- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- “ความจริงที่เท่าเทียม”กุญแจไข “โรดแม็ป”ทลายเส้นแบ่งชนชั้น
แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
“ความจริงที่เท่าเทียม”กุญแจไข “โรดแม็ป”ทลายเส้นแบ่งชนชั้น
ย้อนเวลาไปเดือนพฤษภาคม 53 นัยว่าจะเป็นทางออกของความขัดแย้งและสัญญาณหยุดเสียงระเบิดหลังม่านควันไฟ สำหรับกระบวนการสร้างความปรองดองทั้ง5ข้อ (โรดแม็ป) ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ ซึ่งถูกตั้งความหวังจากสังคมทุกทิศทาง
เปรียบไปแทบไม่ต่างอะไรกับขณะนี้ ที่แม้จะแน่ชัดแล้วว่าความเป็นรูปธรรมของแผนผ่าวิกฤติข้างต้นเกิดขึ้นยาก หากแต่เมื่อแผนการช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมซึ่งเป็นแนวทางลำดับถัดมาที่รัฐบาลระบุปรากฎออกไป ความคาดหวังของสังคมจึงถูกตั้งไว้ไม่ต่างจากเดือนที่แล้ว
สำหรับแนวทางเยียวยาฯนั้น สังเขปได้ว่ารัฐบาลได้มอบหมายให้แต่ละกระทรวงกำหนดแนวทางการช่วยเหลือฟื้นฟูฯ ผ่านการเห็นชอบครั้งแรกจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (อ่านรายละเอียดล้อมกรอบ)
นอกจากนี้กลไกของรัฐยังได้ตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชน อาทิ คณะกรรมการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการและลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบ คณะกรรมการอิสระเพื่อเป็นตัวกลางสืบหาข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ทั้งหมด
อย่างไรก็ดี “ตัวแปร” ที่จะทำให้ยุทธศาสตร์ทั้งหมดเกิดขึ้นจริงได้นั้น มิได้จำกัดเพียงที่การกำหนดนโยบายจากรัฐเพียงเท่านั้น เพราะกุญแจดอกสำคัญที่จะทลายกำแพงอุปสรรคสำหรับหนทางเยียวยาประเทศมีมากกว่านั้น
โดยเฉพาะความกว้างของ “ใจ” ที่จะถูกเปิดออก ทั้งจากประชาชนที่สนับสนุนคนเสื้อแดงและตัวรัฐบาลเอง
ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ ตั้งข้อสังเกตว่า การเยียวยาแผลของสังคมที่รัฐบาลกำลังทำอยู่นี้ต้องมิใช่หมายเพียงว่า รัฐบาลจะมอบสวัสดิการเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนทางกายภาพเท่านั้น แต่ต้องมองถึงการฟื้นฟูและความปรองดองในระยะยาว
“แผนปรองดอง 5 ข้อ หรือแผนฟื้นฟูระยะยาวจะสำเร็จได้ นั่นไม่ได้หมายความว่าชาวบ้าน (มวลชน) ที่เคยเข้าร่วมกับกลุ่มเสื้อแดงจะเปลี่ยนไปเมื่อรัฐบาลได้มอบสวัสดิการชดเชย หรือชดเชยด้วยความสะดวกสบายให้ เช่นเดียวกับการปรองดองในระยะยาวด้วยการสร้างความเข้าใจระหว่างมวลชนกับรัฐบาลนั้น ต้องไม่ใช่เพียงแค่การส่งคนเพื่อเดินสายแล้วอ้างว่าจะบอกสิ่งที่ถูกต้องให้ นี่ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องที่จะบอกว่าใครคิดผิดหรือทำผิดเพราะไปเชื่ออีกฝ่าย และพอได้ข้อมูลชุดใหม่หรือสวัสดิการเพิ่มเติมแล้วจะลบล้างข้อมูลเก่าเพื่อทุกอย่างจะจบ เพราะถ้ารัฐบาลคิดเพียงเท่านั้นเท่ากับมองว่าชาวบ้านโง่”
“สถานการณ์ ณ ขณะนี้มันไปไกลกว่านั้นแล้ว อย่าลืมว่าแม้จะไม่ใช่ทั้งหมดแต่คนกลุ่มนั้นเกิดความรู้สึกอะไรบางอย่างที่กดทับพวกเขามานาน มันมีอยู่ในความเป็นจริง ทั้งเรื่องความเป็นธรรมในสังคม ความรู้สึกว่าแตกต่างทางชนชั้น” เขากล่าว
ศิโรตม์ อธิบายว่า ดังนั้นประเด็นสำคัญที่จะบรรเทาความขัดแย้งได้ ไม่พ้นการกระทำของรัฐเองที่จะสร้างความปรองดองให้เป็นรูปธรรม ทำการฟื้นฟูให้เป็นเหมือนที่พูดไว้ ทั้งในเรื่องความเป็นธรรมในระบบต่างๆ การบังคับใช้กฎหมายที่เป็นไปตามหลักนิติรัฐ-นิติธรรมสิทธิเสรีภาพในแต่ละมิติ
“ที่สำคัญรัฐต้องทำลายความแคลงใจของชาวบ้านให้ได้ว่า ในเหตุการณ์การชุมนุมและมีเหตุรุนแรงที่ผ่านมารัฐดำเนินการอย่างโปร่งใสจริงๆ ต้องทำให้เขาเชื่อถือจริงๆ ดีกว่าจะให้เขาหยุดเพราะการมีพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จากนั้นต้องสร้างความรู้สึกให้ได้อีกว่ารัฐบาลนี้เป็นประชาธิปไตยและเป็นรัฐบาลของพวกเขาจริงๆ” ศิโรตม์พูดเสริม
ย้อนไปราวครึ่งเดือน ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหตุผลหนึ่งที่มวลชนคนเสื้อแดงต้องพ่ายแพ้ให้กับรัฐบาลนั้นมีผลพวงมาจาก “ปฏิบัติการกระชับวงล้อม” อันหมายถึงเป็นการพ่ายแพ้ต่อกระสุนปืน-กำลังทหาร แทนการยอมรับและเลิกชุมนุมด้วยความรู้สึกจริงๆ
จึงไม่แปลกเมื่อทันทีที่ยุทธศาสตร์สร้างความปรองดองหรือแผนฟื้นฟูออกมา กลุ่มคนเสื้อแดงที่เปรียบได้ว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายจริงๆ ของแนวทางดังกล่าวจะมองข้ามไป
“รัฐบาลคือศัตรูสั่งฆ่าประชาชน”
“2มาตรฐาน พวกกูทำอะไรก็ผิด”
เหล่านี้ยังคงล่องลอยในความรู้สึกมวลชน
ตัวอย่างเสียงสะท้อนจากกลุ่มคนเสื้อแดง ระดับแกนนำท้องถิ่นรายหนึ่ง ซึ่งเคยระดมมวลชนเข้ามาในพื้นที่กรุงเทพฯ ตลอดการชุมนุมถึงคราวละ500 -1,000 คน อย่าง “ประยงค์” (สงวนนามสกุล) นายกองค์การบริหารส่วนตำบล ใน จ.นครราชสีมา กล่าวยืนยันว่า อย่างไรก็จะไม่ร่วมในแผนปรองดองหรือมาตรการเยียวยาที่รัฐบาลกำหนดออกมา
ประยงค์ มองว่า นโยบายต่างๆที่นายกฯพูดเชื่อถือไม่ได้ เห็นได้จากการกระทำที่ขัดต่อหลักการอย่างสิ้นเชิง อาทิ การไล่ล่าแกนนำระดับหัวแถวรวมถึงสั่งให้ข้าราชการในกระทรวงมหาดไทยจับตาแกนนำท้องถิ่นอย่างไม่หยุดหย่อน พ่วงด้วยพฤติกรรมสูญญากาศกับการดำเนินคดีกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.) ที่ไม่มีทีท่าไปถึงไหน
“การบังคับใช้กฎหมายยังเลือกเฉพาะกลุ่ม ไม่ต่างจากพฤติกรรมใส่ร้าย โจมตีว่าคนเสื้อแดงเป็นผู้ไม่รักสถาบัน ก่อการร้าย เป็นคนชั้นล่างที่ถูกเงินซื้อและจ้างมาร่วมชุมนุม เหล่านี้คือการกระทำของรัฐบาลที่ดูถูกและขัดกับหลักการที่นายกฯพูดทั้งสิ้น หากจะปรองดองจริงขอถามกลับก่อนว่ารัฐบาลทำอะไรเพื่อแสดงความจริงใจอย่างเป็นรูปธรรมบ้าง”
“ประเด็นแรกสุดที่ควรมองก่อน คือความชอบธรรมของนายอภิสิทธิ์ ขั้นแรกสังคมต้องตั้งคำถามก่อนว่า “การกระชับพื้นที่” โดยมีผลลัพธ์ด้วยปริมาณผู้เสียชีวิตจำนวนมากเช่นนี้ นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำประเทศควรทำอย่างไรบ้าง” ประยงค์ตอบพลางตั้งคำถาม
เช่นดียวกับ สิงห์ทอง บัวชุม นักวิชาการเสื้อแดง (เจ้าตัวยอมรับ) ที่กล่าวว่า กระบวนการปรองดองไม่สามารถเกิดขึ้นเลยได้หากรัฐบาลยังมองว่ากลุ่มคนที่คิดต่างเป็นศัตรู
“ประชาชนอาจขานรับการเยียวยา และไม่แสดงอาการที่จะขัดขืนต่อแผนการปรองดอง เพราะมีกฎหมายปิดกั้นพวกเขาอยู่ แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเขายอมรับแนวทางเช่นนี้ ประเด็นหลักของความขัดแย้งในครั้งนี้อยู่ที่กลไกต่างๆ ของระบอบประชาธิปไตยที่ยังเป็นปัญหา ถูกใช้อีกอย่างกับคนกลุ่มหนึ่งแต่ไม่ใช่กับคนอีกกลุ่ม
ขั้นแรกสุดรัฐบาลต้องทำให้เชื่อว่าเรื่องดังกล่าวนี้ไม่เป็นความจริง โดยกระบวนการตรวจสอบความจริงต่อจากนี้ในทุกๆ กลไก อาทิการตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงที่จะดำเนินการอยู่นี้ต้องมีกลุ่มที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาลร่วมด้วย” สิงห์ทองอธิบายผ่านสายโทรศัพท์
ถึงวันนี้ประจักษ์ชัดแล้วว่าผลการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี โดยเฉพาะกรณีนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ในประเด็นการควบคุม-เข้าสลายการชุมนุม แทบไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสำหรับการคลี่คลายความสงสัยของประชาชนมากนัก
หนำซ้ำศึกซักฟอกครั้งล่านี้ ยิ่งตอกย้ำความไม่เป็นเอกภาพของรัฐบาลมากขึ้น ประหนึ่งฉายภาพซ้ำความน่าเบื่อของการเมืองไทย ในสถานการณ์ “รัฐบาลพรรคร่วม”
เช่นเดียวกับเรื่องความปรองดองที่ไม่มีสัญญาณอะไรเป็นชิ้นอัน บนเวทีการเมืองระบบตัวแทน ต่างจากความขัดแย้งของสังคมยังดำรงอยู่เช่นเดิมในลักษณะ “เลือกรับรู้”
ดังนั้นหากเดินหน้าสู่แผนปรองดองและเยียวยาระยะยาวจริง จะไม่เป็นเรื่องของการ “เลือกปรองดอง” หรือไม่
โคทม อารียา ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล อนุกรรมการศึกษาแนวทางความปรองดองและสมานฉันท์ของนายกรัฐมนตรี ส.ว.ยอมรับว่า จะให้การเยียวยาหรือสร้างความปรองดอง เข้าสู่ประชาชนทุกกลุ่มเป็นเรื่องยาก
“แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ ในเมื่อประชาชนยังไม่คล้อยตามกับแนวทาง รัฐบาลจำเป็นที่ต้องเปลี่ยนวิธีการ เช่น การเป็นผู้กำหนดประเด็นเองว่าอยากจะทำเรื่องอะไร “
โคทม อธิบายเพิ่มเติมว่า ถึงวันนี้สิ่งหนึ่งที่ต้องปรับปรุงจากเดิมคือการปรับเปลี่ยนกลไกการทำงาน โดยเปลี่ยนจากเดิมที่รัฐบาลจะเป็นผู้กำหนดวาระทั้งหมดเป็นเพียงผู้สนับสนุน
“ที่ต้องทำคือรัฐจะต้องลดบทบาทลงเป็นหน่วยสนับสนุน โดยมีภาคประชาสังคม ภาคพลเมือง ตลอดจนองค์กรกลางต่างๆ ที่มีความน่าเชื่อถือและสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกับประชาชนในพื้นที่นั่นๆ เป็นผู้ลงมือ”
“ผมมองถึงองค์กรอิสระที่มีอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มหาวิทยาลัย สภาพัฒนาการเมือง สภาองค์กรชุมชน ภาคประชาสังคม เอ็นจีโอกลุ่มต่างๆ หรือภาคส่วนใดที่ประชาชนกลุ่มนั้นๆ ศรัทธา เหล่านี้ต้องดึงเข้ามา อารมณ์ความรู้สึกของผู้ที่จะได้รับการเยียวยาหรือผู้ที่ต้องสร้างความปรองดองให้อาจไม่เหมือนกัน องค์กรกลางเหล่านี้มีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาตั้งใหม่ หากเขาเชื่อใจในส่วนไหนก็ให้เริ่มตรงจุดนั้น”
“นอกจากตัวผู้รับ ในมุมของคนทำงานเองก็เช่นกัน หากจะทำเพราะเป็นหน้าที่ บางคนอาจไม่คล้อยตามและสร้างพฤติกรรมให้ประชาชนบางส่วนรู้สึกเสื่อมศรัทธาอีก ดังนั้นประเด็นเช่นนี้น่าจะเป็นเรื่องของจิตอาสา มองถึงกระบวนการขัดเกลาทางสังคมดีกว่าจะเป็นนโยบายจากรัฐบาลที่ต้องปฏิบัติ” ผอ.ศูนย์สันติวิธีกล่าว
การเดินหน้าเยียวยาซึ่งเปรียบเสมือนการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และการสร้างความปรองดองที่เปรียบกับการแก้ปัญหาระยาวจึงเป็นเรื่องที่มีรายละเอียดมากกว่าคำพูดที่สวยหรู ซ้ำยังเป็นเรื่องยาก ที่ไม่อาจมองข้าม ในทุกด้านและทุกๆ ก้าว
กล่าวคือก่อนจะเดินทางสู่การเยียวยาและปรองดอง เหนืออื่นใดทั้งรัฐบาลและประชาชนทุกฝ่ายต้องปรับ “ทัศนคติ” ตัวเองก่อน ทั้งนี้โดยเฉพาะรัฐบาลในฐานะผู้กุมอำนาจรัฐต้องไม่เลือกปฏิบัติ เพื่อให้ “ไม่มีทั้งอมาตย์และไพร่ในสนามของความปรองดอง”
มิเช่นนั้นผลที่พึงได้รับแทนที่ “การเยียวยา-ฟื้นฟู บนเป้าหมายความปรองดอง” จะเปลี่ยนไป กลายเป็น “ความเกลียดชัง” และเพิ่ม “ระยะห่าง” ระหว่างกลุ่มคนที่เห็นต่างทางการเมืองมากขึ้น หรือเป็นการขีดเส้นแบ่งขั้วสังคมอย่างชัดเจน
ที่สุดแล้วกระบวนการสร้างความปรองดอง-แผนการฟื้นฟู จะกลายเป็นเพียงวาทกรรมที่ลอยเกลื่อนในสังคมไทยแต่รู้กันดีว่าไม่เคยใช้ได้จริง
แผนการช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมที่รัฐบาลกำหนดขึ้นเพื่อลบรอยความเสียหายหลังเหตุการณ์จลาจล 19 พฤษภาคม 53
รัฐบาลได้มอบหมายให้แต่ละกระทรวงกำหนดแนวทางการช่วยเหลือฟื้นฟูฯ ผ่านการเห็นชอบจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อปลายพฤษภาคมที่ผ่านมา ทั้งเฉพาะหน้า (สั้น)-กลาง-ยาว และสามารถระบุขอบข่ายการช่วยเหลือได้เป็น4กลุ่ม ประกอบไปด้วย
1.การฟื้นฟูชุมชนต่างๆ ที่ได้รับความเสียหาย เช่น ชุมชนบ่อนไก่ ดินแดง และพื้นที่อื่นๆที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม
2.การเร่งรัดการบังคับใช้กฎหมายให้เป็นไปตามหลักนิติรัฐ ดำเนินการสืบสวนจำกุมผู้กระทำผิดมาลงโทษเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่กระบวนการยุติธรรม
3.การเร่งรัดเยียวยาทางเศรษฐกิจ โดยการจัดสถานที่ค้าขายให้ผู้ประกอบการ อนุมัติมาตรการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่อง ให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่ได้รับผลกระทบ ฯลฯ
4.การเยียวยาด้านสังคม อาทิ การชดเชยค่าประกันสังคมแก่ผู้ถูกเลิกจ้าง การฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจ ที่เน้นการเฝ้าระวังปัญหาอาการซึมเศร้าอันเกิดจากการสะสมความเครียด การลดความขัดแย้งทางสังคม
นอกจากนี้ยังได้ตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชน อาทิ คณะกรรมการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการและลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง หรือกลไกระบบรัฐสภาอย่างสมาชิกวุฒิสภา ที่ได้มีการตั้ง คณะทำงานเพื่อติดตามสถานการณ์บ้านเมือง ก่อนตั้งอนุกรรมการขึ้นอีก 3 ชุด ได้แก่ อนุกรรมการศึกษาแนวทางความปรองดองและสมานฉันท์ อนุกรรมการติดตามเยียวยา ฟื้นฟูและบังคับใช้กฎหมาย อนุกรรมการศึกษาวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมือง