- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- กลเกม “ซ่อนแอบ” ในละครการเมือง ตอน”แก้รัฐธรรมนูญ”
กลเกม “ซ่อนแอบ” ในละครการเมือง ตอน”แก้รัฐธรรมนูญ”
330-156 และ 354-19 ไม่ใช่เลขใบ้หวย
แต่เป็นคะแนนเสียง “รับ-ไม่รับ” หลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ (รธน.) ฉบับที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เสนอต่อรัฐสภา ในมาตรา 93-98 ว่าด้วยเลือกตั้ง และมาตรา 190 ว่าด้วยหนังสือสัญญา ตามลำดับ
เชื่อได้ว่า คนที่ติดตามการประชุมรัฐสภา ตลอดวันที่ 23-25 พ.ย. ที่ผ่านมาคงเพลิดเพลินอยู่ในใจ
เพราะไม่เพียงได้เห็นการปล่อยหมา ปล่อยควาย เพ่นพ่านกันกลางสภา ยังทำให้ได้รู้จักกีฬาชนิดใหม่อย่าง “กาบัดดี้” ที่ทีมสาวไทยได้เหรียญเงินจากการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ครั้งที่ผ่านมา โผล่มากลางปล้องระหว่างที่ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง แห่งพรรคเพื่อไทย (พท.) กำลังร่ายลีลา
คุณูปการของการเดินหน้าแก้รธน.ครั้งนี้ ยังทำให้เห็น “ธาตุแท้” ของคนการเมืองแต่ละกลุ่ม
ธาตุแท้คนพันธุ์การเมือง
ต้องไม่ลืมว่า “การแก้ไขรธน.” ถูกใช้เป็นข้ออ้าง ในการออกมาโค่นล้มรัฐบาล 3 ชุดซ้อน นับแต่รัฐบาลทักษิณ รัฐบาลสมัคร มาจนถึงรัฐบาลสมชาย เพราะคนบางกลุ่มอ้างว่ารัฐบาลเหล่านั้นพยายามแก้ไขรธน.เพื่อตัวเอง
นำไปสู่การชุมนุมยืดเยื้อ 193 วันของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือคนเสื้อเหลือง มีการยึดทำเนียบ ปิดสนามบิน มีคนเจ็บคนตายไม่น้อย ซึ่งมองเห็นเงา ของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อยู่รางๆ ในฐานะยืนอยู่ในแถวเดียวกัน
ทว่าเมื่อถึงคราวตัวเองเป็นรัฐบาล จู่ๆ ปชป.กลับยอมให้แก้ไขดื้อๆ
ท่าทีของแกนนำพันธมิตรฯที่ออกแถลงการณ์ด่ากราด โดยให้ถ้อยคำรุนแรงว่า “เนรคุณ” และท่าทีของส.ส.ปชป.กลุ่มบัญญัติ บรรทัดฐาน ที่วอล์คเอ๊าต์จากการประชุมปชป.ก่อนลงมติว่าจะยอมให้แก้รธน.หรือไม่ ในวันที่ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา จึงเป็นเรื่องเป็นที่เข้าใจได้
แม้ นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ ส.ส.ปชป.รุ่นเดอะ จะอภิปรายว่า รธน.ไม่ใช่พระคัมภีร์ ต้องแก้ไขได้..แต่คำถามก็คือ ทำไมคนปชป.ถึงรู้ตัวช้า เพิ่งมาคิดได้เอาป่านนี้
ที่ พท.ประกาศล่วงหน้า ว่าหนุนร่างแก้ไขรธน.ฉบับหมอเหวงสุดตัว หากถูกคว่ำก็จะวอล์คเอ๊าต์ ก็ไม่มีอะไรซับซ้อน เพระร่างแก้รธน.ฉบับดังกล่าว คนเสื้อแดงเกือบ 1 แสนคนลงชื่อเสนอมา
ขณะที่ตัวแทนกลุ่ม 40 ส.ว.อย่าง นางสาวสุมล สุตะวิริยะวัฒน์ ส.ว.ลพบุรี มีข้อเสนออันน่าตื่นตาตื่นใจว่าควรจะแก้ว่า นายกรัฐมนตรีไม่ต้องมาจากการเลือกตั้งก็ได้ !
ตอกย้ำว่า ส.ว.สายพันธมิตรฯยังชัดเจน กับข้อเสนอมาตรา 7 ที่ให้มีนายกฯคนกลาง
“ความจริงครึ่งหนึ่ง” วาทกรรมปชป.
ความน่าสนใจการแก้รธน.หนนี้ อยู่ที่ “เนื้อหา” และ “ข้ออ้าง” ของนายกรัฐมนตรี รัฐบาล และปชป.ว่าเหตุใด ถึงยอมแก้รธน.เพียง 2 เรื่อง คือมาตรา 190 และเขตเลือกตั้ง
ทั้งๆที่คณะกรรมการแก้รธน.ชุดดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ เสนอมาถึง 6 ประเด็น แปลว่าจริงๆจะไม่แก้ก็ได้? หรือเลือกแก้มาตราอื่นก็ได้ แต่ที่ต้องแก้เขตเลือกตั้ง ให้เป็นเขตเดียวเบอร์เดียว เพราะหวังเอาใจพรรคร่วม? กลัวว่าถ้ายังเป็นเขตใหญ่อยู่ในอีสานก็จะเสียงเชิงให้ทักษิณวันยันค่ำ? หรือกลัวผลการเลือกตั้งซ้ำรอย 23 ธ.ค.2550?
“คำอ้าง” ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ว่าการแก้ 2 ประเด็นนี้ เพราะไม่ต้องการทำให้เกิดความขัดแย้ง ก็ดูจะไม่ค่อยจริงเท่าไร เพราะแค่ในปชป.ก็ทะเลาะกันจนพรรคร้าวแล้ว
“คำอ้าง” ของทั้งปชป.ถึงสาเหตุที่ไม่รับร่างแก้ไขรธน.ฉบับหมอเหวง เพราะจะนิรโทษกรรมคนบางกลุ่ม ก็น่าจะเป็นวิธีการพูดแบบ Double Speech หรือพูดความจริงครึ่งเดียว ที่คนปชป.ถนัดโดยแท้..
เพราะการ “ไม่แก้” ก็เป็นการนิรโทษกรรม ให้กับคนบางกลุ่มเช่นกัน!
“สิ่งซ่อนเร้น” ในร่างหมอเหวง
ตามความจริงการพิจารณาแก้ไขรธน.ปลายพ.ย.ที่ผ่านมา มีร่างแก้ไขรธน.ส่งเข้าประกวด ถึง 4 ร่างด้วยกัน 1.ร่างที่ประชาชน 7.3 หมื่นรายชื่อนำโดยนพ.เหวง โตจิราการ แกนนำคนเสื้อแดง หรือที่เรียกกันง่ายๆว่า “ร่างหมอเหวง” เป็นผู้เสนอ 2.ร่างที่ส.ส.พรรคร่วม 102 คน เป็นผู้เสนอ 3.ร่างที่ครม.เสนอให้แก้มาตรา 190 และ 4.ร่างที่ครม.เสนอให้แก้เรื่องเขตเลือกตั้ง
ทุกร่างมีเนื้อหาตรงกันจุดหนึ่ง คือ แก้เขตเลือกตั้งส.ส.จากเขตใหญ่เรียงเบอร์ กลับไปใช้เขตเดียวเบอร์เดียว
ทว่า ร่างที่มีเนื้อหาสุดโต่งและน่าสนใจที่สุด ได้แก่ร่างแก้ไขรธน.ฉบับหมอเหวง แม้จะเขียนไว้ง่ายๆว่า ให้คงหมวด 1 และหมวด 2 เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ ให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ส่วนที่เหลือให้ยกบทบัญญัติในรธน.ปี 2540 กลับมาทั้งหมด
เนื้อหาท่อนแรก ที่เขียนไว้ให้คงหมวดเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ไว้ ไม่มีอะไรซับซ้อน ก็เพราะพท.และคนเสื้อแดง ถูกคนบางกลุ่ม โจมตีว่า “ไม่จงรักภักดี” มาตลอด ถึงขนาดหลายคนมีชื่อในแผนผังเครือข่ายล้มเจ้า จึงต้องเขียนไว้โต้งๆเพื่อประกาศความ “รักเจ้า”
ส่วนที่ให้บัญญัติว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ก็เป็นเจตนาแฝงของคนกลุ่มหนึ่ง ในขบวนการเสื้อแดง ที่ใหญ่โต มโหฬาร แต่ขาดความเป็นเอกภาพ
ประเด็นที่ทำให้เกิดเสียงคัดค้านมาก น่าจะเป็นท่อนหลังสุด ที่ให้นำบทบัญญัติของรธน.ปี 2540 กลับมาใช้แทนรธน.ปี 2550 ทั้งหมด
แม้จะเป็นการคัดค้านแบบมีนัยยะ เพราะในรธน.ปี 2540 ไม่มีมาตรา 237 และ 309..
เป็นมาตรา 237 ที่ศาลรธน. (ชุดถูกแอบถ่ายคลิป) ใช้วินิจฉัยยุบพรรคพลังประชาชน (พปช.) พร้อมตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค 37 คน จากการกระทำของยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพปช.ขณะนั้น จากข้อหาทำผิดพรบ.เลือกตั้ง (จากหลักฐานสำคัญเป็นคลิปแอบถ่าย ซึ่งตัวผู้กำกับยศพลเอก ก็สารภาพว่าจงใจวางแผนเล่นงานพปช.อยู่แล้ว)
และเป็นมาตรา 309 ที่กำหนดว่า “บรรดาการใดๆที่รับรองไว้ในรธน.แห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2549 ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายและรธน.รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าวไม่ว่าก่อนหรือหลังวันประกาศใช้รธน.นี้ ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรธน.นี้”
แก้รธน.แบบ “ซ่อนแอบ”
นายปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 1 ใน กลุ่ม“5 อาจารย์” เคยเขียนเอาไว้ว่า มาตรา 309 ได้เสกให้ 1.คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (คปค.) 2.ประกาศคปค. และ 3.การปฏิบัติตามคำสั่งและประกาศคปค.ไม่ว่าก่อนหรือหลังประกาศใช้รธน.ปี 2549 ชอบด้วยกฎหมายและรธน. แม้ในความจริงแล้วคำสั่งคปค. ประกาศคปค. และการกระทำเหล่านั้นจะไม่ชอบด้วยกฎหมายและรธน.ก็ตาม
“กรณีมาตรา 309 แม้จะมีเสียงคัดค้านจากสังคมมากเพียงใด คณะกรรมาธิการยกร่างรธน.ก็ไม่ยอมตัดมาตรา 309 ออก อาจกล่าวกันว่าจำเป็นต้องมีบทบัญญัติมาตรา 309 เพื่อป้องกันองค์กรต่างๆ ที่คณะรัฐประหารแต่งตั้งขึ้น เช่น คตส. ป.ป.ช.ให้สามารถดำเนินการต่อไปได้อย่างไม่ต้องกังวลว่าจะถูกเล่นงานภายหลัง”
สิ่งที่นายปิยบุตรไมได้เขียนคือ นอกจากนี้ มาตรา 309 ยังช่วยยืนยันซ้ำมาตรา 37 ของรธน.ฉบับชั่วคราว ปี 2549 ที่นิรโทษกรรมทหารที่ร่วมยึดอำนาจทุกคน ไม่ว่าจะชื่อ พล.อ.สนธิ พล.อ.อนุพงศ์ หรือ พล.อ.ประยุทธ์
ยังทำให้ประกาศคปค.ฉบับที่ 27 ที่กำหนดว่า กรณีที่ศาลรธน.มีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมืองใด เพราะเหตุกระทำต้องห้ามตามพ.ร.บ.พรรคการเมือง 2541 ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคการเมืองนั้น เป็นเวลา 5 ปี มีผลบังคับใช้ต่อไป
ในระบอบประชาธิปไตย การลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง เป็นมาตรฐานขั้นต่ำในการแสดงเจตจำนงของประชาชน แต่การที่ประกาศคปค.ฉบับที่ 27 และรธน.มาตรา 237 ยังไม่ถูกยกเลิก ทำให้การแสดงเจตจำนงของประชาชน มีโอกาสถูกบิดผันได้ทุกเมื่อ เช่นเดียวกับผลการเลือกตั้งวันที่ 23 ธ.ค.2550 ที่พปช.ชนะการเลือกตั้ง ได้คะแนนทั่วประเทศ 12 ล้านเสียง แต่ท้ายสุดกลับถูกศาลรธน.ยุบพรรค เพียงเพราะความผิดของคนๆเดียว
แม้ว่า ดูเผินๆ กฎหมายดังกล่าวจะ “แฟร์ๆ” เพราะใช้กับทุกพรรค แต่ถ้าติดตามมาตั้งแต่ขั้นตอนร่างรธน.ปี 2550 ก็จะรู้กติกาปัจจุบันเขียนเพื่อ “เอาใจช่วย” คนบางกลุ่มเป็นพิเศษ
ระบบเลือกตั้ง ถูกวางให้ล้าหลัง กลับไปใช้ “เขตใหญ่-สัดส่วน” หวังสลายฐานเสียงในภาคเหนือ ภาคอีสานของพรรคการเมืองใหญ่พรรคหนึ่ง
ไม่รวมถึงข้อเท็จจริงว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชุดปัจจุบัน 4 ใน 5 มาจากการแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร ผู้วางบันได 4 ขั้นหวังกำจัด “พรรคทักษิณ” ให้ราบคาบ
จะปฏิรูปการเมืองได้อย่างไร หาก “กติกา” ยังไม่ถูกแก้ ให้ทุกฝ่ายแข่งขันได้อย่างเท่าเทียม
แค่ผู้เล่นคนหนึ่งคนหนึ่งถูกใบแดง แต้ต้องถูกปรับแพ้ทั้งทีม เพียงเพราะกรรมการ “เชื่อได้ว่า” ผู้เล่นคนอื่นมีส่วนรู้เห็นกับการกระทำดังกล่าวด้วย!
นายอภิสิทธิ์เคยให้สัมภาษณ์ช่วงกลางปี 2550 ก่อนทำประชามติรับ-ไม่รับร่างรธน.ปี 2550 ว่า “ถ้ารธน.ไม่มีพื้นฐานหรือมาตรฐานขั้นต่ำของความเป็นประชาธิปไตย มันจะมีเหตุวุ่นวายไม่ก่อน ก็หลังเลือกตั้ง”
มาตรา 237 มาตรา 309 ของรธน.ปี 2550 และประกาศคปค.ฉบับที่ 27 เป็นตัวขัดขวาง “มาตรฐานขั้นต่ำของระบอบประชาธิปไตย” แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะมีคนกล้าลุกขึ้นมาแก้ไข หรือต้องรอให้พท.ถูกยุบรอบสามเสียก่อน…?