- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- สารพัดปัญหา “อุดมศึกษา” ยุค “ปฏิรูป” “ขายปริญญา-จ้างทำธีซิส-เปิดศูนย์ฯไร้คุณภาพ"
แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
สารพัดปัญหา “อุดมศึกษา” ยุค “ปฏิรูป” “ขายปริญญา-จ้างทำธีซิส-เปิดศูนย์ฯไร้คุณภาพ"
กลายเป็นประเด็นร้อนๆ ในแวดวงอุดมศึกษาไทย เมื่อเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา “สุเมธ แย้มนุ่น” ส่งนิติกรไปแจ้งความกองปราบปราม หลังจากมีผู้ร้องเรียนเกี่ยวกับโฆษณาชวนเชื่อตามเว็บไซต์ หลอกขาย “ปริญญาบัตร” โดยระบุว่าเป็นปริญญาที่ถูกต้องของมหาวิทยาลัยต่างๆ และมีปริญญาบัตรของทุกมหาวิทยาลัย โดยจะออกเกรด ทรานสคริปต์ รวมถึง มีชื่ออยู่ในรายชื่อผู้สำเร็จการศึกษาของมหาวิทยาลัยนั้นๆ ที่สำคัญ สามารถเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรได้อีกด้วย
นอกจากนี้ ยังได้แจ้งให้ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) รับทราบ เพื่อไปตรวจสอบว่ามีบุคลากรภายในของมหาวิทยาลัยร่วมมือด้วยหรือไม่ เพราะมีหลายๆ มหาวิทยาลัยที่ถูกนำภาพใบปริญญาบัตรไปโพสต์ไว้ในเว็บไซต์โฆษณาชวนเชื่อเหล่านี้ เช่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อลองเข้าไปตรวจสอบเว็บไซต์โฆษณาชวนเชื่อเหล่านี้ จะพบข้อความโฆษณาโจ่งครึ่ม “รับทำวุฒิการศึกษา ม.3, ม.6, ปวช., ปวส., ปริญญาตรี และปริญญาโท ของจริง (ซื้อ-ขายปริญญา)” พร้อมรายละเอียดชนิดที่ใครอยากจะจบปริญญา โดยไม่ต้องไปนั่งเรียนในห้อง คงอดใจไว้ไม่ได้ที่จะติดต่อขอรายละเอียด
"หากคุณมีปัญหาด้านวุฒิการศึกษา เช่น เรียนไม่จบ, เรียนไม่ตรงสายงาน, ปัญหาการสมัครเรียนต่อ, ต้องการนำวุฒิฯ ไปสมัครงานเพื่อให้ตรงกับสายงาน หรือเพื่อปรับขึ้นเงินเดือน ฯลฯ ที่นี่..ถือว่ามีผู้ใช้บริการมากที่สุด และไม่เคยมีปัญหาใดๆ ตามมาภายหลัง ได้ดำเนินการมากว่า 7 ปี โดยไม่มีปัญหาสักครั้ง สามารถตรวจสอบได้จากกระทรวง และมีชื่อในโรงเรียนอยู่จริง รับแก้ไขปัญหาเรียนไม่จบทุกกรณี ผ่านกระทรวง โดยใช้ไปสมัครงาน ศึกษาต่อทั้งใน และต่างประเทศ สามารถตรวจสอบได้ มีชื่อในฐานข้อมูลของโรงเรียนจริง รับประกันผลงานตรวจสอบได้จริง โดยไม่มีข้อกังขา จะใช้สมัครงาน หรือเรียนต่อก็สบายใจ ของจริงแน่นอน เรามีรหัสนักศึกษาให้ตรวจสอบกับฐานข้อมูลของมหาวิทยาลัยได้เลยครับ"
นอกจากนี้ ข้อความโฆษณาชวนเชื่อนี้ ยังระบุค่าใช้จ่ายโดยประมาณแบ่งตามระดับต่างๆ ได้แก่ ระดับประถมศึกษา 5,000-8,000 บาท ระดับมัธยมตอนต้น 12,000-20,000 บาท ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 15,000-22,000 บาท ระดับ ปวช.20,000-32,000 บาท ระดับ ปวส.25,000-40,000 บาท ระดับปริญญาตรี 37,000-90,000 บาท (เข้ารับปริญญาได้) ระดับปริญญาโท 120,000-280,000 บาท (เข้ารับปริญญาได้) แต่หากต้องการถ่ายรูปรับปริญญาบัตร เพิ่มอีกเพียง 7,000 บาท
จากข้อความโฆษณาชวนเชื่อเหล่านี้ ทำให้เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษาเห็นว่า ถ้าปล่อยไว้จะทำให้เกิดความเสียหายตาม ในฐานะที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ดูแลเรื่องนี้โดยตรง จึงได้แจ้งความที่กองปราบปราม และขอความร่วมมือไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ช่วยสอดส่อง รวมถึง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ซึ่งจาการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า ผู้ที่สนใจจะใช้บริการจะต้องติดต่อผ่านทางอีเมล ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ และจะเลือกเฉพาะลูกค้าที่ไว้ใจได้
เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษาบอกว่าเพิ่งเคยเห็นการซื้อขายปริญญาในรูปแบบนี้ แบบเดิมที่ว่า “เรียนง่าย จ่ายครบ จบแน่” ก็ถือว่าแย่อยู่แล้ว แต่รูปแบบนี้จบโดยไม่ต้องเรียน แค่จ่ายค่าใบปริญญาก็จบได้ และถ้าต้องการเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร ต้องเสียเงินเพิ่มอีก
ซึ่งเรื่องนี้ “นายไชยยศ จิรเมธากร” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ขอความร่วมมือไปยัง ทปอ.และ สกอ.ให้แจ้งไปยังมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อตรวจสอบ และดูแลระบบการป้องกันฐานข้อมูลของมหาวิทยาลัย เพื่อไม่ให้เกิดการลักลอบเข้าไปแก้ไขข้อมูลได้
ขณะที่อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ “นายสมคิด เลิศไพฑูรย์” เชื่อว่าบุคลากรภายในมหาวิทยาลัยไม่น่าจะเกี่ยวข้อง และถ้าตรวจสอบแล้วพบว่าการโฆษณาชวนเชื่อดังกล่าว สร้างความเสียหายให้กับมหาวิทยาลัย ก็จะฟ้องร้อง
นางมัทนา สานติวัตร อธิการบดีมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ซึ่งเป็น 1 ในมหาวิทยาลัยที่ถูกแอบอ้าง ยืนยันว่าระบบป้องกันฐานข้อมูลของมหาวิทยาลัยทำไว้อย่างรัดกุม การพิมพ์ปริญญาบัตรจะแยกโรงพิมพ์ และแบ่งส่วนความรับผิดชอบให้เจ้าหน้าที่แต่ละคนดูแลชัดเจน ถ้าเกิดข้อผิดพลาดตรงไหนก็จะตรวจสอบได้ จึงมั่นใจได้ ที่สำคัญ ปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยออกแบบพิเศษ มีจุดสังเกตที่ตรวจสอบได้เหมือนธนบัตร ฉะนั้น ถ้าสถานประกอบการใดส่งรายชื่อ หรือปริญญาบัตรมาให้ตรวจสอบ ก็จะยืนยันได้ว่าเป็นของจริงหรือปลอม
ส่วนอธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) “นายบุญสม ศิริบำรุงสุข” บอกว่า มอ.ยังไม่เคยพบกรณีซื้อขายปริญญาบัตร เพราะมีระบบป้องกันการเจาะฐานข้อมูลต่างๆ พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตว่าการโฆษณาซื้อขายปริญญาบัตรในลักษณะนี้ น่าจะเป็นกลุ่มที่หากินโดยการปลอมใบปริญญาบัตร เช่นเดียวกับการปลอมหนังสือเดินทาง
อย่างไรก็ตาม การติดตามเพื่อจับกุมแก๊งค์ หรือขบวนการต้มตุ๋นในการซื้อขายปริญญาบัตรผ่านเว็บไซต์นั้น “นพ.กำจร ตติยกวี” รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา ระบุว่าทำได้ยาก เพราะผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการถูกหลอกลวงให้ซื้อขายปริญญาบัตร ไม่ยอมเปิดตัว หรือให้ข้อมูลส่วนตัว เพราะห่วงว่าจะถูกประณาม และได้รับผลกระทบในหน้าที่การงาน เพราะส่วนใหญ่เป็นข้าราชการ และที่ต้องซื้อใบปริญญาบัตรก็เพื่อเพิ่มวุฒิการศึกษา หรือเพื่อความก้าวหน้าทางราชการ
ประเด็นนี้ได้รับความสนใจจาก “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี โดยซักถาม “นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ” รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ถึงแนวทางที่ ศธ.ดำเนินการแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้
ล่าสุดเลขาธิกาคณะกรรมการการอุดมศึกษาได้ตั้งคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาการโฆษณาขายปริญญาบัตรปลอม มี “นายวิชาญ เชิศวิภาตระกูล” เป็นประธาน และมีผู้แทนจากกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นต้น ร่วมเป็นกรรมการ เพื่อสืบสวนหาตัวผู้ที่ประกาศโฆษณาขายปริญญาบัตรปลอมทางอินเตอร์เน็ตมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งยังบอกไม่ได้ว่าจะจัดการกับพวก 18 มงกุฏ ได้หรือไม่
นอกจากปัญหาการซื้อขายปริญญาบัตรผ่านเว็บไซต์ ซึ่ง สกอ.ยังไม่สามารถจัดการได้แล้ว ปัญหาการโฆษณารับจ้างทำ “วิทยานิพนธ์” ก็ยังมีเกลื่อนเว็บไซต์ไม่แพ้การโฆษณาซื้อขายปริญญาบัตร อย่างบางเว็บไซต์ระบุว่า “รับทำวิทยานิพนธ์ ดุษฎีนิพนธ์ปริญญาโท ปริญญาเอก รับหาข้อมูลวิจัยทางการตลาด แจกแบบสอบถาม SPSS LISREL AMOS รายงาน การศึกษาอิสระ บทความ” ไม่รับเงินมัดจำ ทำงานเสร็จแล้วส่งงานให้ดู จากนั้นจึงชำระเงิน โทรมาคุยกับเราได้ที่ 08-1251-xxxx
บางเว็บไซต์มีการอวดสรรพคุณ และประสบการณ์ที่ทำมาอย่างโชกโชน พร้อมทั้งระบุรายละเอียดของงานที่ต้องทำ เช่น วิทยานิพนธ์ ต้องทำอะไรบ้าง คือ 1.ตั้งชื่อทำ Proposal เสนอ 2.บทที่ 1 บทนำ ภูมิหลัง ความเป็นมา และความสำคัญของปัญหา วัตถุประสงค์ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 3.บทที่ 2 ค้นข้อมูล ทฤษฎี เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งใน และต่างประเทศ 4.บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย ระเบียบวิจัย 5.บทที่ 4 วิเคราะห์ผล หาค่าสถิติ ทดสอบสมมติฐาน โปรแกรมที่นิยมใช้งานคือ SPSS ประมวลผล และแปลความหมายของผลลัพธ์ที่ได้ 6.สรุป และอภิปรายผลว่าสอดคล้องกับทฤษฎี หรือแนวคิดจากบทที่ 2 ในส่วนใด พร้อมทั้งขอเสนอแนะ เป็นต้น
ส่วนราคาเริ่มตั้งแต่ 25,000-500,000 บาท ขึ้นอยู่กับเป็นรายงานประเภทใด และความยากง่ายของรายงาน แต่ถ้าเป็นระดับปริญญาเอก หรือดุษฎีนิพนธ์ ราคาอยู่ที่ 200,000-500,000 บาท โดยผู้ที่นิยมจ้างทำวิทยานิพนธ์ส่วนใหญ่จะเป็น นักธุรกิจ นักการเมือง และข้าราชการ
ปัญหาดังกล่าว ทาง สกอ.หรือแม้แต่มหาวิทยาลัยต่างๆ ก็รับรู้ปัญหาอย่างดี โดยผู้บริหารมหาวิทยาลัยระบุว่า การรับจ้างทำวิทยานิพนธ์ถือเป็น “อาชญากรทางการศึกษา” แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ แม้มหาวิทยาลัยต่างๆ จะพยายามแก้ปัญหาโดยการให้อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์เข้มงวดเรื่องการทำวิทยานิพนธ์ของนิสิตนักศึกษามากขึ้น แต่ดูเหมือนจะไม่สามารถสกัดกั้นปัญหาดังกล่าวไม่ให้ลุกลามไปได้
ส่งผลให้บัณฑิต มหาบัณฑิต และดุษฎีบัณฑิต บางส่วนที่จบออกมา ไม่ได้คุณภาพมาตรฐานอย่างที่ควรจะเป็น
ล่าสุดยังเกิดปัญหาร้องเรียนเกี่ยวกับการโฆษณารับนักศึกษาระดับปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคกลาง ที่ไปตั้งศูนย์การศึกษาอยู่ใน จ.กระบี่ โดยมหาวิทยาลัยแห่งนี้โฆษณารับนักศึกษาปริญญาเอก โดยใช้เวลาเรียน 2 ปี แต่ข้อเท็จจริงแล้วกลับไม่มีการเรียนการสอน เพียงแต่ลงทะเบียน และจ่ายเงิน 600,000 บาท เมื่อใกล้ครบ 2 ปี ค่อยสอบปากเปล่ากับอาจารย์ 4 คน แต่ก่อนสอบจะมีนักการศึกษามาช่วยสอนพูด
กรณีนี้ทำให้รัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ.นายไชยยศ จิรเมธากร สั่งการให้ สกอ.ไปดูแลมหาวิทยาลัยทั้งรัฐ และเอกชน ที่เปิดสอนปริญญาโท และเอก โดยเน้นการค้า ประเภาที่โฆษณาว่า “จ่ายครบ จบแน่” โดยเอาบุคคลที่มีชื่อเสียงไปเรียน และให้ทุนเรียนฟรี โดยจะเปิดสอนปริญญาโทเพียงปีเดียว และเปิดสอนสายสังคมจำนวนมาก เพราะต้นทุนต่ำ
พร้อมทั้ง “ขู่” ให้มหาวิทยาลัยที่เปิดสอนในลักษณะนี้ “ยกเลิก” หรือ “ปิด” หลักสูตรเหล่านั้น ไม่เช่นนั้นจะเสนอรัฐบาลให้ออกกฎเหล็กมาควบคุมการเปิดหลักสูตรของมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อให้เป็นไปตามเกณฑ์ และมีมาตรฐาน ไม่ใช่มุ่งแค่ “การค้า” จนละเลยคุณภาพ หากสถาบันเหล่านั้นยังเพิกเฉย ก็จะใช้มาตรการ “เพิกถอน” ใบอนุญาตจัดตั้ง โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยเอกชน ส่วนมหาวิทยาลัยของรัฐ จะให้ สกอ.เข้าไปตรวจสอบการทำหน้าที่ของสภามหาวิทยาลัยต่างๆ ว่ามี “กรรมการ” คนใดที่เป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยเกินกว่า 2 แห่งหรือไม่ เพราะทำให้ทำงานได้ไม่เต็มที่
นอกจากนี้ นายไชยยศยังมีข้อเสนอเกี่ยวกับมาตรการเพิ่มโทษ “อธิการบดี” หรือ “นายกสภามหาวิทยาลัย” ที่ปล่อยปะละเลยให้สถาบันของตนเองเปิดหลักสูตรประเภท “จ่ายครบ จบแน่” รวมถึง การเปิด “ศูนย์นอกที่ตั้ง” ที่ไม่มีคุณภาพ โดยจะดำเนินคดีอาญา และเงินทุกบาทที่ได้จะต้องนำเข้าเป็นรายได้ของแผ่นดิน ก่อนที่รัฐจะคืนให้ในภายหลัง
ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกันกับที่รัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ.เสนอมาตรการต่างๆ เพื่อสกัดการขยายศูนย์นอกที่ตั้งที่ไม่มีคุณภาพ ที่ขณะนี้แพร่กระจายไปทั่วประเทศนั้น ได้มีมหาวิทยาลัยหลายๆ แห่ง แจ้งเข้าไปยัง สกอ.ว่าได้ทยอย “ปิด” ศูนย์นอกที่ตั้งแล้ว เพราะไม่มีความพร้อม โดยจะเลิกรับนักศึกษาตั้งแต่ปีการศึกษา 2554 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ทั้งนั้น ปัญหาเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบต่อ “คุณภาพ” ของ “อุดมศึกษาไทย” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งในช่วงที่รัฐบาลกำลังเร่งขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง หากกระทรวงศึกษาธิการ และผู้ที่เกี่ยวข้อง ปล่อยปะละเลย ไม่ใส่ใจที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างจริงจัง หรือแก้ปัญหาแบบ “ไฟไหม้ฟาง” ก็จะยิ่งทำให้อุดมศึกษาไทย “ถอยหลังเข้าคลอง” ไม่สามารถแข่งขันกับนานาอารยประเทศได้
ฉะนั้น คงถึงเวลาแล้วที่ผู้เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล กระทรวงศึกษาธิการ ผู้บริหารมหาวิทยาลัยทั้งหลาย ควรจะตระหนักถึงผลเสียที่จะตามมาจากปัญหาการซื้อขายปริญญาบัตรผ่านเว็บไซต์ การรับจ้างทำวิทยานิพนธ์ การเปิดหลักสูตรที่ไม่มีคุณภาพ และการแห่เปิดศูนย์นอกที่ตั้ง รวมถึง ปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย
ก่อนที่ “อุดมศึกษาไทย” ในยุค “ปฏิรูปการศึกษา” จะถดถอยยิ่งไปกว่านี้!!