- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- “มาบตาพุด” บทเรียนการดำเนินธุรกิจที่ขาด CSR
แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
“มาบตาพุด” บทเรียนการดำเนินธุรกิจที่ขาด CSR
ภายใต้สภาวะสังคมไทยกำลังโหยหาคนดีและองค์กรที่มีคุณธรรม กระแสความรับผิดชอบขององค์กรธุรกิจที่มีต่อสังคม (Corporate social responsibility:CSR) จึงถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นเกมการตลาด โดยองค์กรธุรกิจหลายแห่งยังคงมองว่า CSR คือ การทำบุญ ทำการกุศล นำผลกำไรมาร่วมบริจาคแก่คนยากจน สร้างมูลนิธิ แจกถุงผ้าลดโลกร้อน ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ใช่การทำ CSR ที่ถูกต้อง เป็นแต่เพียงการเพิ่มภาพลักษณ์ให้องค์กรที่ทำตามกระแสกันอย่างผิวเผิน
ความจริงองค์กรที่มี CSR ย่อมดำเนินธุรกิจไม่ขูดรีดแรงงานลูกจ้าง ไม่ฉ้อโกงลูกค้า ไม่เอาเปรียบคู่ค้า ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมหรือทำร้ายชุมชนโดยรอบ ทั้งหมดก็เพื่อประโยชน์สุขแก่องค์กรและสังคมนั่นเอง
บทเรียนคดีมาบตาพุด เป็นเพียงหนึ่งตัวอย่างขององค์กรธุรกิจที่“ขาด” ความรับผิดชอบการต่อสังคม สะท้อนภาพการดำเนินนโยบายพัฒนาประเทศที่ไม่ได้คำนึกถึงหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน เรื่องนี้ นายอเล็กซ์ มาฟโร ที่ปรึกษาด้าน CSR เชื่อว่า หากมีการศึกษาและทำ CSR อย่างลึกซึ้งถูกต้องแล้ว เหตุการณ์ที่มาบตาพุดจะไม่เกิดในประเทศไทยอย่างแน่นอน
พร้อมกับบอกว่า การทำ CSR ให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ไม่เพียงแต่ฝากไว้ที่หน่วยงานราชการ กระทรวง ทบวง กรมต่างๆ หรือรัฐบาลช่วยแก้ปัญหาเพียงฝ่ายเดียว กิจกรรม CSR ที่ดีอย่างแท้จริง จะต้องเกิดจากจิตสำนึกภายในที่ต้องการดูแลรับผิดชอบต่อสังคม สำคัญที่สุดต้องเริ่มที่องค์กร โดยสามารถเริ่มได้จากการรวมกลุ่มกันทำ CSR เพื่อลดต้นทุนในการใช้ทรัพยากรที่บริษัทต้องสูญเสียไปในระยะแรก
เช่นเดียวกับ ผศ.ดร. สุทธิศักดิ์ ไกรสรสุทธาสินี อาจารย์ประจำคณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยกกรณีการฟ้องคดีมาบตาพุด ที่ส่งผลกระทบทั้งทางด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ขึ้นมาเป็นตัวอย่าง โดยชี้ให้เห็นว่า สาเหตุหนึ่งมาจากการที่องค์กรธุรกิจขาดความรับผิดชอบต่อสังคม เน้นเพียงผลกำไรที่จะเกิดขึ้น จนถึงวันนี้ยังไม่มีโรงงานอุตสาหกรรมใดออกมาแสดงความรับผิดชอบว่า มีการปล่อยมลพิษและสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นกับคนในพื้นที่
“หรือกรณีสถานการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศเฮติ มีผู้คนล้มตายจำนวนมาก ทีมวิจัยจากประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ลงไปศึกษาในพื้นที่แล้วพบว่า เฮติจะไม่ได้รับผลกระทบจนต้องมีความเสียหายมากมายเช่นนี้ หากมีการจัดการทางด้าน CSR อย่างถูกต้อง” ทั้งสองกรณี ผศ.ดร. สุทธิศักดิ์ บอกว่า การดำเนินธุรกิจในปัจจุบันต้องมองให้ลึกลงไปมากกว่าการดำเนินการธุรกิจเพื่อกำไร ขาดทุน ต้องศึกษาถึงแก่นแท้ผลกระทบที่เกิดหลังจากการดำเนินธุรกิจ มีส่วนใดทำลายสังคมหรือไม่ และการที่องค์กรธุรกิจนำผลต่างกำไรไปบริจาค หรือสร้างมูลนิธิ แม้จะเป็นสิ่งที่ดีต่อสังคม แต่ก็เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
สำหรับการทำ CSR ที่ได้ผลนั้น ต้องมุ่งเน้นให้องค์กรธุรกิจมีความรับผิดชอบต่อสินค้า มีความรับผิดชอบต่อสังคม มีกระบวนการผลิตที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม ทุกขั้นตอนตั้งแต่การผลิต วัตถุดิบที่ต้องดีที่สุด มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด แม้กระทั่งการสร้างจิตสำนึกของพนักงานให้มีความรับผิดชอบในงานที่ทำ จนถึงระดับผู้บริหาร เพราะ CSR ต้องร่วมกันสร้างจากทุกคน การจัดการถึงจะเกิดความเข้าใจตรงกัน
ผศ.ดร. สุทธิศักดิ์ ให้ข้อมูลเพิ่มอีกว่า ในประเทศไทยขณะนี้ มีการนำ CSR ไปใช้ในทางที่ไม่น่ารัก เช่น เหล้า กับบุหรี่ เป็นสินค้ามอมเมาประชาชน แต่ทางบริษัทกลับสร้างภาพลักษณ์ทำกิจการเพื่อสังคมเป็นหลัก ซึ่งในความเป็นจริงยังดูสวนและขัดกับตัวสินค้า พร้อมเสนอแนะว่า ทางที่ดีองค์กรธุรกิจนั้นๆ ควรเน้นการสร้างประโยชน์ ตั้งแต่ตัวสินค้าออกสู่สังคม
ทุกวันนี้ องค์กรธุรกิจผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด มีการแข่งขันกันในเชิงผลกำไร ขาดทุน จนบางครั้งก่อให้เกิดมลพิษมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นายสุทธิชัย เอี่ยมเจริญยิ่ง ประธานเครือข่ายนักธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม(SVN) บอกว่า ถึงเวลาแล้วที่องค์กรธุรกิจต้องมีความตระหนักรับผิดชอบต่อสังคมให้มากขึ้น และไม่ควรคิดว่า เป็นการนำเงินมามอบให้เพียงอย่างเดียว เพราะไม่ก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ขณะที่ ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ผู้อำนวยการสถาบันไทยพัฒน์ มูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ แนะนำว่า การทำงานของภาคธุรกิจที่ต้องตระหนักในขณะนี้ คือ การดำเนินธุรกิจที่ไม่ก่อผลกระทบหรือเบียดเบียนสังคม สิ่งแวดล้อม โดยไม่ต้องรอให้เกิดวิกฤตก่อนถึงจะมาแก้ไข โดยการทำ CSR เริ่มจากการมองกระบวนการทำงานไปที่ผลกระทบมากกว่าการบริจาค ทำด้วยความรับผิดชอบ ไม่มีการคอร์รัปชั่น ไม่เอาเปรียบสังคม
ท้ายสุดแนวคิดในการทำ CSR ให้ประสบความสำเร็จ ดร.พิพัฒน์ เสนอว่า ต้องเปลี่ยนแนวความคิดทั้งหมด เริ่มตั้งแต่ 1. การเปลี่ยนความคิดที่ว่าทำเพียงลำพัง มาเป็นการกระทำโดยมาตรฐานร่วมกันระหว่างองค์กร 2. มีการพูดคุยถึงความรับผิดชอบของพนักงาน ให้ทุกคนมีความรู้ร่วมกันมากกว่าการเป็นนโยบายที่ต้องสั่งมาจากผู้บริหารทางเดียว 3.ปรับกลยุทธ์ในการทำความดี หลังจากมีการเรียกร้องมาเป็น เชิงรุกการทำความดีเพื่อส่วนร่วมโดยตรง 4. อย่าเก่งแต่พูดว่าจะทำ ขอให้ทำสักที 5.เลิกมองว่าการกระทำจะได้อะไร แต่มองว่าให้อะไรแก่สังคม 6.ปรับเปลี่ยนการทำเพื่อประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์เป็นการรายงานตามความเป็นจริง
ปลายปี 2553 นี้ กระแสความรับผิดชอบต่อสังคม กำลังเป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวแปรสำคัญ คือ ISO 26000 จะถูกประกาศเป็นมาตรฐานนานาชาติฉบับสมบูรณ์ คาดว่า จะเป็นตัวเร่งให้องค์กรธุรกิจ โรงงานอุตสาหกรรมต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมให้เห็นเป็นรูปธรรม ปรับกระบวนการทำงานให้เข้ากับมาตรฐานที่กำลังจะเกิดขึ้น
ประกอบกับทิศทางของ CSR ประเด็นสิ่งแวดล้อมจะเป็นวาระของโลก ด้วยเหตุนี้ ต่อไปประเทศไหนทำเรื่องดูแลสิ่งแวดล้อมน้อยก็จะถูกสังคมโลกตั้งคำถาม