- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- ปมเงินพันล้านวัดโสธร โอกาสทองปัดกวาดให้สะอาด
แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
ปมเงินพันล้านวัดโสธร โอกาสทองปัดกวาดให้สะอาด
ถึงแม้จะไม่ถึงกับชินชา แต่ภาพความวุ่นวายที่ศาสนิกชน ได้เห็น พระสงฆ์ เณร วัดโสธรวรารามวรวิหาร จ.ฉะเชิงเทรา ตบเท้าเข้ายื่นหนังสือถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี คัดค้านการแต่งตั้งเจ้าอาวาส เพื่อรักษาผลประโยชน์ของวัด ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะจะเห็นว่า ปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้นในวงการคณะสงฆ์มาหลายวัดแล้ว
กรณีวัดโสธรฯ ที่เริ่มแรก ส่อเค้าจะบานปลายถึงขั้นทำหนังสือปลดเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา ต่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ หรือ สมเด็จเกี่ยว เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรวิหาร ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) และเล็งทำเรื่องถวายฎีกาต่อสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ก่อนจะจบลงด้วยดี พระสงฆ์-สามเณรวัดโสธรฯ แถลงยุติการเคลื่อนไหว ประกาศยอมรับมติ มส.ด้วยจิตใจที่ขมขื่นปวดร้าว
เจาะลึกลงไปปมปัญหาใหญ่ อยู่ที่เงินบริจาคของวัด ที่มีนับพันล้านบาท ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เคยทราบว่า วัดเอาเงินบริจาคเหล่านี้ไปทำสาธารณะประโยชน์อะไรบ้าง แถมยังมีความคลุมเครือเรื่องยอดเงินในบัญชี เงินที่มาจากความศรัทธา กลับกลายเป็นปัญหาทำให้พระ เณรจำนวนหลายรูป เดินจีวรปลิว ยอมออกมาถือป้ายประท้วงกันนอกวัด หน้าธนาคาร แถมยังแจกใบปลิวไปทั่วตลาด
จึงเกิดคำถามว่า ถ้าวัดโสธรฯ ไม่มีเงินเป็นพันล้านบาท พระจะทะเลาะกันหรือไม่
จริงๆ แล้ว เรื่องเงินในวัด ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ซึ่งขับเคลื่อนโครงการที่เรียกว่า “ปฏิรูปประเทศไทย เพื่อสุขภาวะคนไทย” จินตนาการภาพใหญ่ สร้างประเทศไทยให้เป็นประเทศน่าอยู่ที่สุดในโลก มีประชุมเดือนละ 2 ครั้ง มาตั้งแต่ต้นปี 2552 ได้เคยเสนอแนวคิดไว้ในองค์ประชุมอันประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิหลายสาขาอาชีพ ที่อาสามาทำงาน ในนามเครือข่ายสถาบันทางปัญญา โดยอิงกับเรื่องการสร้างสัมมาชีพเต็มพื้นที่ ว่า
หลักการสร้างสัมมาชีพเต็มพื้นที่ ต้องเป็นอาชีพที่ไม่เบียดเบียนตัวเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เบียดเบียนสิ่งแวดล้อม มีรายจ่ายน้อยกว่ารายได้ เพราะเชื่อว่า การสร้างสัมมาชีพเต็มพื้นที่ เป็นเรื่องสำคัญที่สุดของประเทศ การที่คนตกงาน ไม่มีงานทำ เป็นเรื่องใหญ่ในระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ที่ประเมินด้วยตัวเลขจีดีพี ซึ่งหากเราต้องการระบบเศรษฐกิจใหม่ ที่เอาคนเป็นตัวตั้ง ต้องนึกถึงการมีสัมมาชีพ เต็มพื้นที่ ทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล
“วัด องค์กรท้องถิ่น และหน่วยงานของรัฐ ควรมีหน้าที่จ้างงาน ให้คนมีงานทำมากที่สุด ยิ่งวัดที่มีเงินมากๆ แต่ขาดการจัดการที่ดี ควรนึกถึงการจ้างงาน เป็นลำดับต้นๆ แม้จะเป็นงานเล็กน้อย เช่น การจ้างคนทำความสะอาดถนน ปลูกต้นไม้ การที่คนเข้าไปในวัด ได้เห็นต้นไม้ร่มรื่น แต่ก็มักจะเห็นวัดสกปรก ขยะรก ห้องน้ำห้องส้วมไม่สะอาดสะอ้าน ขณะเดียวกัน คนจน ยังพบเห็นอยู่รายรอบวัด วัดที่มีเงินบริจาคมหาศาล กลับไม่ได้แบ่งเงินส่วนนี้ มาจ้างงาน ให้คนจนได้ทำงานที่เป็นประโยชน์และมีรายได้เกิดขึ้น”
ย้อนอดีตไป 40 ปีก่อน ศ.นพ.ประเวศ เล่าว่า ที่ตำบลยกกระบัตร อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร เต็มไปด้วยด้วยความชั่วนานาชนิด ทั้งลักขโมย เล่นการพนัน ยาเสพติด พระสอนเท่าไหร่ๆ เรื่องเหล่านี้ก็ยังไม่หมดไป จนเจ้าอาวาสวัดยกกระบัตร ได้ส่งเสริมการสร้างสัมมาชีพเต็มตำบล ความชั่วต่างๆ หายไป จึงทำให้เห็นว่า การที่พระเอาแต่สอนศีลธรรมอย่างเดียว ไม่ได้ผล ไม่ได้แปลว่า ไม่ควรสอน แต่ท่ามกลางคนยังยากจนอยู่ สังคมขาดความเป็นธรรม วัดต้องเข้ามามีส่วนตรงนี้
ราษฎรอาวุโส ฝากไปยังวัดทุกวัด ว่า ให้พยายามทำวัดให้ร่มเย็น มีต้นไม้เยอะๆ สะอาด ดึงดูดให้คนอยากเข้าวัด หรือหากมีเงินก็ควรจ้างคนให้มีงานทำ ถ้าช่วยกันกว่า 30,000 วัด ศีลธรรมจะเกิดด้วยการมีสัมมาชีพเต็มพื้นที่ กรณีวัดโสธรฯ รัฐบาล มหาเถรสมาคม ที่สำคัญสังคม ควรใช้โอกาสนี้ดูเรื่องระบบการเงินของวัด ทำให้รัดกุม กันนำเงินวัดไขว้เขวไปใช้ทางอื่น ช่วยกันคิดทำอย่างไรให้ระบบการเงินของวัดมีความถูกต้อง มิเช่นนั้น พระ เณร ญาติโยม เดือดร้อน ทะเลาะกันยุ่งอีก
กรณีวัดโสธรไม่ใช่เรื่องเดียวที่มีผู้เสนอช่องทางเก็บกวาดวัดให้สะอาด หากหันกลับมามองเรื่องปฏิรูปประเทศไทย เพื่อทำให้เป็นประเทศแห่งความงาม ศิลปะ วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม ยังมีบางเรื่องต้องขยายผลออกไปให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งกระบวนการขับเคลื่อนตรงนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากสุดท้าย “คน” มองไม่เห็นความสำคัญ หรือขาดสำนึกแห่งความร่วมมือ
วัดร่องขุ่น จ.เชียงราย เป็นอีกวัดหนึ่งที่มีเรื่องราวดีๆมาบอก จากปากของ อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ผู้ออกแบบและดำเนินการก่อสร้าง นับตั้งแต่ก่อร่างสร้างวัดกันเลย
“ผมสร้างนาน เพราะผมต้องการให้สวยระดับโลก” ศิลปินชื่อดัง บอกเล่าเรื่องราว พร้อมมองเรื่องงานพุทธศิลป์ ที่ผ่านมา รัฐบาลหลายยุคหลายสมัยละเลย ไม่เห็นคุณค่า ไม่มีการทำนุบำรุงวัดวาอาราม หนำซ้ำยังไม่เคยนำเงินมาทุ่มเทให้กับเรื่องวัฒนธรรม แตกต่างกับชาติอื่นๆ ที่ดูแลสมบัติของชาติเป็นอย่างดี”
“ทุกวันนี้ ประเทศไทยจึงหากินกับของเก่า ปล่อยสมบัติชาติพัง เสื่อมสลาย นักท่องเที่ยวมา ก็เดินดูครั้งเดียวไม่กลับมาอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่ใครๆ คิดว่า ซากอิฐคือความงาม แท้จริงซากอิฐไม่ใช่ความงาม หากสมมติให้นึกถึงกรุงศรีอยุธยา จะมีสักกี่คนจะนึกถึงความงามของอยุธยา ได้อย่างยิ่งใหญ่ ดังนั้น งานพุทธศิลป์ของแผ่นดิน ต้องสร้างของใหม่ เป็นการสร้างคุณประโยชน์ให้แก่แผ่นดิน ทั้งยังทำเงินเข้าประเทศได้”
อ.เฉลิมชัย มองว่า ปัจจุบันหลายประเทศหันมาขายเรื่องวัฒนธรรม แต่ประเทศเราคิดจะขายเรื่องวัฒนธรรม กลับไม่ทะนุบำรุงงานศิลปะ แม้แต่การออกแบบสร้างวัดยังเละเทะ ลอกตามๆ กันมา ไม่มีค่าทางสุนทรียภาพ ส่วนรอบๆ วัด มองไปทางไหนก็เจอน้ำเน่า พื้นเต็มไปด้วยขี้หมาขี้แมว แถมยังไม่ปลอดภัยอีกต่างหาก
คำบอกเล่าที่ประสมประสานกับความอึดอัด ทำให้เข้าใจความรู้สึกของศิลปินชื่อดัง มีต่อความงามในธรรมชาติ และงานศิลปะ จนลุกมาจัดระเบียบวัดร่องขุ่น สอนเรื่องสุนทรียภาพ และลงทุนเดินตรวจตราพื้นที่รอบวัดด้วยตัวเอง ดั่งเป็นเจ้าอาวาส ทั้งยังไม่ลืมบอกพ่อค้าแม่ค้ารายรอบวัด เน้นย้ำเรื่องความสะอาด จ้ำจี้จ้ำไชการจัดร้านให้เป็นระเบียบสวยงาม เก็บขยะ ไม่ทิ้งขยะ ด้วยความหวังว่า นักท่องเที่ยวจะได้กลับมาเที่ยวอีก ไม่ไปแล้วไปเลย
“เพราะความงามไม่ใช่วัดงามอย่างเดียว พื้นที่รอบๆ ก็ต้องงามด้วย” อ. เฉลิมชัย ทิ้งท้ายด้วยแนวคิดที่ใช้ในการดูแลวัดร่องขุ่น ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงสมบัติส่วนตัว แต่เป็นสมบัติของชาติ