- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- ซากทารก 2,002 ศพ! โจทย์ “หนุน-ต้าน” กม. ทำแท้งเสรี
แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
ซากทารก 2,002 ศพ! โจทย์ “หนุน-ต้าน” กม. ทำแท้งเสรี
ข่าวสะเทือนขวัญ! กรณีพบซากศพทารกจำนวนมากถึง 2,002 ศพ ถูกซุกอยู่ในโกดังเก็บศพของวัดไผ่เงินโชตนาราม แขวงบางโคล่ เขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานคร ไม่เพียงแต่เป็นข่าวช็อกความรู้สึกและหัวใจคนไทยเท่านั้น แต่ยังช็อกไปถึงความรู้สึกและหัวใจคนทั่วโลกที่ได้รับข้อมูลข่าวสารนี้ด้วย เพราะสาเหตุของซากศพทารกจำนวนมากเหล่านี้ เป็นผลพวงมาจากการ “ทำแท้ง” ทั้งสิ้น
ในการติดตามสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.วัดพระยาไกร พระในวัดปฎิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว แต่จากการเค้นสอบสัปเหร่อของวัด พบข้อมูลสำคัญว่า ได้รับการว่าจ้างจากคลินิกวางแผนครอบครัวบางแห่ง รับศพทารกที่ผ่านการทำแท้งมาเผาทำลายหลักฐาน ซึ่งดำเนินการมาเป็นเวลานานพอสมควร ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขยายผลจนสามารถจับกุมผู้ต้องหาหญิงได้ 1 ราย ซึ่งเธอรับสารภาพว่าได้เปิดบริการทำแท้งจริง โดยขณะนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังเร่งรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อแจ้งข้อกล่าวหากับผู้กระทำผิด ส่วนศพทารกจำนวนมากที่พบนั้น ถูกส่งไปสุ่มชันสูตรหาสาเหตุการตายอีกครั้งที่ สถาบันนิติเวชวิทยา รพ.จุฬาลงกรณ์ ซึ่งหลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการชันสูตรแล้ว จะมีการเผา หรือฝังรวมเก็บไว้เป็นหลักฐานสำหรับดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดต่อไปนั้น ยังไม่ได้ข้อสรุป
คุณแม่ตั้งครรภ์อายุยังน้อย
ปัญหาการทำแท้งเกิดขึ้นและหมักหมมในสังคมไทยมานาน เมื่อเร็วๆ นี้ คณะทำงานป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อมในวัยรุ่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้จัดทำรายงานสถานการณ์เยาวชนไทย มีการสำรวจพบว่า ปัจจุบันวัยรุ่นไทยอายุ 15-19 ปี มีจำนวน 5 ล้านคน ในจำนวนนี้มีพฤติกรรมเสี่ยงถึง 1.25 ล้านคน มีอัตราการตั้งครรภ์ 2.5 แสนคนต่อปี โดยครึ่งหนึ่งเลือกที่จะทำแท้ง และมีอัตราการคลอดบุตรเฉลี่ย 1.2 แสนคนต่อปี หรือเฉลี่ยวันละ 360 คน ที่น่าตกใจคือ มีวัยรุ่นเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่มีการคุมกำเนิดทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ และในกลุ่มวัยรุ่นที่ตั้งครรภ์และเลือกที่จะทำแท้ง มีถึงร้อยละ 50 มีการทำแท้งอย่างไม่ปลอดภัย ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนสูงถึงขั้นเสียชีวิต และก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่สูงมาก และประมาณ 1 ใน 4 ของวัยรุ่นที่ทำแท้งยังมีการทำแท้งซ้ำ
สังคมเปลี่ยนทัศนคติวัยรุ่นเปลี่ยน
นอกจากนี้ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานภาระสังคมไทยประจำไตรมาสที่ 4 ประจำปี 2552 ระบุว่า ปัจจุบันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทั้งนี้รายงานเฉพาะกิจโรงพยาบาลสายใยรักแห่งครอบครัว ชี้ให้เห็นว่าอัตรามารดาอายุต่ำกว่า 20 ปี มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 16.3 ของมารดาที่คลอดบุตรในเดือนมกราคม เป็นร้อยละ 20.1 ในเดือนสิงหาคม ซึ่งนับเป็นปัญหาต่อเนื่องจากที่เคยพบว่า อัตรามารดาอายุต่ำกว่า 20 ปี มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10.4 ในปี 2543 เป็นร้อยละ 15.5 ในปี 2551 และอัตรามารดาอายุต่ำกว่า 20 ปี ต่อประชากรสตรีในช่วงวัยเดียวกันสูงขึ้นจาก 31.1 ต่อประชากร 1,000 คนในปี 2543 เป็นร้อยละ 50.1 ในปี 2551 อัตรานี้สูงกว่าประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ในภูมิภาค จึงนับว่าเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องกำหนดมาตรการเฝ้าระวัง ทั้งนี้สาเหตุหนึ่งของปัญหาเกิดจากวัยรุ่นมีทัศนคติเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงว่าเป็นเรื่องธรรมดา ทำให้วัยรุ่นมีความสัมพันธ์เร็วขึ้น ประมาณว่า 1 ใน 5 ของวัยรุ่นหญิงมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุ 16 ปี และการมีเพศสัมพันธ์ที่ขาดความตระหนักรู้ โดยมีการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเพียงร้อยละ 21 ทำให้วัยรุ่นมีการตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจถึงร้อยละ 80 และนำไปสู่การทำแท้งในวัยรุ่นถึงร้อยละ 25.8
สภาพัฒน์ฯ วิเคราะห์ว่าปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากสภาวะแวดล้อมต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน เช่น เกิดจากครอบครัวแตกแยก การไปอยู่หอพัก การดื่มสุรา การติดสารเสพติด รวมทั้งการบริโภคสื่อต่างๆ ที่มีผลลบต่อทัศนคติและการให้คุณค่าทางสังคม และเป็นช่องทางสู่การมีเพศสัมพันธ์ ตลอดถึงการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการล่อลวงทางเพศ จึงมีข้อเสนอแนะว่า เมื่อสังคมมีการแลกเปลี่ยนข่าวสารและวัฒนธรรม ทำให้ความคิดความเชื่อในการให้คุณค่าทางสังคมเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น จึงจำเป็นต้องให้ความรู้และสร้างกลไกที่จะช่วยดูแลพฤติกรรมทางเพศและทักษะชีวิต เพื่อดูแลตัวเองในการตัดสินใจและแก้ไขปัญหาควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนค่านิยมและพฤติกรรม เพื่อที่จะมีเพศสัมพันธ์อย่างมีความรับผิดชอบยิ่งขึ้น
สังคมไทยใจร้ายกับหญิงท้องไม่พร้อม
แต่ข้อมูลอีกด้านหนึ่งกลับชี้ว่า ปัญหาการทำแท้งไม่ได้เกิดจากวัยรุ่นใจแตกกลุ่มเดียว แต่ทว่ายังมีปัจจัยอื่นๆ เสริมเข้ามาเพิ่มเติม ทั้งนี้ในงานเสวนาเรื่อง “ทัศนคติของสังคมต่อเรื่องท้องไม่พร้อม” ซึ่งจัดโดยเครือข่ายสนับสนุนทางเลือกของผู้หญิงที่ท้องไม่พร้อม ระบุว่า สถานการณ์ทั่วโลกในขณะนี้ พบว่ามีประเทศร้อยละ 97 ของประเทศทั้งหมดทั่วโลก ที่เปิดโอกาสให้ทำแท้งได้ภายใต้เงื่อนไข 7 ประการ คือ 1.เพื่อรักษาชีวิตผู้หญิง 2.มีปัญหาสุขภาพ 3.มีปัญหาทางจิต 4.ถูกข่มขืน 5.ตัวอ่อนพิการ 6.มีปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม และ7.ตามการร้องขอ ทั้งนี้พบว่าในปี 2551 ในประเทศที่พัฒนาแล้ว มีการตั้งครรภ์ 205 ล้านครั้งต่อปี เกิดการตั้งครรภ์ที่ไม่วางแผน ร้อยละ 25 ซึ่งร้อยละ 22 ของจำนวนการตั้งครรภ์ทั้งหมด จบลงด้วยการทำแท้ง ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนา พบว่ามีจำนวนการตั้งครรภ์ 182 ล้านครั้งต่อปี เกิดการตั้งครรภ์ที่ไม่วางแผน ร้อยละ 33 โดยร้อยละ 19 ของจำนวนการตั้งครรภ์ทั้งหมดจบลงที่การทำแท้ง และในจำนวนนี้เป็นการทำแท้งอย่างไม่ปลอดภัยถึงร้อยละ 11
กฎหมายกับการทำแท้ง
การพบซากทารก 2,002 ศพ ครั้งนี้ หลายภาคส่วนต่างหยิบยกประเด็นกฎหมายทำแท้งขึ้นมาวิพาษ์วิจารณ์ บางมุมเรียกร้องให้มีการออกฎหมายทำแท้งเสรี แต่เรื่องนี้ นายสมผล ตระกูลรุ่ง นักวิชาการกฎหมายอิสระ บอกว่า ในทางพุทธศาสนา เมื่อมีการปฎิสนธิในครรภ์ของหญิงแล้วถือว่ามีชีวิตใหม่เกิดขึ้นแล้ว การทำลายทารกในครรภ์จึงเป็นการทำลายชีวิตคน เป็นบาปเพราะเท่ากับเป็นการ ฆ่าคน” แต่ในทางกฎหมายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 15 บัญญัติไว้ว่า “สภาพบุคคลย่อมเริ่มเมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก และสิ้นสุดลงเมื่อตาย” ดังนั้นทารกในครรภ์มารดาก็สามารถมีสิทธิต่างๆ ได้ หากว่าภายหลังคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก ดังนั้นในทางกฎหมาย การทำแท้งจึงไม่มีความผิดฐานฆ่าคน
แต่กฎหมายประมวลกฎหมายอาญาได้ตั้งความผิดเฉพาะเรื่องการทำแท้ง ไว้ในมาตรา 101-105 สรุปว่า ผู้หญิงทำแท้งไม่ว่าจะทำแท้งเอง หรือให้คนอื่นทำ เป็นความผิด มตรา 101 จำคุกไม่เกิน 3 ปี ส่วนผู้ทำแท้งให้ผู้หญิง แม้ว่าจะยินยอมก็เป็นความผิดจำคุกไม่เกิน 5 ปี แต่ถ้าไม่ยินยอมโทษหนักเป็นไม่เกิน 7 ปี และถ้าการทำแท้งเป็นเหตุให้หญิงบาดเจ็บสาหัสหรือตาย จะได้รับโทษหนักเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม กฎหมายอนุญาตให้ทำแท้งได้โดยไม่ถือเป็นความผิดตาม มาตรา 305 ถ้าเป็นการกระทำของแพทย์แผนปัจจุบันโดยความยินยอมของหญิงในเหตุผล 2 กรณี คือ 1.เรื่องสุขภาพ และ 2.ถูกข่มขืน แต่ถ้าตั้งครรภ์จากอารมณ์ชั่ววูบ หรือเพราะหน้ามืด หรือเพราะรักสนุกก็จะไม่เข้าข่ายข้อยกเว้นนี้
ด้านนายสราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม บอกว่า การทำแท้งหรือการยุติการตั้งครรภ์ เป็นปัญหาทั้งทางสังคม ทางการแพทย์ และทางกฎหมาย ที่มีความละเอียดอ่อน เนื่องจากการทำแท้งเป็นประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรมและศีลธรรม จึงทำให้ปัญหาการทำแท้งมีข้อโต้เถียงกันมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านกฎหมาย ซึ่งมีประเด็นว่า ควรมีกฎหมายรองรับการทแท้ง หรือกฎหมายควรอนุญาตให้มีการทำแท้งโดยเสรีหรือไม่
นายสราวุธ ชี้ว่า ตามกฎหมายไทยการทำแท้งเป็นความผิดอาญาฐานทำให้แท้งลูก ประมวลกฎหมายอาญาได้บัญญัติความผิดเกี่ยวกับการทำแท้งไว้ในมาตรา 301-305 ซึ่งกำหนดว่าในกรณีที่หญิงใดทำให้ตนเองแท้งลูก หรือยอมให้ผู้อื่นทำให้แท้งลูก หญิงนั้นมีความผิดฐานทำให้แท้งลูก ผู้ใดทำให้หญิงแท้งลูก โดยหญิงนั้นยินยอมหรือโดยหญิงนั้นไม่ยินยอม ผู้นั้นมีความผิดฐานทำให้แท้งลูก และหากการทำแท้งนั้นเป็นเหตุให้หญิงได้รับอันตรายสาหัสอย่างอื่นด้วย หรือเป็นเหตุให้หญิงถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้น ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าความผิดฐานทำให้แท้งลูกเกิดได้ทั้งจากการกระทำของตนเองหรือการกระทำของผู้อื่น แม้หญิงนั้นให้ความยินยอมหรือไม่ให้ความยินยอม ผู้กระทำก็ต้องรับผิดตามที่กฎหมายกำหนดหากการกระทำนั้นได้ทำให้หญิงแท้ง
แต่ในบางกรณีที่ละเอียดอ่อนกฎหมายยอมให้มีการทำแท้งได้ คือ กรณีที่การทำแท้งมีความจำเป็นต้องทำเนื่องจากสุขภาพของหญิงนั้น เพราะหากปล่อยให้ตั้งครรภ์ต่อไปแล้วจะก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของหญิง และกรณีที่หญิงมีครรภ์เนื่องจากทำความผิดอาญาตามที่กฎหมายกำหนดคือ ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา ความผิดฐานเป็นธุระจัดหาบุคคลไปเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น และความผิดฐานพาบุคคลไปเพื่อการอนาจาร หากหญิงตั้งครรภ์จากการกระทำตามที่กล่าวมาข้างต้น แพทย์สามารถทำแท้งให้หญิงนั้นได้ แต่ต้องได้รับความยินยอมจากหญิงนั้น ซึ่งการที่แพทย์สามารถทำแท้งให้หญิงได้นั้น ก็เพื่อให้หญิงสามารถยุติการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัย
กรณีศึกษาในต่างประเทศ
นายสราวุธ ให้ข้อมูลว่า จากการติดตามกฎหมายเกี่ยวกับการทำแท้งในต่างประเทศ พบว่า หลายประเทศในสหภาพยุโรปส่วนใหญ่ เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี อังกฤษ ฯลฯ กฎหมายอนุญาตให้มีการทำแท้งเสรีได้โดยความสมัครใจของหญิงตั้งครรภ์ โดยไม่มีเงื่อนไขในเรื่องเหตุผลของการทำแท้ง แต่กำหนดอายุครรภ์ที่สามารถทำแท้งได้ อย่างไรก็ตาม การกำหนดอายุครรภ์แตกต่างกันในแต่ละประเทศ แต่ถือว่ากฎหมายได้เปิดโอกาสให้ทำแท้งได้อย่างเสรีภายในช่วงเวลาที่กำหนด
นอกจากนี้ ในสหรัฐอเมริกา ถือว่าการทำแท้งเป็นสิทธิที่เสมอภาคของผู้หญิง แต่มีปัญหาว่า คนจนไม่มีเงินจ่ายค่าทำแท้ง แต่ไม่มีกฎหมายโดยตรงเพราะศาลสูงจะเป็นผู้ตัดสินใจ ซึ่งระยะเวลาการตั้งครรภ์ที่กฎหมายอนุญาตให้ทำแท้งได้จะถูกกำหนดแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ ซึ่งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2553 นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็ได้ลงนามคำสั่งในการทำแท้งและการดูแลสุขภาพ ซึ่งคำสั่งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้มั่นใจว่าการดูแลสุขภาพภาคใต้กฎหมายใหม่จะยังคงห้ามไม่ให้ใช้จ่ายเงินของรัฐบาลกลางเพื่อการทำแท้ง ยกเว้นในกรณีการตั้งครรภ์จากการถูกข่มขืน การร่วมประเวณีระหว่างพี่น้อง (Incest) หรือในกรณีที่ชีวิตของหญิงนั้นตกอยู่ในอันตราย ในขณะที่บางประเทศยึดถือและให้ความสำคัญกับข้อห้าม และข้อกำหนดทางศาสนามากกว่ากฎหมาย เช่น ศาสนาอิสลาม เชื่อว่าการทำแท้ง หรือการคุมกำเนิด คือการทำลาย ฆ่าทิ้ง ย่อมเป็นสิ่งต้องห้ามทั้งผู้ให้กำเนิด (แม่) และผู้ถูกกำเนิด (ทารก) เพราะถือเป็นชีวิตที่เท่าเทียมกัน ไม่สามารถให้อีกชีวิตหนึ่งคงอยู่โดยฆ่าอีกชีวิตหนึ่งได้
เสนอทางออกสังคมไทย
ด้าน รศ.กฤตยา อาชวนิจกุล รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยประชากร มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอกย้ำว่า สังคมไทยใจร้ายกับผู้หญิงที่ท้องไม่พร้อมด้วยการใช้มาตรการเดียวคือ การควบคุมด้วยการห้ามการทำแท้งอย่างเข้มงวด ซึ่งเป็นปัญหาในทางปฏิบัติอย่างมาก เพราะการห้ามการทำแท้งคือ การเลือกปฏิบัติกับผู้หญิง ดังนั้นต้องปรับปรุงกฎหมายให้ทันยุคสมัย โดยมีข้อเสนอ 4 ข้อ ดังนี้ 1.จำเป็นจะต้องกระทำเนื่องจากสุขภาพทางกาย หรือสุขภาพทางจิตของหญิงนั้น หรือ 2.หากทารกในครรภ์คลอดออกมา จะพิการทางกายหรือทางจิต หรือ 3.เมื่อการคุมกำเนิดของหญิงหรือสามีซึ่งได้รับบริการจากแพทย์ หรือโดยคำสั่งแพทย์ ไม่ได้ผล และ 4.หญิงมีครรภ์เนื่องจากการกระทำผิดทางอาญา (หมายถึงตั้งครรภ์เพราะถูกข่มขืน)
ประเด็นที่เป็นข้อโต้เถียงกันมาอย่างต่อเนื่องมากที่สุดคือ ปัญหาว่าด้วยการทำแท้งเป็นสิทธิของสตรีที่ตั้งครรภ์ หรือเป็นสิทธิของเด็กที่กำเนิดขึ้นมาในครรภ์ แต่เหนือสิ่งอื่นใดสังคมควรคำนึงถึงขนบธรรมเนียม ประเพณี และศีลธรรมอันดีงามด้วย
วันนี้...กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) อยู่ระหว่างการผลักดันร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองอนามัยการเจริญพันธุ์ พ.ศ.... ให้มีผลบังคับใช้ เพราะเชื่อว่าจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการจัดการปัญหาสุขภาวะทางเพศทั้งระบบ แต่เชื่อเถอว่า ปัญหานี้ไม่สามารถแก้ได้ด้วยการออกกฎหมาย หากสังคมไม่ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนด้วย