- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- สมานฉันท์...ฝันไปเถอะ! บทวิพากษ์ 2 นักวิชาการ "นครินทร์-อาทิตย์"
แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
สมานฉันท์...ฝันไปเถอะ! บทวิพากษ์ 2 นักวิชาการ "นครินทร์-อาทิตย์"
ฟังความเห็นของนักวิชาการชื่อดัง และอดีตบุคลากรทางการเมืองคนสำคัญ วิพากษ์แผนปรองดองของรัฐบาลและความพยายามประชาสัมพันธ์ให้สังคมไทยกลับมาสมานฉันท์กันดังเดิม
"สังคมแตกแยกแตกต่างนับวันจะมากขึ้น การจะให้สังคมไทยเป็นเหมือนเดิม บอกได้คำเดียวว่าฝันไปเถอะ" เป็นคำกล่าวของ รศ.ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ รองอธิบการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) และอดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มธ. ที่แสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมา ท่ามกลางการเสนอแผนปรองดองของรัฐบาล และเสียงเรียกร้องจากหลายฝ่ายที่อยากให้สังคมไทยกลับมาสมานฉันท์กันดังเดิม
ในมุมมองของ อาจารย์นครินทร์ เห็นว่าความขัดแย้งในบ้านเราเป็นพลวัตทางสังคมในช่วงเปลี่ยนผ่านจากสังคมไทยแบบเดิมสู่สังคมสมัยใหม่มากกว่า
"สภาวะอย่างหนึ่งของสังคมสมัยใหม่คือความแตกแยก แตกต่าง และขัดแย้งจาก 3 ปัจจัยหลัก คือการเมือง เศรษฐกิจ และศาสนา ฉะนั้นอย่าไปหวังว่าสังคมสมัยใหม่จะเป็นสีเดียวกัน ภาวะที่สังคมมีหลายสีในยุโรปเป็นเรื่องปกติมาก แต่จะบานปลายหรือไม่ขึ้นกับสำนึกของปัจเจกบุคคลและกลุ่มในสังคม สำนึกของความเป็นชาติ และการจัดการทางการเมืองของประเทศนั้นๆ ซึ่งหมายรวมถึงการจัดรูปแบบของรัฐบาล ระบบราชการ พฤติกรรมทางการเมืองของรัฐบาลและระบบราชการที่มีปฏิสัมพันธ์กับสถาบันทางสังคมและเศรษฐกิจต่างๆ"
อาจารย์นครินทร์ ชี้ว่า ปัจจุบันความแตกแยกของสังคมไทยเพิ่งจะเริ่ม และต่อไปจะแตกแยกหนักกว่านี้อีก แนวทางแก้ไขคือการจัดการให้ทุกฝ่าย ทุกสีสามารถอยู่ร่วมกันได้บนความแตกต่าง ไม่ใช่พยายามเปลี่ยนให้ทั้งหมดเป็นสีเดียวกันหรือเป็นหนึ่งเดียว
"นครินทร์"แนะใช้ ปชต.แบบแบ่งปันอำนาจ
อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มธ. ขยายความว่า การอยู่ร่วมกันบนความแตกต่างต้องพูดคุยกันให้ได้ข้อยุติ 6 เรื่องสำคัญ ซึ่งล้วนเป็นเรื่องพื้นฐานทางรัฐศาสตร์ทั้งสิ้น กล่าวคือ
1.รัฐ ในทางวิชาการมีทั้งรัฐเดี่ยว สหพันธรัฐ หรือสมาพันธรัฐ โดยรูปแบบของรัฐสามารถทำให้ความขัดแย้งมากขึ้น คงตัว หรือลดลงก็ได้ สำหรับประเทศไทยนั้นเป็นรัฐเดี่ยว (Unitary state) และรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลาง ฉะนั้นอาจจะต้องมาคุยกันเรื่องกระจายอำนาจให้มากขึ้นและเป็นรูปธรรมขึ้น
2.ชาติ มี 2 ความหมายคือชาติทางวัฒนธรรมกับชาติทางการเมือง โจทย์ที่ต้องคุยกันก็คือความเป็นชาติไทยจะเป็นชาติเฉพาะกลุ่ม คือ "ไทย" เท่านั้น หรือจะเป็นชาติที่รวมคนทุกเชื้อชาติบนแผ่นดินไทยเข้ามาอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
3.รัฐบาลและระบบการเมือง รูปแบบหลักๆ ของประชาธิปไตยในสังคมโลกก็คือระบบประธานาธิบดี กับระบบรัฐสภา ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าระบบรัฐสภาเหมาะสมมากกว่าสำหรับบ้านเมืองที่มีความแตกแยกสูง เพราะมีความยืดหยุ่น สามารถเปลี่ยนรัฐบาล เปลี่ยนนายกฯ หรือยุบสภาเมื่อใดก็ได้
4.ระบบพรรคการเมือง มีทั้งระบบพรรคเดียว สองพรรค และหลายพรรค ซึ่งระบบพรรคเดียวหรือสองพรรคนั้น เหมาะสำหรับสังคมที่มีเอกภาพพอสมควร ฉะนั้นไม่ควรคาดหวังให้ประเทศไทยก้าวไปสู่ระบบการเมืองแบบสองพรรคในอนาคตอันใกล้ เพราะสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งถึงขั้นฆ่ากัน แต่ควรพัฒนาระบบหลายพรรคให้มีคุณภาพมากกว่า
5.ระบบการเลือกตั้ง มีทั้งระบบเสียงข้างมากธรรมดาแบบประเทศไทย ระบบเสียงข้างมากแบบสมบูรณ์ คือต้องได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรหรือผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมดจริงๆ และระบบสัดส่วน ประเด็นนี้เห็นว่า ระบบสัดส่วนเหมาะกับสังคมที่มีความแตกแยกสูง เพราะไม่ห่วงคนชนะ แต่ห่วงคนแพ้
6.ระบบบริหารราชการ ควรจะเป็นระบบแบ่งปันอำนาจอย่างหลากหลาย ไม่ใช่ใช้ผู้ว่าราชการจังหวัดแบบเดียวกันทั้ง 75 จังหวัด และต้องสร้างกระบวนการให้มีการสานเสวนากันเยอะๆ รวมทั้งมีประชาธิปไตยทางตรงบ้างในบางครั้ง เช่น การทำประชามติ เป็นต้น
"ผมเห็นว่าในสังคมที่มีความแตกแยกกันภายในสูง น่าจะใช้ประชาธิปไตยแบบแบ่งปันอำนาจ (Power-sharing democracy) โดยมีลักษณะของสถาบันทางการเมืองคือ ใช้ระบบสองสภาที่มีอำนาจหน้าที่ต่างกัน มีระบบการคานอำนาจกันระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ และกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างเป็นรูปธรรม ใช้การเลือกตั้งระบบสัดส่วนให้ได้ดุลยภาพกับระบบแบ่งเขต มีหลักประกันสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานให้แก่คนกลุ่มน้อย มีระบบประชาธิปไตยทางตรงร่วมด้วย และมีระบบตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ (Judicial review) ที่ดี"
อาทิตย์ : ปรองดองไร้สาระ-ต้องเดินหน้าปฏิรูป
"ปรองดองอะไรไร้สาระ เป้าหมายคืออะไร ให้ 2-3 ฝ่ายมาเกี้ยเซี้ยกัน กอดกัน ยอมๆ กันหรือ ผมว่าเป็นการตั้งโจทย์ผิด เพราะสังคมไทยวันนี้ถึงเวลาต้องปฏิรูปทุกภาคส่วนแล้ว ต้องตอบให้ได้ว่าเราจะปรองดองเพื่อปฏิรูปซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ หรือเราจะปฏิรูปเพื่อปรองดอง" เป็นบทวิพากษ์แบบดุเดือดของ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อดีตประธานรัฐสภา และอดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง ต่อการแถลงแผนปรองดองของรัฐบาล
ดร.อาทิตย์ บอกว่า เป้าหมายของประเทศไทย ณ วันนี้คือประชาชน ต้องร่วมกันปฏิรูปทุกระบบเพื่อสร้างความสุขที่แท้จริงให้กับประชาชน ไม่ใช่มาพูดเรื่องปรองดอง
"ที่ผ่านมาทุกฝ่ายไม่ได้เรื่อง ทั้งพรรคการเมือง รัฐบาล รัฐสภา ระบบราชการ มันจึงเกิดปัญหาแบบทุกวันนี้ หนำซ้ำเมื่อเกิดปัญหาขึ้นแล้วยังมาพูดเรื่องปรองดองอีก ซึ่งเป็นแค่การสร้างฉากหลอกคนเท่านั้นเอง"
ดร.อาทิตย์ ชี้ว่า การจะนำพาบ้านเมืองให้รอดพ้นจากวิกฤติ ต้องเริ่มจากการรักษานิติรัฐ ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด โอบอ้อมอารีย์อาจจะเป็นส่วนหนึ่ง แต่ไม่ใช่การปล่อยให้มี 2-3 มาตรฐาน
"ปัญหาการเมืองผมมองไม่เหมือนคนอื่นนะ ผมเห็นว่าฝ่ายที่ก่อจลาจลแล้วไม่ถูกจับ หรือถูกจับก็ได้ไปอยู่ในที่สบายๆ ในบ้านพักตากอากาศ พวกนี้แหละคือพวกอำมาตย์ ฝ่ายที่อยู่เฉยๆ แล้วถูกกลั่นแกล้งอย่างไม่เป็นธรรมนี่สิเรียกว่าไพร่ อย่างเช่น พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ (ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ) อยู่ๆ ก็ถูกเดินขบวนบุกบ้านและด่าทออย่างไม่เป็นธรรม พล.อ.เปรม จึงเป็นไพร่ในความหมายของผม"
ดร.อาทิตย์ ยังบอกอีกว่า การจัดการเรื่องวุ่นวายในบ้านเมือง ไม่ต้องตั้งคณะกรรมการอิสระให้วุ่นหนักเข้าไปอีก เพียงแต่จัดการตามกระบวนการอย่างโปร่งใส ไม่มีอคติ อะไรถูกก็ว่าไปตามถูก ก็จะยุติความสับสนได้ ที่สำคัญต้องย้อนกลับไปแก้ที่ต้นเหตุ คือความเดือดร้อนของประชาชน
"เราจะไปหวังพึ่งนักการเมืองไม่ได้ เพราะนักการเมืองสร้างปัญหา ฉะนั้นประชาชนในฐานะเจ้าของประเทศต้องปฏิรูปเอง ตั้งกลไกขึ้นมาพิจารณาว่าจะปฏิรูปอะไรบ้าง แล้วฟังความเห็นของคนทั้งประเทศ การเกษตรจะเอาอย่างไร แก้ยากจนจะทำอย่างไร จากนั้นก็ดำเนินการไปตามนั้น รัฐบาลต้องเสียสละปฏิบัติตามความเห็นของคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่แค่พูดคำสวยๆ แต่ไม่ได้ทำอะไร ไม่อย่างนั้นประเทศไปไม่รอด"
ดร.อาทิตย์ ยังเห็นว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันกระทำหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่อาจฝากความหวังได้ เช่น การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งล่าสุด คนหนึ่งด่าอีกคนว่าโกง เวลาปรับ ครม.กลับเอาคนโกงไว้ ส่วนคนที่ด่าว่าโกงถูกปรับออก อย่างนี้ถือว่าไม่มีเหตุผล ฉะนั้นอาจจะต้องใช้รัฐบาลนอกรูปแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมาเป็นผู้นำการปฏิรูป
"รัฐบาลต้องเสียสละให้เกิดกลไกดังกล่าว และต้องไม่รีบจัดการเลือกตั้งเร็วๆ นี้ เราต้องหยุดเลือกตั้งเอาไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นจะเจอนักการเมืองหน้าเดิมๆ แล้วใช้ช่วงเวลาสักช่วงหนึ่งในการปฏิรูปประเทศโดยประชาชนทุกฝ่ายอย่างแท้จริง"