- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- ยกระดับ...การกระจายอำนาจ สู่ "ทศวรรษแห่งการพัฒนาสมรรถนะ"
แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
ยกระดับ...การกระจายอำนาจ สู่ "ทศวรรษแห่งการพัฒนาสมรรถนะ"
แม้ว่าประเทศไทยจะผลักดันเรื่องการกระจายอำนาจมายาวนานกว่าทศวรรษ แต่ปรากฏว่า การกระจายอำนาจที่เกิดขึ้นไม่คืบหน้าไปมากเท่าที่ควร การบริหารงานท้องถิ่นพบอุปสรรคนานัปการ ทั้งที่เกิดจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก
ในทางการเมืองมีคำถาม... การกระจายอำนาจไปแล้ว ประชาชนได้อะไร ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในท้องถิ่นดีขึ้นอย่างไร ที่เห็นชัดถนนหนทางความสะดวกสบาย ชีวิตการบริโภคมีมากขึ้น ขณะเดียวกัน ทรัพยากรที่เป็นฐานชีวิตก็เริ่มร่อยหรอ ความเสี่ยงความไม่แน่นอนในรายได้ ในอาชีพ หนี้สินเพิ่มมากขึ้น หนทางที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาประเทศให้เติบโตก้าวหน้าต่อไปอย่างยั่งยืน การกระจายอำนาจมีส่วนทำให้อปท.มีบทบาททำหน้าที่มากน้อยเพียงใด
เรื่องเหล่านี้ เป็นคำถามที่ประชาชนต้องถาม เมื่อครั้นร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2540 ด้วยมีความหวังเปี่ยมล้นที่จะเห็นการกระจายอำนาจ นำมาซึ่งการพัฒนาในทุกหัวระแหงของประเทศไทย ทำให้ชีวิตประชาชนดีขึ้น
แต่คำตอบของคำถามในวันนี้ยังอยู่ในชั้นของการดำเนินการ...
กระจายอำนาจแบบใด แค่ไหน ได้ผลดีกว่า?
ศ.ดร.ชาติชาย ณ เชียงใหม่ ที่ปรึกษาสถาบันส่งเสริมการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ตั้งข้อสังเกตบางประการของกระบวนการกระจายอำนาจ ที่ดำเนินมาร่วม 10 ปี ไว้ในการประชุมทางวิชาการ เรื่องการกระจายอำนาจกับการปฏิรูปประเทศไทย ที่จัดโดยศูนย์ส่งเสริมนวัตกรรมและธรรมาภิบาลท้องถิ่น (CLIG) ในโอกาสคล้ายวันสถาปนาคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ว่า เจตนารมณ์ในรัฐธรรมนูญ ปี 2540 ต้องการให้บทบาทหน้าที่ของราชการในส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค “เล็ก” ลง และให้อปท. ”ขยายใหญ่“ ขึ้น แต่ในทางปฏิบัติ ขนาดและจำนวนของส่วนกลางกลับ “ขยาย” ขึ้นไปพร้อมๆ กัน
กฎหมายการกระจายอำนาจ เป็นกฎหมายตัวช่วย ที่จะช่วยให้การบริหารงานของอปท.ดำเนินไปได้ แต่เพราะตัวกฎหมายไม่มีสภาพบังคับ ทำให้ในทางปฏิบัติ 10 ปีที่ผ่านมา น่าลดภาระงานบริหาร งานธุรการกลับสร้างภาระเพิ่มมากขึ้นประเด็นนี้ ศ.ดร.ชาติชาย ชวนให้คิดต่อว่า แทนที่กฎหมายจะเขียน อปท. มีอำนาจหน้าที่อะไรบ้าง อย่างชัดเจน โดยเขียนในกฎหมาย แต่กฎหมายไทยกลับให้ไปจัดทำแผนกระจายอำนาจและแผนปฏิบัติการ ในการถ่ายโอน ดูๆ เหมือนจะยืดหยุ่น แต่การทำเช่นนี้ในทางปฏิบัติ ทำให้กระบวนการถ่ายโอนใช้เวลา เสียทรัพยากร ประชาชน เข้าใจ เข้าถึงน้อยลงไปทุกที
"การเขียนกฎหมายสมัยใหม่ ต้องเขียนหน้าที่การถ่ายโอนภารกิจในกฎหมายให้อปท.เลย ดีกว่าการมาเขียนแผนและมีการเจรจาต่อรองในการถ่ายโอน ซึ่งวิธีนี้ทำให้ราชการไม่ทำงาน ยึดติดอยู่กับที่"
อย่าลืมว่าจุดมุ่งหมายการกระจายอำนาจ คือความผาสุข ความมั่นคงของประชาชนในท้องถิ่น การกระจายอำนาจเป็นวิธีการ ไม่ใช่จุดมุ่งหมาย ของตัวมันเอง ศ.ดร.ชาติชาย ย้ำชัดวันนี้ต้องตรวจวัดอย่างเป็นรูปธรรมแล้วว่า การกระจายอำนาจแบบใด แค่ไหน จึงจะได้ผลดีกว่า กระบวนการถ่ายโอนใน 10 ปี ที่ผ่านมา เป็นกระบวนการที่เป็นเรื่องของฝ่ายบริหารโดยแท้ และเป็นกระบวนการค่อนข้างปิด ขณะที่ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็มาจากการเลือกตั้ง มาจากการเมืองท้องถิ่น และมีตัวแทนมาร่วมในกระบวนการถ่ายโอน ซึ่งในภาพรวมประชาชนมีความรู้เข้าใจในกระบวนการถ่ายโอนน้อย ประชาชนไม่เข้าใจว่า เรื่องใดบ้างถ่ายโอนมาที่ท้องถิ่นของตัวเอง หรือเรื่องใดบ้างถ่ายโอนมาแล้ว มากแค่ไหนอย่างไร
ด้วยเหตุนี้ ไม่ผิดนักที่จะมองว่า ทศวรรษแรกของการกระจายอำนาจยุคใหม่ (2542-2553) ได้ใช้ไปกับการประสานประโยชน์ การประนีประนอม การลดแรงเสียดทานและข้อโต้แย้ง การต่อรอง ความเหลื่อมล้ำ การถ่ายโอนภารกิจ ในการบริการสาธารณะ และใช้ไปกับการอำนวยการอปท.ให้ดำเนินการตามแผนการถ่ายโอนให้มีประสิทธิภาพ
ปฏิรูปท้องถิ่น สงครามที่ใช้ระยะเวลายาวนาน
ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นของประเทศไทย ยังคงวนเวียนอยู่ในเรื่องเดิม คือ เรื่องโครงสร้างการกระจายอำนาจและการถ่ายโอนอำนาจ แต่สำหรับ ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ ว่าที่อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์คนล่าสุด แม้ขณะนี้ดำรงตำแหน่งรองอธิการบดีฝ่ายการคลัง ก็ยังเห็นว่า ทิศทางของประเทศไทยหนีไม่พ้นกระแส “การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น” เพื่อให้ได้คำตอบสุดท้ายของการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น คือ การที่จะต้องกระจายอำนาจแล้วทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในแต่ละพื้นที่ดีขึ้นกว่าเดิม
“การปฏิรูปท้องถิ่นนั้นเป็นสงครามยาวนาน ไม่สามารถจบลงได้ง่ายๆ เพราะเมืองไทยเน้นการรวมศูนย์อำนาจ ดังนั้นสงครามหรือการต่อสู้ให้การกระจายอำนาจที่ดีขึ้น ต้องทำต่อไปโดยมีหัวจักรสำคัญคือท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ เช่น อ.แม่สอด จ.ตาก เป็นต้น”
พร้อมกับมีข้อเสนอในการพัฒนาจัดโครงสร้างการปกครองท้องถิ่นใหม่ว่า 1.ควรมีการปรับปรุงกฎหมายท้องถิ่น 2.กฎหมายกระจายอำนาจในท้องถิ่นต้องพยายามเพิ่มหน้าที่ให้ท้องถิ่นมากขึ้น เช่น รายได้ส่วนแบ่งภาษีจากรัฐให้ท้องถิ่นรับผิดชอบ การเพิ่มค่าธรรมเนียมต่างๆ 3.กฎหมายกระจายอำนาจที่มีอยู่ต้องมีการปรับเพิ่มรายได้ให้ท้องถิ่นด้วย และ 4.กฎหมายการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นนั้นต้องพยายามบรรจุเรื่องการพัฒนาบุคลากรในพื้นที่ ขณะนี้ประมวลกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับท้องถิ่นทั้งหมดนั้นกำลังเข้าสู่การพิจารณาของรัฐบาล
หยุดสร้างต้นไม้ใหญ่ในกรุงเทพฯแห่งเดียว
สังคมไทย ณ เวลานี้ เหมือน ดูดช้างเผือกออกจากพื้นที่ ดร.สีลาภรณ์ บัวสาย ผู้อำนวยการฝ่ายชุมชนและสังคม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) เปรียบเทียบให้เห็นภาพ ก่อนจะชี้ว่า สิ่งที่ดีที่สุด คือ ต้องหาทางกระจายอำนาจออกไป แทนสร้างต้นไม้ใหญ่ที่กรุงเทพมหานครที่เดียว สร้างต้นไม้ทุกพื้นที่ เพื่อให้นกกาได้อาศัยอยู่อย่างสมบูรณ์ มี 2 เรื่องสำคัญที่ต้องทำเร่งด่วนในกระแสปฏิรูปประเทศไทยตอนนี้ คือ เรื่องการกระจายอำนาจกับการปฏิรูปประเทศไทย และอีกเรื่องคือ การแก้ไขปัญหาการจุกตัวความมั่งคั่ง ซึ่งหากแก้ไขได้ ปัญหาต่างๆก็จะคลี่คลาย
“อปท.เป็นเหมือนการรินน้ำที่มีคนรับ เวลาที่รัฐไทยรินน้ำลงสู่ชนบท จะรินโดยกระทรวง 20 กระทรวง เป็นการส่งความคิด เอาโจทย์ไปให้ ท้องถิ่นก็เป็นทำงานตามโจทย์ หากต้องการให้ได้ประโยชน์ อปท.ที่ดีต้องทำมากกว่าการทำตามโจทย์ เป็นโจทย์จากชุมชนเอง ต้องเห็นต้นทุน รู้จักทรัพยากรในพื้นที่เป็นวัตถุดิบให้ได้”
สำหรับประเด็นที่เป็น "จุดอ่อน" ของการกระจายอำนาจในมุมมอง ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา คณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า ท้องถิ่นขนาดเล็กมีจำนวนมาก ทั้ง อบต. อบจ. ฯลฯ กลายเป็นอุปสรรคของการกระจายอำนาจใน 2 เรื่อง คือ 1.ทำให้ท้องถิ่นไม่สามารถจัดการบริการสาธารณะพื้นฐานขนาดใหญ่แทนรัฐบาลได้ เนื่องจากมีขนาดเล็กและมีข้อจำกัดต่างๆ ในการทำงาน และ2.ปัญหาต่างๆ ของประชาชนในท้องถิ่นที่เกิดขึ้นนั้นส่วนใหญ่อปท.ไม่ได้แก้ไขโดยตรง แต่ให้รัฐส่วนกลางเข้ามาทำแทน โดยเฉพาะปัญหาใหญ่ๆ
“การมีท้องถิ่นขนาดเล็กๆ จำนวนมาก เป็นการสลายพลังของตัวท้องถิ่นเอง ถ้าเรากระจายอำนาจเกิดท้องถิ่นขนาดเล็กจำนวนมากต่อไปจะทำให้การกระจายอำนาจตัน กระจัดกระจาย ดังนั้น ต้องมีการรวม ไม่วันใดก็วันหนึ่งในอนาคต หนีไม่พ้น และอาจจะต้องพูดถึงการยกระดับท้องถิ่นให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ในระดับของจังหวัด” ศ.ดร.จรัส อธิบาย และเสริมว่า ไม่จำเป็นต้องยุบระดับอบต. แต่ต้องมาพูดถึงท้องถิ่นระดับจังหวัด คือ การรวมอบจ. และภูมิภาคเข้าด้วยกัน ซึ่งการยกระดับท้องถิ่นสู่ระดับจังหวัด จะต้องมีการพัฒนาทรัพยากรบุคคล และทำให้เกิดทรัพยากรบุคคลที่จะมาทำงานในส่วนนี้ อีกทั้ง การทำงานท้องถิ่น ระดับจังหวัด จะต้องไม่มีการซ้ำซ้อน สุดท้ายทำให้ท้องถิ่นสามารถจัดเก็บภาษีนิติบุคคล ภาษีโรงเรือน ภาษีท้องที่ได้ด้วยตนเอง เป็นต้น
รวม 3 จว.ใต้เป็นเขตการปกครองพิเศษ..เขตเดียว
ในพื้นที่ปลายด้ามขวาน กรณี 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผศ.ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี สะท้อนปัญหาการกระจายอำนาจของท้องถิ่น ว่า จะต้องมีการจัดการอำนาจอย่างสมดุล เข้าใจและเข้าถึงอัตลักษณ์ ชาติพันธุ์ ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณีในท้องถิ่น เนื่องจากการใช้อำนาจรูป แบบเดิมได้ไป "กดทับ" โครงสร้างอำนาจเดิมของคนในท้องถิ่น และเงื่อนไขของรัฐไทยในการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นต้องสอดคล้องกับการเป็นรัฐเดี่ยวของประเทศไทยที่เป็นก้าวใหม่ด้วย ไม่ใช่รัฐเดี่ยวแบบโบราณที่เป็นอยู่
ส่วนการปกครองแบบศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ผศ.ดร.ศรีสมภพ มองว่า เป็นการเปิดรูปแบบในการกระจายอำนาจรูปแบบหนึ่งจากส่วนกลาง แต่ก็ยังไม่เพียงพอ ดังนั้นจะทำอย่างไรให้ศบอต.เป็นลักษณะของกระทรวงใหม่ขึ้นมาแทนในการกระจายอำนาจ เพื่อมาดูแลท้องถิ่น ส่วนรูปแบบการปกครองพิเศษ อยากให้ลองรูปแบบการปกครองนครปัตตานี เป็นการรวม 3 จังหวัดในภาคใต้เป็นเขตการปกครองพิเศษเขตเดียว คล้ายๆ กับการปกครองในกรุงเทพฯ ที่ไม่ใช่ “นครรัฐปัตตานี” อย่างที่เข้าใจผิดกัน
จะเห็นว่า ประเทศของเราเร่งสร้างรัฐ เร่งสร้างเศรษฐกิจสมัยใหม่ โดยดูดซับเอาทรัพยากรท้องถิ่นไปใช้ในส่วนกลาง เป็นเวลาร่วม 40-50 ปี ท่ามกลางโครงสร้างวัฒนธรรมอุปถัมภ์ ความผันผวนของเศรษฐกิจตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา ทำให้ความยากจนเป็นปรากฎการณ์ต่อเนื่อง คนท้องถิ่นรากหญ้า กลายเป็นเงื่อนไขทางโครงสร้างที่สำคัญทำให้สำนึกท้องถิ่น วิญญาณ ท้องถิ่นของชุมชนไทยค่อยๆ เสื่อมสลายตายไป
ถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยต้องหาจุด ดุลยภาพ หาความหมายใหม่ สัญลักษณ์ใหม่ ตำแหน่งแห่งที่ใหม่ของการกระจายอำนาจ ที่จะช่วยฟื้นฟูและเพิ่มพื้นที่สำนึกท้องถิ่น อันเป็นรากฐานของประชาธิปไตยในสมัยใหม่ที่เราต้องการ....
ประเด็นคิด ศ.ดร.ชาติชาย ณ เชียงใหม่ กับการทำให้การกระจายอำนาจในทศวรรษหน้าดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง และเป็นทศวรรษแห่งการพัฒนสมรรถนะ มากกว่าการถกเถียงกัน
สิ่งที่ต้องพูด
“1.การถ่ายโอนภารกิจยังไม่เหมาะสม ยังไม่สอดคล้องกับสมรรถนะ ความต้องการของแต่ละพื้นที่ 2.ยังไม่มีหลักเกณฑ์วิธีการที่ชัดเจนที่เป็นกฎหมายที่ระบุถึงหลักการแบ่งความรับผิดชอบระหว่างส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และท้องถิ่น หรือระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยกันเอง 3.ไม่มีการพูดถึงการกำหนดแนวทางการรับประกันความสามารถทางการเงินการคลัง ไม่มีการกำหนดเกณฑ์เป้าหมายมาตรฐานขั้นต่ำการบริการสาธารณะ ระบบการติดตามประเมินผล ของอปท.ยังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกัน และสุดท้าย อปท ไม่ได้รับการส่งเสริมให้มีความสามารถที่ดีพอในการทำตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย”
สิ่งที่ต้องยอมรับ
“การกระจายอำนาจเป็นแนวคิดของประเทศไทย เป็นเรื่องการปกครองรัฐเดี่ยว ที่มีอปท.เป็นหน่วยงานขนาดเล็ก เป็นผลิตผลของรัฐ ไม่เป็นเอกเทศ แต่มีความอิสระในการบริหารภายใต้กฎหมายที่รัฐกำหนด คงต้องนำหลักเกณฑ์การแบ่งอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบให้แก่องค์กรของรัฐ อปท.ที่อยู่ต่างระดับกัน หรืออยู่ในพื้นที่เดียวกัน แต่มีความสามารถไม่เท่ากัน มาใช้ ปรับอปท.ให้เป็น 2 ชั้น โดยมีองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นองค์กรที่อยู่ชั้นบน มีเทศบาล อบต.อยู่ชั้นล่าง”
สิ่งที่ต้องยึดถือ
- เรื่องการแบ่งอำนาจหน้าที่ ยึดถือหลักเกณฑ์ 2 ประการ 1.วัตถุประสงค์ของการบริการสาธารณะ ถือเอาประโยชน์ของประชาชนในพื้นที่เป็นหลัก และอำนวยประโยชน์ให้กับคนทั่วไป 2.หลักความสามารถและตอบสนองของคนในพื้นที่ให้ได้รวดเร็วและตรงกับความต้องการ ฉะนั้น การแบ่งภารกิจต้องชัดเจน ระหว่างอำนาจหน้าที่ของรัฐ อำนาจหน้าที่อป. อำนาจหน้าที่รัฐ- อปท. ต้องดำเนินร่วมกัน
- เรื่องความสามารถทางการเงิน มีข้อเสนอ ดังนี้ 1.สัดส่วนของรายได้ท้องถิ่นควรมาจากภาษีประเภทต่างๆ ที่อปท.จัดเก็บเอง ไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของรายได้ทั้งหมดในแต่ละปี เพื่อเป็นการวางหลักประกันเพื่อไปกำหนดฐานภาษีของท้องถิ่น ให้สามารถจัดเก็บรายได้ ตรงนี้ได้ 2.รายได้ของท้องถิ่นที่เป็นเงินอุดหนุน ของรัฐบาลในแต่ละปี ต้องไม่เกินร้อยละ 60 ของรายได้ในแต่ละปีของ อปท. 3. ต้องกำหนดวงเงินงบประมาณประจำปี ของ อปท.แต่ละประเภทที่จะใช้ออกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่กำหนดให้เป็นพื้นฐานในงานที่ต้องใช้ กับงานพื้นที่รัฐต้องคำนวณ ค่าใช้จ่ายต่อหน่วยในการให้บริการ เพื่อเป็นหลักประกันแก่ประชาชนในทุกพื้นที่ว่า จะได้รับบริการพื้นฐานเท่าเทียมกัน
"ส่วนเงินรางวัลที่จัดให้ข้าราชการส่วนท้องถิ่นต้องมาจากเงินรายได้ที่อปท.จัดเก็บเองเท่านั้น ไม่สามารถเอาเงินอุดหนุนของรัฐบาลมาจ่าย แม้แต่เงินที่จะไปศึกษาดูงานต่างประเทศก็เช่นเดียวกัน ต้องมาจากเงินรายได้ที่อปท.จัดเก็บเอง และความรู้ที่ได้จากการไปดูงาน ก็ต้องนำมาใช้พัฒนาอปท.และปรากฏในรายงานประจำปีของหน่วยงานด้วย"
-เรื่องของการกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำ เพื่อเป็นหลักประกันประชาชนจะได้รับการบริการทั่วถึง ไม่มีความเหลื่อมล้ำ ไม่มีหลายมาตรฐาน ต้องมีมาตรฐานกลาง และมาตรฐานที่เป็นเป้าหมายขั้นต่ำ และควรจัดองค์กรที่เป็นกลางประเมินบริการสาธารณะของอปท.ทุก 2 ปี แยกการกำกับออกจากการติดตามประเมินผล
และท่ามกลางสำนึกท้องถิ่น วิญญาณ ท้องถิ่นของชุมชนไทยกำลังค่อยๆเสื่อมสลายตายไป...สิ่งที่เป็น ข้อเสนอ
- ลดการไหลเวียนของการใช้อำนาจในการสื่อสารจากบนลงสู่ล่าง เพิ่มจากล่างขึ้นสู่บน เพิ่มขนาดของกระบวนการและการเรียนรู้ตามแนวขวางให้มากขึ้น การบริหารราชการภูมิภาคในท้องถิ่นต้อง สัมพันธ์แนบแน่นกับท้องถิ่น ให้เป็นระบบมากกว่าทุกวันนี้
-กำหนดภารกิจความรับผิดชอบในการเสริมสร้างสำนึกของท้องถิ่นและความเข้มแข็งของชุมชน ควรมีการจัดโครงสร้าง ระดับท้องถิ่นที่เชื่อมโยงกับภูมิภาค ใน 3 ระดับ
ระดับแรก คือ ความเข้าใจ เข้าถึง ปัญหาและร่วมงานกับประชาชน หน้าที่นี้เป็น ของอปท.ทุกประเภท ที่จะต้องจัดให้มีบุคลากร ที่เรียกว่า “นักพัฒนาเท้าเปล่า” เข้าไปทำงานร่วมคิด ให้ความรู้ ร่วมสร้างความเข้าใจ ให้ประชาชนเห็นความเป็นจริงของโลก ตั้งอยู่บนเหตุผลและความรู้
ระดับที่สอง เป็นระดับการเชื่อมโยงระหว่างพื้นที่ เป็นบุคลากรที่น่าจะมาจากรัฐบาลร่วมกับอบจ. ลักษณะที่เป็นทีม รวมทั้งองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร ตลอดจนองค์กรศาสนา ทำงานลักษณะเชื่อมโยง เรียกว่า NETWORK WORKER
ระดับสาม เป็นระดับบน คือ นักพัฒนากร หรือผู้ที่มีตำแหน่งอื่นๆ ในอำเภอ ทำหน้าที่ร้อยต่อ โยงขึ้นมาส่วนบนเสริมสร้าง นำนโยบายมาชี้แจงเกื้อหนุนให้ชุมชนเดินหน้าไปได้ โดยทุกกระทรวง ทบวง กรมต้องวางตำแหน่งแห่งที่ ของหน่วยงาน บทบาทบุคลากรใหม่ ว่า เรื่องใดควรอยู่ห่าง หรืออยู่ใกล้ กับชุมชน ทบทวนทั้งกระบวนการ