อาหารเสริมหรือครีมนั้นปลอดภัยจากสารอันตราย
พ.ต.ท.สุริยา ให้คำแนะนำว่าในการตรวจสอบอาหารเสริมหรือครีมที่ไม่แน่ใจว่าจะมีสารปนเปื้อนหรือไม่ มีหลักการ 3 ข้อ คือ 1.ต้องทำความเข้าใจว่า ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ตามพ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522 หมายถึง อาหารชนิดหนึ่งที่รับประทานนอกเหนือจากการรับประทานอาหารปกติ ซึ่งมีสารอาหารหรือสารอื่นเป็นองค์ประกอบสำหรับผู้บริโภคที่คาดหวังประโยชน์ด้านส่งเสริมสุขภาพ ดังนั้นอาหารเสริมจึงไม่ใช่ยา และส่วนประกอบของอาหารเสริมต้องไม่ใช่ยาด้วย ทั้งนี้อาหารเสริมไม่อาจรักษาโรคได้ แต่ปัจจุบัน พบว่าอาหารเสริมที่ทำการตลาดเกือบทั้งหมดมักอวดอ้างสรรพคุณในลักษณะรักษาโรคได้ เช่น ลดความอ้วน เพิ่มหน้าอก เพิ่มความขาว เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งที่กล่าวมานี้เป็นการอ้างสรรพคุณยา
2.หากสงสัยว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้อยู่หรือกำลังจะตัดสินใจซื้อปลอดภัยหรือไม่นั้น เบื้องต้นให้ตรวจสอบจากเว็บไซด์ www.fda.moph.go.th ในหัวข้อ สืบค้นข้อมูลผลิตภัณฑ์ โดยนำเลขทะเบียนสาระบบอย.ที่อยู่บนฉลากมาตรวจสอบว่าชื่อที่จดแจ้งไว้กับทางระบบของอย.ตรงกับที่ปรากฏบนฉลากหรือไม่
และ 3.อาหารเสริมไม่ใช่ยา จึงไม่สามารถออกฤทธิ์ให้เห็นผลได้ในทันทีที่รับประทาน และหากอาหารเสริมตัวใดที่รับประทานเข้าไปแล้วเกิดปฏิกิริยาหรืออาการภายใน 30 นาที ให้สันนิฐานไว้ว่าเป็นอาหารเสริมที่มีการแอบใส่ยาอันตรายเป็นส่วนผสม
ผบ.สำนักคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ ดีเอสไอ ตั้งข้อสันนิษฐานว่า สาเหตุที่ผู้ผลิตอาหารเสริม แอบใส่ยาหรือสารที่เป็นอันตราย อาจเป็นเพราะการผลิตยานั้นต้องได้รับอนุญาตในการผลิตและมีการควบคุมการจำหน่าย ตลอดจนต้องมีการควบคุมในการสั่งยาให้ผู้ต้องการใช้ยา ทำให้ยอดการจำหน่ายไม่สูงมาก ผู้ประกอบการจึงคิดค้ากำไรที่ปราศจากความรับผิดชอบต่อสังคม โดยนำมาผสมในอาหารเสริมเพื่อง่ายต่อการขายและได้กำไรมาก เมื่อประชาชนบริโภคเข้าไปก็ทำให้เห็นผล เนื่องจากมีส่วนประกอบของยาปนอยู่ และผู้ผลิตก็มักอ้างว่าเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม หากมีการบริโภคเป็นเวลานาน อาจเกิดการสะสมซึ่งเป็นต้นเหตุของมะเร็งและก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิต
“ไม่ควรไปลงทุนกับผู้ประกอบการที่โฆษณาผ่านเว็บไซต์โดยอ้างว่ามีโรงงานรับผลิตครีม หรืออาหารเสริมต่าง ๆ เพราะอาจมีโอกาสทำผิดกฎหมายได้ หรือผู้ที่สนใจลงทุนด้านนี้จริง ๆ ควรปรึกษาผู้ที่รู้เรื่องยา สารประกอบ หรือสารต้องห้ามต่าง ๆ แต่เราก็ไม่ได้เหมารวมว่าครีมทุกชนิดในตลาดไร้มาตรฐาน ไม่ดีหมด เพราะผู้ผลิตผู้ประกอบการที่มีจริยธรรม ไม่เอาเปรียบผู้บริโภคก็มีอยู่ไม่น้อย แต่ในส่วนของคุณภาพหรือสรรพคุณต้องยอมรับว่า ของดีราคาถูกบนโลกนี้ไม่มีแน่นอน” พ.ต.อ.สุริยา ระบุ
เตือนตัวแทนจำหน่ายครีมเถื่อนถูกผู้ประกอบการตั้งโรงงานลวง
แม้ว่าที่ผ่านมามีหลายหน่วยงานพยายามทำงานเชิงรุกทั้งด้านป้องกันปราบปรามผู้ประกอบการที่ละเมิดกฎหมาย และมักง่ายกับการทำธุรกิจครีมร้อยแปดสรรพคุณเพื่อหวังผลกำไรสูง โดยไม่คำนึกถึงหลักความถูกต้องปลอดภัย อย่างสม่ำสมอ แต่ปัจจุบันยังพบว่ามีประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อของผู้ประกอบการเหล่านี้อยู่ควบคู่กับมาตรการป้องกันปราบปราม หรือว่ายังมีช่องโหว่ของกฎหมาย และเทคนิคการหลบลีก กฎระเบียบ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังทำงานตามหลังผู้ประกอบการอยู่
นอกจากนี้การติดต่อสื่อสารที่ทันสมัย โดยเฉพาะสื่อโซเชียลมีเดียที่เข้าถึงบ้านแบบง่ายเพียงคลิก และนี่เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการเปิดตลาดธุรกิจเสริมความงาม ที่ไม่ต้องเดินไปเสนอขายแบบเคาะประตูหน้าบ้าน หากมีเพียงเครื่องมือสื่อสารก็สามารถเลือกซื้อ เลือกเชื่อโฆษณาสินค้าได้ แน่นอนขายง่าย ซื้อง่าย เสียหายก็ง่ายเช่นกัน
จากการสำรวจในเว็บไซต์ชื่อดังโดยพิมพ์ข้อความ “รับผลิตครีม” ก็พบเว็บไซต์ที่โฆษณาว่าเป็นโรงงานรับผลิตครีมหลายสิบเว็บไซต์ ซึ่งเนื้อหาภายในเว็บไซต์ส่วนใหญ่จะคล้ายกัน ระบุถึงการก่อตั้ง มาตรฐานการผลิต การรับประกัน หรือแม้แต่การตลาด พร้อมนำรูปภาพมาประกอบ บางรายไม่ระบุที่ตั้งของโรงงาน บอกเพียงตำแหน่งบริษัทจัดจำหน่ายทั้งที่ระบุว่าเป็นโรงรับผลิต
พ.ต.ท.สง่า เอี่ยมงาม ผงส.ผนพ.กก.4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค(บก.ปคบ.) ให้ข้อมูลว่า ในช่วงระยะ1-2 ปีที่ผ่านมาปัญหาดังกล่าวลดน้อยลงกว่าเดิม เนื่องจากผู้ประกอบการกลัวถูกจับกุม โดยพื้นที่ที่พบผู้ทำความผิดและมีการตั้งโรงงานรับผลิตครีมมากที่สุดคือ เขตดอนเมือง แม้ว่าทางผู้ผลิตจะมีการอ้างเลข อย. เมื่อถูกเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้น จากประสบการณ์ทำคดีพบว่า แม้จะมีเลขอย.ก็ไม่ได้หมายความว่า ไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคเสมอไป
อย่างไรก็ตาม บางรายมีการจดแจ้งกับอย.อย่างถูกต้อง แต่ภายหลังได้รับอนุมัติเลขที่อย.แล้วมีการเติมสารต้องห้ามอื่น ๆ เข้าไปอีก หรือการนำผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้องไปขอจดแจ้งอย. หลังจากนั้นนำเลขอย.ที่ได้รับการอนุมัติไปใช้กับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ
“ไฮโดรควิโนน” ครีมหน้าขาวส่วนผสมอันตรายยอดฮิต
พ.ต.ท.สง่า กล่าวว่า สำหรับสารอันตรายที่ผู้ประกอบการมักนำมาเป็นส่วนผสมของครีมยอดฮิตที่ติด1 ใน 3 ของการจับกุมคือสารปรอท ส่วนใหญ่พบในครีมลดสิว ลดฝ้า หน้าขาว รองลงมาคือสารไฮโดรควิโน ที่พบในครีมหน้าขาว ผิวขาว ซึ่งสารเหล่านี้จะทำให้ผิวบาง อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลการจับกุมและการตรวจสอบพบว่า มักจะมีการนำสารไฮโดรควิโนน ซึ่งเป็นสารเคมีมาผสมในครีมหน้าขาว เนื่องจากเห็นผลเร็ว โดยสารไฮโดรควิโนนจะออกฤทธิ์โดยการยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสีของผิวหนัง หรือที่เรียกว่า เมลานิน จึงส่งผลทำให้ผิวขาวขึ้นได้ แต่การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนนนั้นควรใช้กับผู้ที่มีปัญหาฝ้า หรือรอยด่างดำจากสิวที่รุนแรงและจะต้องมีเปอร์เซ็นต์ของตัวยาที่แน่นอนระบุอยู่
นอกจากนี้ ควรใช้ในระยะเวลาที่จำกัด ไม่ควรใช้นานเกินไป และไม่ควรหยุดใช้ยาทันทีเนื่องจากอาจจะทำให้ผิวคล้ำลงกว่าเดิมได้จากการที่ผิวหนังเร่งผลิตเซลล์เม็ดสีมาทดแทน ทั้งนี้สารไฮโดรควิโนนเป็นสารที่ทำปฏิกิริยากับแสงแดด ซึ่งหากทายาที่มีส่วนผสมของสารไฮโดรควิโนนแล้วไม่ทาครีมกันแดด ฝ้าจะดำกว่าเดิมได้
มีรายงานระบุว่า ปัจจุบันสารไฮโดรควิโนนได้ถูกสั่งห้ามใส่ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่วางจำหน่ายทั่วไป ส่วนในคลินิกที่จ่ายยารักษาฝ้าโดยแพทย์ ยังสามารถจ่ายให้ผู้ป่วยได้ตามความเหมาะสมและดุลยพินิจของแพทย์ ทั้งนี้การใช้ครีมที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนนที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ เช่น การหาซื้อครีมทาฝ้ามาใช้เอง อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักจะผสมไฮโดรควิโนนในปริมาณสูงมากกว่าเกณฑ์ที่กำหนด คือ 3-5% โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้กำหนดให้ผสมสารไฮโดรควิโนนในการรักษาฝ้าได้ไม่เกิน 2% อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงจากการใช้ได้ เริ่มจาก อาการระคายเคืองต่อผิว เกิดจุดด่างขาวที่หน้า ผิวหน้าดำ เป็นฝ้าถาวร รักษาไม่หาย ทำให้เกิดโรคผิวหนังขึ้น เกิดตุ่มนูนสีดำบริเวณโหนกแก้มและสันจมูก ซึ่งเป็นบริเวณที่ทายาบ่อยๆหากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานมากกว่า 6 เดือน จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อภายในผิวหนังทำให้เกิดเป็นฝ้าถาวรสีน้ำเงินอมดำได้ รวมทั้งเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน
“สถิติการจับกุมผู้กระทำความผิดช่วงปี2552-2557 บก.ปคบ. สามารถจับผู้ประกอบการที่กระทำผิดได้1,594ราย ในฐานความผิด พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 ,พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522,พ.ร.บ.เครื่องสำอาง พ.ศ.2535 , พ.ร.บ.เครื่องมือแพทย์ พ.ศ.2551,พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535,พ.ร.บ.วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท พ.ศ.2510 , พ.ร.บ.สถานพยาบาล และพ.ร.บ.อื่นๆ”พ.ต.ท.สง่า ระบุ
ผงส.ผนพ.กก.4 กล่าวอีกว่า โรงงานที่รับผลิตครีมหน้าขาวบางแห่งมีที่อยู่ไม่แน่นอนมีการย้ายแหล่งผลิตตลอด โดยบางแห่งเป็นเพียงบ้านเช่า ทั้งนี้การโฆษณาผ่านเว็บไซต์ที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง หรือข้อความอันเป็นเท็จ อาจเข้าข่ายความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์อีกด้วย สำหรับบทลงโทษตามกฎหมาย กรณีที่สินค้าไม่มีฉลากภาษาไทย ไม่มีเลขจดแจ้ง ปรับไม่เกิน 30,000 บาท, ใส่สารต้องห้าม ไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค มีโทษจำคุก 5 ปี, โฆษณาเอาเปรียบผู้บริโภคหรืออวดอ้างสรรพคุณเกินจริง จำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ขณะที่เจ้าหน้าด้านสำนักควบคุมเครื่องสำอางและวัตถุอันตรายองค์การอาหารและยา( อย.) ยอมปัจจุบันมีการขายสินค้า อาหาร ยา ด้วยโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณต่างๆ เพื่อขายให้กับผู้บริโภคผ่านสื่อออนไลน์จำนวนมาก ซึ่งผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่อยู่เพียงขั้นตอนการจดแจ้ง อย. แต่มักจะโฆษณาว่าผ่านองค์การอาหารและยา จึงทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดว่า ได้รับการรับรองผลิตภัณฑ์โดยอย.แล้ว จึงอยากเตือนผู้บริโภคอย่าเชื่อโฆษณาชวนเชื่อและซื้อมาใช้โดยเด็ดขาด เพราะอาจได้รับอันตรายจากการใช้ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ขายผ่านสื่อออนไลน์
“การจดแจ้งเลขอย.เป็นเพียงการแจ้งถึงเจ้าของผลิตภัณฑ์ สูตรครีมที่ผู้ประกอบการนำมายื่นจดแจ้ง หากอย.ตรวจสอบดูแล้วไม่พบสารต้องห้ามก็ออกเลขจดแจ้งอย.ให้ เพื่อสามารถตรวจสอบได้ อย่างไรก็ตามผลิตภัณฑ์ที่มีเลขจดแจ้งอย .ไม่ได้ยืนยันว่าปลอดภัยทุกชนิด เพียงง่ายต่อการตรวจสอบเมื่อได้รับการร้องเรียนจากประชาชน หรือการสุ่มตรวจเท่านั้น”เจ้าหน้าที่คนเดิมระบุ
ขณะที่น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เปิดเผยจำนวนผู้ร้องเรียนจากปัญหาการใช้เครื่องสำอางค์ และครีมบำรุงผิว ไม่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะครีมหน้าขาว ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวว่า มีประชาชนร้องเรียนเข้ามา 8 ราย ซึ่งหนึ่งในจำนวนนี้ได้ซื้อชุดครีมบำรุงผิวยี่ห้อหนึ่งประกอบด้วยซื้อน้ำแร่และครีมบำรุงผิวจากการขายตรง แต่ภายหลังจากใช้ครีมและน้ำแร่ปรากฏว่ามีอาการแพ้ เป็นตุ่มจุดแดงขึ้นที่ใบหน้า จึงขอให้มูลนิธิฯช่วยตรวจสอบ
“สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ทางมูลนิธิฯเคยส่งไปตรวจสอบ พบว่ามีสารไฮโดรควิโนน สารตะกั่ว สารปรอท ผสมอยู่ในครีม ซึ่งบริสารดังกล่าว เป็นอันตราย และเป็นสารควบคุม”เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าว
สำหรับผู้บริโภคนั้น ไม่ว่าจะอยากสวยเพียงใด แต่ในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ พึงระวังว่า ในโลกโซเชียลนั้นความสวยรูปร่างหน้าตา สามารถตบแต่งหลอกตาได้ ดังนั้น ควรตรวจสอบฉลากก่อนใช้ และอย่าเลือกใช้เพียงเพราะหลงคำโฆษณา แต่ต้องพึงระวังไว้ว่า ทุกครั้งจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ใดก็ตาม ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากภาษาไทย (หากเป็นสินค้านำเข้า) ต้องมีเลขกำกับ ของ อย. ไม่ควรซื้อสินค้าตามแผงลอยเพราะหากเกิดปัญหาแล้ว อาจไม่สามารถสืบหาคนกระทำผิดได้ และที่สำคัญใช้แล้วหากเกิดปัญหา ควรดำเนินการแจ้งความ ลงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน
ขอบคุณภาพหน้าเว็บไซต์ จาก www.thairath.co.th และ www.mcot.net
