- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- ทวงสัญญา.."รัฐบาลปู 2" "ไพร่" ที่ไม่เข้าใจคนจน
แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
ทวงสัญญา.."รัฐบาลปู 2" "ไพร่" ที่ไม่เข้าใจคนจน
การเดินหน้าทวงถามสัญญาจาก “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่เมืองเหนือ จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 15 มกราคมที่ผ่านมา ถือเป็นการรุกคืบของเครือข่ายภาคประชาชนในนามขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) หรือ พีมูฟ เป็นครั้งที่สองในรัฐบาลชุดนี้
หลังจากที่เคยโอภาปราศรัยกับตัวแทนของรัฐบาลอย่างชื่นมื่น หลังผลการเลือกตั้งประกาศออกมาใหม่ๆ
ผ่านมา 5 เดือนกว่าๆ รัฐบาลชุดนี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาของคนจน อาจเป็นเพราะใช้เวลาทั้งหมดกับการแก้ไขปัญหาอุทกภัยจากน้ำท่วมใหญ่ที่ทะลักเข้ามาอย่างไม่ให้ตั้งตัว แต่เมื่อวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ผ่านไป ตัวแทนภาคประชาชนจึงอยากให้รัฐบาลสนใจปัญหาคนจนบ้าง
การเคลื่อนไหวของขบวนการ ขปส.จึงเป็นการกระตุ้นเตือนไม่ให้รัฐบาลลืมคำมั่นสัญญาที่เคยบอกกล่าวกับ “คนจน” ว่า แก้ไขปัญหาความทุกข์ยากนานา ไม่ว่าเรื่องโฉนดชุมชน ธนาคารที่ดิน การแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย การอนุมัติงบประมาณจัดซื้อที่ดินเพื่อแก้ไขปัญหาของคนไร้บ้าน การแก้ไขปัญหาคนไร้สัญชาติ ฯลฯ อันเป็นต้นธารที่นำมาซึ่ง “ความจนอย่างยั่งยืน” ของชาวบ้าน
“นพพรรณ พรหมศรี” ที่ปรึกษาขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) กล่าวว่า ภายหลังการเข้ายื่นหนังสือต่อนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ครั้งล่าสุดทำให้เกิดการตั้งคณะกรรมการอำนวยการเพื่อแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรมตามมติการเจรจาเมื่อวันที่ 3 ต.ค.54 ขึ้น โดยคณะกรรมการชุดดังกล่าวมีนายกฯ เป็นประธานและมีรัฐมนตรีกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหา อีก 7-8 คนร่วมเป็นกรรมการ ส่วนภาคประชาชนก็จะส่งตัวแทนเข้าร่วม ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีในการทำงานของรัฐบาลชุดนี้กับภาคประชาชน
“เราจำเป็นต้องผลักดันให้รัฐบาลชุดนี้สานต่อนโยบายต่างๆ ที่เคยผลักดันจนเกือบจะเป็นรูปธรรมในรัฐบาลชุดที่แล้ว โดยเฉพาะนโยบายโฉนดชุมชนที่จะต้องผลักดันให้ออกเป็นพรบ.โฉนดชุมชนให้ได้ เพราะตอนนี้กฎหมายที่มีผลบังคับใช้ มีสภาพเพียงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีที่สร้างปัญหาให้กับชาวบ้าน เนื่องจากไม่สามารถบังคับใช้ข้ามหน่วยงานได้จึงทำให้ชาวบ้านหลายพื้นที่ไม่สามารถเข้าไปใช้พื้นที่ในที่ดินทำกินและอยู่อาศัยในที่ดินนั้นๆ ได้ หากเข้าไปก็เท่ากับเป็นผู้บุกรุก” ที่ปรึกษา ขปส. กล่าว
เธอบอกอีกว่า สิ่งที่เป็นปัญหามากกว่านั้น คือ การที่ชาวบ้าน 1 ใน 4 ของ 30 แห่ง ซึ่งจะเป็นพื้นที่ที่อยู่ในขั้นตอนการประกาศใช้โฉนดชุมชนต้องถูกฟ้องร้องดำเนินคดีขับไล่ให้ออกจากพื้นที่ ทั้งที่ในรัฐบาลชุดที่แล้วเคยมีคำสั่งชลอและไกล่เกลี่ยกับกระทรวงมหาดไทย รวมถึงกรมที่ดินแล้ว แต่เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลก็ไม่เกิดความต่อเนื่อง ทำให้ชาวบ้านบางรายอยู่ในขั้นตอนของอัยการในการสั่งฟ้อง
“ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ พวกเราจะยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาลอีกครั้งเพื่อให้เปิดประชุมคณะกรรมการร่วมฯ หากไม่รีบดำเนินการอาจจะทำให้ชาวบ้านอีกหลายครอบครัวต้องถูกฟ้องร้องดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกในที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย ทั้งที่ที่ดินเหล่านั้นพวกเขาอยู่มาก่อนที่จะมีประกาศเป็นพื้นที่อุทยานหรือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเสียอีก”เธอกล่าวย้ำ
การทำงานร่วมระหว่างเครือข่ายภาคประชาชนและรัฐบาลแต่ละยุคแต่ละสมัยมีความยากง่ายแตกต่างกัน โดยเธอบอกว่า ในรัฐบาลชุดนี้ก็เริ่มเห็นความยุ่งยากขึ้นมาแล้ว เพราะเริ่มตั้งแต่จัดตั้งรัฐบาลขึ้นมา ก็ยังไม่มีรัฐมนตรีรายใดเข้าใจความต้องการของคนยากคนจนอย่างแท้จริง ดังนั้นการสานต่องานต่างๆ ที่เคยก่อร่างขึ้นมาในรัฐบาลชุดที่แล้วจึงเป็นเรื่องยากขึ้นไปอีก
“เราไม่ได้คาดหวังกับรัฐบาลชุดนี้มากมายนัก เพราะทุกครั้งที่มีการประสานงานกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ คนก่อนๆ ก็มีเหตุติดๆ ขัดๆ กว่าจะพูดจากันรู้เรื่องก็ใช้เวลาเจรจาอยู่นาน พอเปลี่ยนรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ คนใหม่ การสานต่องานก็จะยิ่งลำบากมากยิ่งขึ้น เพราะตอนนี้เรายังไม่รู้ว่า รัฐมนตรีคนใดเป็นคนรับผิดชอบดูแลเรื่องการผลักดันธนาคารที่ดินและโฉนดชุมชน ดังนั้นจึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลมีความชัดเจนกับการแก้ไขปัญหาของพวกเราตามที่ได้รับปากไว้ในช่วงที่เป็นรัฐบาลใหม่ๆ ”นพพรรณ กล่าว
อย่างไรก็ตามเธอยังติดใจกับท่าทีของรัฐบาล กรณีที่มีแนวคิดจะเปลี่ยนชื่อ “โฉนดชุมชน” เป็น “สิทธิที่ดินชุมชน” ทั้งนี้ ชื่อโฉนดชุมชนเป็นชื่อที่ทางเครือข่ายภาคประชาชนตั้งขึ้นเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับรัฐบาลชุดที่ผ่านมาและไม่ต้องการให้เปลี่ยน แต่เข้าใจว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องทางการเมืองของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่ต้องการลบชื่อที่เกิดขึ้นในรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ออกไป ซึ่งภาคประชาชนไม่อยากให้รัฐบาลคิดเช่นนั้น แต่ให้มองว่า ชื่อนี้เป็นชื่อที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ของประชาชน ไม่ได้เป็นผลงานของรัฐบาลชุดที่แล้ว
เช่นเดียวกับ “ไพรจิตร ศิลารักษ์” ผู้ประสานงานสมัชชาคนจน จ.ศรีสะเกษ ที่บอกว่า แม้ว่าศาลฎีกาจังหวัดศรีสะเกษจะไม่สั่งจำคุกในคดีบุกรุกหัวงานเขื่อนราษีไศล อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ แต่ให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี ก็ไม่ได้หมายความว่า จะทำให้คนที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาของรัฐในโครงการต่างๆ ได้รับผลเช่นเดียวกัน ดังนั้นพวกเราจึงต้องขับเคลื่อนและเรียกร้องต่อ
ไพรจิตร ยังกล่าวอีกว่า ในรัฐบาลชุดนี้เรายังไม่เห็นผู้รับผิดชอบที่จะมาแก้ไขปัญหามวลชนอย่างแท้จริง หมายความว่า ยังไม่มีเจ้าภาพที่ถูกตั้งขึ้นมาดูแลปัญหาปากท้องของประชาชนอย่างแท้จริง ทำให้คิดว่า คนในรัฐบาลชุดนี้ นอกจากไม่มีความเข้าใจปัญหาของประเทศแล้ว ยังไม่รู้วิธีการจัดการปัญหาเฉพาะหน้า
“หากเป็นอย่างนั้นก็จะทำให้ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันรอวันสุกงอมจนกลายเป็นความขัดแย้งเพิ่มเติมขึ้นมาอีก ผมคิดว่า เมื่อถึงตอนนั้นอาจจะสายเกินไปที่จะแก้ไขปัญหา จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลหาคนที่มีความเข้าใจปัญหาคนจนและมวลชนอย่างแท้จริงขึ้นมาดูแลเรื่องนี้อย่างชัดเจน เพราะหากปล่อยไปอาจจะเกิดปัญหาบานปลายขึ้นมาได้”
เขาบอกอีกว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้มีสาเหตุมาจากประชาชนกับรัฐและนายทุนเกิดการแย่งชิงทรัพยากรกัน คาดว่าในอนาคตอาจจะเกิดปัญหาการแย่งชิงมากกว่านี้ ดังนั้นรัฐที่เป็นผู้มีอำนาจจัดการทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดจะต้องรีบจัดสรรอย่างลงตัว เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้อนปัญหาขึ้นมาอีก โดยเรื่องนี้เกิดการสะสมมานานเป็น 20 ปี แต่ก็ไม่มีรัฐบาลชุดใดสามารถจัดการได้อย่างเป็นรูปธรรม
ขณะที่นายหาญณรงค์ เยาวเลิศ ที่ปรึกษา ขปส.ด้านทรัพยากรที่ดินและน้ำ กล่าวว่า การจัดการปัญหาของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมาเป็นการเกาไม่ถูกที่คันจึงทำให้ปัญหาเกิดการหมักหมม แม้จะมีมติครม.เป็น 10 มติเพื่อออกมาแก้ไขปัญหาการจัดการที่ดิน การจัดการทรัพยากรน้ำ ป่า และทรัพยากรอื่นๆ แต่ก็ไม่เคยมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ
“การทำงานของรัฐบาลชุดนี้มีความแตกต่างจากรัฐบาลชุดที่แล้วค่อนข้างมาก เพราะจนถึงขณะนี้ยังไม่มีการตั้งผู้รับผิดชอบขึ้นมาโดยตรง ซึ่งรัฐบาลที่แล้วมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลชัดเจนและมีการประชุมเพื่อสรุปงานเดือนละครั้งเพื่อ เช่น การแก้ไขความขัดแย้งของรัฐกับประชาชนก็มีนายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้นรับผิดชอบโดยตรง เป็นต้น แต่รัฐบาลชุดนี้ยังหาคนที่เข้าใจปัญหาของประชาชนยังไม่ได้ ทั้งที่บอกว่า เป็นรัฐบาลที่มาจากประชาชน”นายหาญณรงค์ กล่าว
ที่ปรึกษา ขปส. รายนี้ยังกล่าวอีกว่า หากรัฐบาลแก้ไขปัญหาแบบขอไปทีเช่นนี้อาจจะเกิดการแก้ไขปัญหาในระยะยาวขึ้นได้ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้การแก้ไขปัญหาเสียเวลามากไปกว่านี้จึงอยากเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งรองนายกรัฐมนตรีหรือผู้เกี่ยวข้องศึกษามติครม.ที่เคยออกก่อนหน้านี้เพื่อมาแก้ไขปัญหาของประชาชนอย่างแท้จริง เพราะตอนนี้มีมติครม.มากกว่า 10 มติที่เคยออกมาแก้ไขปัญหาการจัดที่ดินทำกินและการจัดการทรัพยากร โดยไม่ต้องออกมติใหม่ออกมาซ้ำมติเดิมอีกแล้ว
“หากรัฐบาลชุดนี้ไม่แก้ไขปัญหา ประชาชนก็ต้องเดินทางไปยื่นหนังสือกับรัฐบาลทุกครั้งที่มีการประชุม ครม. รวมทั้งร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการของ วุฒิสภา หรือคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ดี เพราะปัญหาของชาวบ้านไม่ถูกแก้ไข ถ้ารัฐบาลรู้แล้วว่า ปัญหาของชาวบ้านอยู่ที่ไหน การแก้ไขปัญหาก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก ดังนั้นรัฐบาลจึงควรแต่งตั้งคนที่เข้าใจปัญหาขึ้นมาจัดการเพื่อให้ปัญหาถูกแก้ไขเสียที”หาญณรงค์ กล่าวด้วยเสียงเข้ม
ทางด้าน น.ส.กฤษณา สีหลักษณ์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ที่เคยรับหน้าที่เสื่อเจรจากับชาวบ้านและกลุ่มมวลชนต่างๆ ที่ตบเท้าเข้ามาร้องเรียนกับรัฐบาล กล่าวในวันที่พ้นการปฏิบัติหน้าที่อย่างมีความหวังต่อการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลให้ผู้เดือดร้อนว่า จากที่ได้ทำงานร่วมกับชาวบ้านทำให้ได้สัมผัสปัญหาต่างๆ จึงมีความรู้ความเข้าใจระดับหนึ่ง โดยก่อนที่จะพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ได้รวบรวมข้อมูลทั้งหมดและส่งไม้ต่อให้กับรัฐมนตรีรายใหม่แล้ว
“เชื่อว่า รัฐมนตรีคนใหม่จะสามารถแก้ไขปัญหาให้กับชาวบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ คาดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่อยากให้ประชาชนอย่าใจร้อน เพราะทุกฝ่ายกำลังดำเนินการแก้ไขปัญหาให้”อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ กล่าว
จึงเป็นเรื่องที่ต้องฝากหวังไว้กับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ที่จะเข้ามาสานต่องานที่เคยรับปากกับภาคประชาชนในนาม “พีมูฟ” ซึ่งต้องจับตาดูว่า “นิวัฒน์ ธำรงบุญทรงไพศาล” ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลเรื่องความเดือดร้อนของประชาชนแทน “น.ส.กฤษณา” จะดำเนินตามที่ได้รับปากไว้กับประชาชนหรือไม่
อีกไม่นานก็คงจะรู้ !!