- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- คลอด..สถาบันส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้ฯ เดินเครื่อง“ปฏิรูปการศึกษารอบ2”
แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
คลอด..สถาบันส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้ฯ เดินเครื่อง“ปฏิรูปการศึกษารอบ2”
เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบ “ร่าง พ.ร.บ.สถาบันส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน พ.ศ. ...” และ “ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน พ.ศ. ...” ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการปฏิรูปการศึกษา!!
ซึ่งหากเป็นไปตาม พ.ร.บ.สถาบันส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชนแล้ว จะต้องมีการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ ที่เรียกว่า “สถาบันส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.)” ขึ้น เพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับคุณภาพเยาวชน
เบื้องต้น นพ.ภูมินทร์ ลีธีระประเสริฐ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ครม.เห็นว่าการออกเป็น พ.ร.บ.สถาบันส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน จะต้องใช้ระยะเวลานาน จึงสมควรออกเป็นระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชนไปพลางๆ ก่อน เพื่อให้สามารถจัดตั้ง สสค.ได้
โดยระยะแรกนั้น สำนักงบประมาณจะจัดสรรงบประมาณอุดหนุนทั่วไปวงเงิน 400 ล้านบาท ผ่านสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และให้คณะกรรมการ สสส.ทำหน้าที่ดูแลในเบื้องต้น
ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปดูที่มาที่ไปของเรื่องนี้ สืบเนื่องจากการที่ ครม.มีมติเห็นชอบระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง พ.ศ.2552 ที่กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง (กนป.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีหน้าที่กำหนดนโยบาย และยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษา
ซึ่งคณะกรรมการชุดดังกล่าวได้ประชุม และเห็นว่าน่าจะพัฒนาระบบการบริหารจัดการเสียใหม่ ในส่วนของการระดมความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยมีองค์กรทำนองเดียวกับ สสส.แต่เป็น สสส.ด้านการศึกษา เพื่อสนับสนุนการปฏิรูปการศึกษา โดยเฉพาะด้านการปฏิรูปการเรียนรู้ของเยาวชนและสังคม โดยเสนอให้จัดตั้ง สสค.เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการปฏิรูปการศึกษา ส่งเสริมภาคส่วนต่างๆ ให้มีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้น โดยใช้งบประมาณร้อยละ 0.5 ของงบประมาณรัฐด้านการศึกษา ผ่านระบบบริหารจัดการที่เหมาะสม
นอกจากนี้ ยังมีเหตุผลสำคัญในเรื่อง “คุณภาพ” เยาวชน ในแง่ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ต่ำ เพราะมีเด็กจำนวนไม่น้อยที่ตกหล่นออกจากระบบการศึกษา ปัญหาความเสื่อมถอยทางสังคม และการขาดทักษะการทำงานปัญหาเหล่านี้ได้ส่งผลต่อการลดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยเฉพาะคุณภาพของแรงงานที่อยู่ในระดับล่าง เมื่อเทียบกับนานาอารยประเทศ
ขณะที่คุณภาพของเด็กไทยยังมีปัญหาด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนค่อนข้างมาก อย่างคะแนนทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ระดับชั้น ม.6 ในปี 2548-2551 ซึ่งทุกวิชาต่ำกว่าร้อยละ 50 ยกเว้นวิชาภาษาไทย
และจากการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และทักษะการอ่าน โดยองค์กรความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD )พบว่า ประเทศไทยจัดอยู่ในลำดับที่ 46, 45 และ 41 ตามลำดับ จากทั้งหมด 58 ประเทศ
นอกจากนี้ IMD World Competitiveness Report ยังได้รายงานสถิติผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาระดับอุดมศึกษาของไทยเมื่อปี 2551 ว่าอยู่ในอันดับที่ 37 จาก 56 ประเทศ โดยไทยมีอันดับต่ำกว่าแทบทุกประเทศในภูมิภาค
ทั้งนี้ แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามขยายโอกาสทางการศึกษา แต่หากวิเคราะห์เจาะลึกลงไปแล้ว จะพบว่าในปี 2551 มีเยาวชนไทยที่มีอายุระหว่าง 3-17 ปี หลุดออกจากระบบการศึกษามากกว่า 3 ล้านคน และมากขึ้นเรื่อยๆ ในระดับมัธยม ซึ่งเยาวชนเหล่านี้ มีแนวโน้มออกไปเป็นแรงงานด้อยคุณภาพ
อย่างไรก็ตาม หลักการของการจัดตั้งสถาบันส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน ก็เพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับคุณภาพของเยาวชน รวมทั้ง ข้อจำกัดด้านงบประมาณ เพราะแม้รัฐจะจัดสรรงบประมาณด้านการศึกษาในแต่ละปีสูงสุดถึง 3 แสนล้านบาท ซึ่งมากเป็นอันดับหนึ่งเมื่อเทียบกับงบประมาณที่กระทรวงต่างๆ ได้รับแล้ว แต่งบประมาณที่ใช้เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานมีเพียงร้อยละ 0.8 เท่านั้น
รัฐบาลจึงมองว่า สสค.น่าจะเป็นเครื่องมือ และกลไกการทำงานของรัฐ ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของงบประมาณ รวมถึง เป็นยุทธศาสตร์ที่จะระดมความร่วมมือ และทรัพยากรจากภาคส่วนต่างๆ เข้ามาพัฒนาระบบการเรียนรู้
ขณะที่ตัว “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรีเอง ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาคน โดยเฉพาะด้านการศึกษา เพราะมองว่าความสำเร็จของการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าได้ จะขึ้นอยู่กับคุณภาพของคน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดึงภาคส่วนต่างๆ ของสังคม มาร่วมกันพัฒนา
นอกจากนี้ จากการศึกษากรณีศึกษาในต่างประเทศ ยังพบว่า ความก้าวหน้าของการพัฒนาการศึกษาในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกหลายๆ ประเทศ ที่ก้าวหน้ารวดเร็วกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สิงคโปร์ ไต้หวัน เป็นต้น ได้ปรับปรุงระบบการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการแรงงานคุณภาพ รวมทั้ง ฮ่องกง ที่ได้ชื่อว่ามีคุณภาพการศึกษาพื้นฐานที่ดีที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ก็ได้จัดตั้งหน่วยงาน Quality Education Fund (QEF) เพื่อสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพการศึกษาโดยตรง โดยรัฐจัดสรรทุนประเดิมให้ถึง 5 พันล้านเหรียญฮ่องกง และใช้ดอกผลเพื่อให้ทุนสนับสนุนการพัฒนาการจัดการศึกษาในโรงเรียนต่างๆ ทำให้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ฮ่องกงสามารถพัฒนาคุณภาพนักเรียนให้ขึ้นมาอยู่ในลำดับต้นๆ ของโลก
ส่วนกลุ่มประเทศประชาคมยุโรป ได้ออกกฎหมายมหาชน จัดตั้งองค์กรมหาชนที่เรียกว่า “Education, Audiovisuals and Culture Executive Agency (EACEA)” เมื่อปี 2549 มีหน้าที่สนับสนุนงบประมาณให้แก่โครงการนวัตกรรมด้านการศึกษา สื่อเพื่อการเรียนรู้วัฒนธรรม โดยจัดงบประมาณสนับสนุนโครงการต่างๆ ถึง 4 พันโครงการต่อปี ซึ่งใช้งบประมาณต่อปีมากกว่า 600 ล้านยูโร
ทั้งนี้ การจัดตั้ง สสค.นั้น ที่ผ่านมา ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษาและพัฒนาสังคม อาทิ ศ.สุมน อมรวิวัฒน์ ศ.กนก วงษ์ตระหง่าน ศ.นพ.ประเวศ วะสี ศ.นพ.เกษม วัฒนชัย ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม์ ดร.เจือจันทร์ จงสถิตอยู่ ดร.ลีลาภรณ์ บัวสาย ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ เป็นต้น ต่างก็เห็นตรงกันถึงความจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องจัดตั้ง สสส.เพื่อการศึกษา เพื่อสนับสนุนการปฏิรูปการศึกษา โดยต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และออกเป็นพระราชบัญญัติ พร้อมทั้งให้หน่วยงานนี้มีรายได้เพื่อดำเนินการกิจการประมาณร้อยละ 0.5-1 ของงบประมาณด้านการศึกษา
สำหรับงบประมาณที่ สสค.จะใช้ดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์นั้น มีผู้เสนอว่า น่าจะมาจากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตของสินค้าสุราและยาสูบเพิ่ม โดยอาจจัดเก็บในรูปของเงินบำรุง ในอัตราร้อยละ 1 หรือคิดเป็นร้อยละ 0.5 ของงบประมาณด้านการศึกษา เพื่อกิจการสร้างสรรค์สังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน และออกเป็นพระราชบัญญัติ เพราะจะทำให้รัฐบาลสามารถจัดหางบประมาณได้จากรายได้ใหม่ โดยไม่กระทบกับงบประมาณรายจ่ายทั่วๆ ไป
ส่วนการบริหารจัดการนั้น โครงสร้างการบริหาร สสค.จะประกอบไปด้วย “คณะกรรมการนโยบาย” มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นรองประธานคนที่หนึ่ง ผู้ทรงคุณวุฒิที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นรองประธานคนที่สอง ส่วนกรรมการ ได้แก่ ปลักระทรวงศึกษาธิการ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ปลัดกระทรวงแรงงาน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และผู้ทรงคุณวุฒิที่คณะรัฐมนตรีตั้งอีก 8 คน ที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละด้านที่เกี่ยวข้อง โดยมีผู้จัดการ สสค.เป็นกรรมการ และเลขานุการ
นอกจากนี้ ยังมี “คณะกรรมการประเมินผล” ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง โดยการเสนอของกระทรวงการคลัง 7 คน ในจำนวนนี้รวมประธานกรรมการหนึ่งคน
โดย สสค.จะเป็นหน่วยงานขนาดเล็กที่ไม่ใช่ส่วนราชการ หรือรัฐวิสาหกิจ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี มีความคล่องตัว มีระเบียบข้อบังคับสำหรับการบริหารกิจการที่กำหนดโดยคณะกรรมการบริหาร มีผู้จัดการคนหนึ่งเป็นหัวหน้า
ซึ่งขณะนี้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันค่อนข้างกว้างขวางเกี่ยวกับการ “วางตัว” ผู้ที่จะมาเป็น “กรรมการนโยบาย” 8 คน ในส่วนของผู้ทรงคุณวุฒิ ที่แต่งตั้งโดยคณะรัฐมนตรี ที่จำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญในแต่ละด้านที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการศึกษา เพราะเกรงว่าหากได้ “หน้าเก่าๆ” คนที่มี “ความคิดแบบเดิมๆ” หรือคนที่ “ไม่มีที่ไป” มาเป็นกรรมการนโยบาย ก็อาจทำให้การขับเคลื่อน สสค.เพื่อไปสู่เป้าหมาย อาจมีปัญหา และอุปสรรคได้
ดังนั้น ในการคัดเลือกบุคคลที่จะมาเป็นกรรมการนโยบาย จึงจำเป็นที่ผู้ที่เกี่ยวข้อง จะต้องคัดสรรบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง และพร้อมจะทุ่มเทแรงกายแรงใจ แทนที่จะเลือกพวกพร้อง
เพื่อผลักดันการปฏิรูปการศึกษาไทยในทศวรรษที่สอง ให้ก้าวไปสู่จุดหมายปลายทาง เพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และคุณภาพของเยาวชนไทยให้สูงขึ้น
เพื่อให้ไทยสามารถแข่งขันกับนานาอารยประเทศในเวทีโลกได้!!