- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- รื้อ "องค์กรอิสระ" พลิก "ชีวิตบัดซบ"
รื้อ "องค์กรอิสระ" พลิก "ชีวิตบัดซบ"
“ถ้าพี่เป็นคนเดียว พี่กระโดดน้ำตายไปแล้ว ด่ากันขนาดนี้”
ถ้อยคำที่แสดงถึงความน้อยอกน้อยใจของ “สดศรี สัตยธรรม” กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หญิงเดี่ยว ต่อคำแถลงปิดคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กรณีใช้เงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ของ “ชวน หลีกภัย” ที่ซัดว่ากกต.ถูกแรงกดดันให้เปลี่ยนมติ
บวกกับเสียงเรียกร้องให้ กกต.ลาออกทั้งคณะ รับผิดชอบต่อความบกพร่องทาง “ธุรการ” จนทำให้ศาลรัฐธรรมนูญ (รธน.) ยกคำร้องคดีดังกล่าว ด้วยมติ 4 ต่อ 2
และยกคำร้องคดีขอให้ยุบปชป.กรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาทซ้ำอีก ด้วยมติ 4 ต่อ 3 ช่วงเช้าวันที่ 9 ธ.ค.ที่ผ่านมา
แต่ “วิกฤตศรัทธา” ยังไม่หยุดแค่กกต. เพราะแม้จะทำตัว “เนียน” ไปกับข่าวยุบพรรค แต่สังคมไทยก็ยังรอฟังจากศาลรธน.ว่าเมื่อไรจะหาคำตอบ เรื่องคลิปฉาวไตรภาค โดยเฉพาะตอนโกงข้อสอบ ภายหลัง “นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ” เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ปฏิเสธรับตำแหน่งประธานคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงไปแล้ว
รวมถึง 8 อรหันต์คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่แสร้ง “หูตึง” ไม่ได้ยินเสียงตะโกนถามหาความรับผิดชอบ กรณีปล่อยให้คดีโกงที่ดินอัลไพน์ และคดีอดีตบิ๊กธอส.ปล่อยกู้ไม่ชอบ หมดอายุความ จนคนผิดลอยนวล
วิบากกรรมของ 3 องค์กรอิสระในปี 2553 ไม่ได้เกิดจากปัจจัยภายใน อาทิ ชุ่ย สะเพร่า บกพร่อง เพียงแต่อย่างเดียว แต่ปัจจัยภายนอกก็มีส่วนสำคัญ โดยเฉพาะแรงกดดันจากทุกสี ทุกพรรค (ขอย้ำว่าทุกพรรค!) ให้ผลการตัดสินเป็นไปตามใจตัวเอง
เพราะคนเหล่านั้นรู้ดีว่า “กระบอง” ที่องค์กรอิสระมี สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้
บรรทัดต่อไปนี้.. เป็นส่วนหนึ่งของละครเรื่อง “ชีวิตบัดซบ” ที่นางเอกถูกชายโฉดหลายคนร่วมกันกระทำชำเรา แต่พอตำรวจมาสืบหาคนผิด ต่างคนต่างก็ชี้นิ้วไปว่าอีกฝ่ายว่าเป็นคนกระทำ พร้อมบอกว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด
จนผู้ที่เปรียบตัวเองเป็น “แม่นางเอก” อย่าง “สดศรี” ต้องส่งเสียงคร่ำครวญออกมาว่า
“ใครก็ตามที่เข้าไปแตะการเมืองต้องโดน เพราะมีทั้งผู้ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ คดีการเมืองน่ากลัวกว่าคดีฆ่ากันตาย คดีลักทรัพย์ คดีอะไรต่ออะไร เพราะถือว่าแพ้ไมได้ ฝ่ายเสียประโยชน์ก็ต้องฟ้อง ต้องกดดันให้ออก ถ้าได้ประโยชน์ก็บอกว่า โอ๊ย..ดีมาก ยุติธรรมมาก ศาลยุติธรรมก็เหมือนกัน แต่คู่ความไม่สามารถแตะศาลได้ เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันว่าทำในพระปรมาภิไธย แต่เราไม่มี เราทำในฐานะองค์กรอิสระอันหนึ่ง เป็นเหมือนบุคคลสาธารณะ วิจารณ์ได้ ด่าได้ ขึ้นอยู่กับเราว่าจะทนไหวไหม”1
ฝันสลาย
“องค์กรอิสระ” เป็นองค์กรพิเศษ กึ่งศาลกึ่งการเมือง ที่ผู้ร่างรธน.ปี 2540 ออกแบบมาให้ตรวจสอบฝ่ายบริหาร โดยถูกวางให้มีอิสระ เป็นกลาง ไม่ถูกครอบงำจากรัฐบาล มีกฎหมายของตัวเอง เนื่องจากรธน.ฉบับเดียวกัน ออกแบบให้รัฐบาลเข้มแข็ง จึงต้องมีกลไกตรวจสอบที่เข้มแข็งไปด้วย
เป็นที่มาของ ศาลรธน. ศาลปกครอง ป.ป.ช. กกต. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา และคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ฯลฯ
หลายคนพูดกันเล่นๆ ว่า องค์กรเหล่านี้ เป็นอำนาจที่ 3.5 นอกเหนือจาก 3 อำนาจหลัก คือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ตามทฤษฎีการแบ่งแยกอำนาจของมองเตสกิเออ (Montesquieu)
ทว่า “ความหวัง” ว่าจะมีองค์กรวิเศษมาปราบคอร์รัปชั่น ก็ถูก “ความจริง” กระทืบทำลายอย่างรวดเร็ว
นับแต่คดีซุกหุ้นภาคแรก ในปี 2546 ที่ศาลรธน.ตัดสินให้ “ทักษิณ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีขณะนั้นพ้นผิด ด้วยมติ 8 ต่อ 7 ที่มีการปล่อยข่าวว่ามีตุลาการ 4 คนถูกซื้อ
จากนั้นการทำงานขององค์กรอิสระแต่ละแห่ง ก็มีปัญหาและอุปสรรค และถูกกล่าวหาว่าฝ่ายการเมืองเข้าแทรกแซง แต่ศรัทธาต่อองค์กรวิเศษเหล่านี้มาตกต่ำสุดขีด หลังเกิดกรณี “ขึ้นเงินเดือนตัวเอง” จนป.ป.ช.และศาลรธน.ชุดนั้น ถูกเว้นวรรค-พักงาน
กระทั่ง “ตุลาการภิวัตน์” เริ่มเดินเครื่อง กกต. 3 คน ที่มี พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ เป็นประธาน ก็ถูกตัดสินให้จับคุก จากการจัดคูหาในการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2549
“บรรเจิด สิงคะเนติ” คณบดีนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนศาสตร์ (นิด้า) สรุปว่า “สาเหตุที่องค์กรอิสระตามรธน.ปี 2540 ไม่ว่าศาลรธน. กกต. ป.ป.ช. สตง. มีปัญหา ล้มเหลวหมด เพราะถูกระบบการเมืองที่เข้มแข็ง เข้าไปเจาะ แทรกแซง เตะตัดขา ผ่านกระบวนการสรรหา ทำให้องค์กรเหล่านั้นขาดความเป็นกลาง อิสระ ทำให้ไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองให้พิทักษ์กติกาได้”2
ข้อสรุปของ “บรรเจิด” ตรงกับ 1 ใน 4 ข้ออ้างของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็รประมุข (คปค.) ในการยึดอำนาจ โค่นล้มรัฐบาลทักษิณ พร้อมออกประกาศคปค. ตั้ง 5 เสือกกต. และ 9 อรหันต์ป.ป.ช.ชุดใหม่ และจัดตั้งคณะตุลาการรธน.ขึ้นมาเพื่อมาพิจารณาคดียุบพรรคโดยเฉพาะ
แก้ปัญหาการ “แทรกแซง” องค์กรอิสระ ด้วยการ “ตั้งใหม่” ไปเลย..!?
ขณะเดียวกัน คณะทหารยังได้ตั้งสภาร่างรธน.ขึ้นมาร่างรธน.ฉบับใหม่ โดยรื้อ “ที่มา” องค์กรอิสระทั้งหมด ย้ายบทบาทในการสรรหากรรมการองค์กรอิสระ จากฝ่ายการเมือง ไปที่ฝ่ายตุลาการแทน
วิกฤตรอบสอง?
วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บอกว่า “สูตรสำเร็จ” ของกรรมการสรรหาองค์กรอิสระในรธน.ปี 2550 มี 5 คน คือประธาน 3 ศาล กับประธานสภาผู้แทนราษฎรและผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร พูดง่ายๆ คือ 5 อรหันต์จะมีบทบาทสำคัญมากๆ
“ฉะนั้นบทบาทของศาลฎีกาในรธน.ฉบับนี้จะมีเยอะ พูดง่ายๆ ได้โควตาส่งคนไปเป็นกกต. (กกต. 2 ใน 5 มาจากการเสนอชื่อของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา) แม้แต่วุฒิสภาก็มีตัวแทนของศาลฎีกาเลือก ในส่วนองค์กรอิสระ อำนาจการเลือกคนจะไปอยู่กับฝั่งที่มาจากตุลาการเป็นหลัก โดยเฉพาะประธาน 3 ศาล”
การให้ศาลมีบทบาทในการสรรหาคนในองค์กรอิสระมากขนาดนี้ ทำให้ “วรเจตน์” เตือนไว้ล่วงหน้าว่า ให้ระวัง “วิกฤตการตรวจสอบผู้ตรวจสอบ”3
คำถามที่ตามมาก็คือ ขณะนี้องค์กรอิสระ อิสระจริง หรือถูกครอบงำโดยศาล? เป็นองค์กร หรือแค่แผนกๆหนึ่งของศาลยุติธรรม?
ยกตัวอย่าง การสรรหาตุลาการศาลรธน. ในรธน.ปี 2540 สัดส่วนตุลาการที่มาจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาและศาลปกครองสูงสุด มีเพียง 7 จาก 15 คน ที่เหลือเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ ที่ส.ว.เป็นผู้เลือกขั้นสุดท้าย ดังนั้นตุลาการ “สายตรง” จึงไม่ใช่เสียง “ส่วนใหญ่”
แต่ในรธน.ปี 2550 ตุลาการศาลรธน. 5 จาก 9 คน ส่งตรงมาจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาและศาลปกครองสูงสุด ส่วนผู้ทรงคุณวุฒิด้านนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ อีก 4 คน ก็ยังต้องผ่านคณะกรรมการสรรหา ซึ่งมีจำนวน 5 คน โดยมีประธาน 2 ศาลนั่งอยู่ในนั้นอีก4
อีกคำถามก็คือ แล้วองค์กรอิสระใน “ยุคทักษิณ” กับ “ยุคหลังทักษิณ” (Post-Thaksin) ต่างกันตรงไหน? เพราะนับตั้งแต่ปี 2550 เหตุการณ์แปลกๆ และคำวินิจฉัยประหลาดๆ ก็เกิดขึ้นมากมาย เช่น
ใช้กฎหมายย้อนหลังตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย โดยอ้างว่าหลักการห้ามออกกฎหมายกำหนดโทษย้อนหลัง ใช้กับโทษทางอาญาเท่านั้น ไม่ใช่โทษทางการเมือง (ศาลรธน.)
เปิดพจนานุกรมตีความคำว่า “ลูกจ้าง” แทนการใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพื่อหาช่องทางวินิจฉัยให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากทำรายการอาหารออกทีวี (ศาลรธน.)
วินิจฉัยให้แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา เรื่องปราสาทพระวิหารเป็นโมฆะ เนื่องจาก “อาจจะ” ทำให้เสียดินแดน ทั้งที่รธน.มาตรา 190 ไม่มีคำว่า “อาจจะ” (ศาลรธน.)
ชี้มูลความผิด พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติขณะนั้น โทษฐาน “ไม่สั่ง” ให้ “หยุดสลายม็อบ” เสื้อเหลืองหน้ารัฐสภา 7 ต.ค.2551 หลังไม่พบหลักฐานว่าเจ้าตัว “สั่ง” ให้ “สลายม็อบ” (ป.ป.ช.)
ยึดเก้าอี้ผู้ว่าการต่อไป โดยอ้างประกาศคปค.ทั้งที่ขาดคุณสมบัติอายุครบ 65 ปีบริบูรณ์ไปแล้ว จนรองผู้ว่าการต้องยื่นฟ้องศาลปกครองเพื่อขอให้ขับไล่ออกจากสำนักงาน (สตง.)
ชักเข้าชักออก ในการประชุมวันที่ 17 ธ.ค.2552 ทำความเห็น “ไม่ให้ยุบพรรค” พอที่ประชุมมีมติให้ทำความเห็นใหม่ กลับมาวันที่ 12 เม.ย.2553 กลับทำความเห็นแบบแทงกั๊กว่า “ยุบหรือไม่ก็ได้” เป็นเหตุให้ศาลรธน.ยกคำร้อง เนื่องจากขั้นตอนลงมติไม่ถูกต้อง (กกต.)
ไม่มีใครรู้ว่า เบื้องหลังพฤติกรรมหรือคำวินิจฉัยชวนวิจารณ์ข้างต้นมาจากอะไร ทว่ายิ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ “ความศรัทธา” ต่อองค์กรอิสระเหล่านี้ยิ่งตกต่ำลงเรื่อยๆ
ตราบใดที่ยังอยู่หว่างเขาควาย (Dilemma) ของอำนาจ ให้คุณให้โทษอีกฝ่ายได้ และอยู่ภายใต้รธน.ฉบับนี้ ซึ่งทั้งที่มา เจตนา และเนื้อหาค่อนข้างชัดเจน ว่าต้องการ “ขจัด” คนบางกลุ่มออกจากการเมืองไทย “ชีวิต” ของกรรมการองค์กรอิสระทั้งหลาย ก็น่าจะถูกข่มขู่ กดดัน ก่นด่าแบบนี้ต่อไป
จนกว่าจะทนกันไม่ไหว ยอมลาออกกลับบ้านไปเลี้ยงหลาน
แบ็ค ทู เบสิค
คณิน บุญสุวรรณ อดีตสมาชิกสภาร่างรธน. (ส.ส.ร.) ปี 2540 กล่าวว่า เจตนารมณ์ดั้งเดิมขององค์กรอิสระ คือตั้งขึ้นมาเพื่อตรวจสอบทั้งรัฐบาล ฝ่ายค้าน ข้าราชการประจำ รวมถึงพวกเดียวกันเองด้วย โดยออกแบบให้มีความอิสระ เป็นกลาง และยึดโยงกับประชาชน เพื่อจะได้ทำงาน-ตีความกฎหมาย-วินิจฉัยสารพัดคดีเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม
“องค์กรอิสระตามรธน.ปี 2540 แม้จะยึดโยงกับประชาชนระดับหนึ่ง เพราะผ่านการคัดเลือกจากส.ว.ที่สมัยนั้นเลือกตั้งมา 100% แต่ก็ทำให้เกิดปัญหา ฝ่ายการเมืองเข้าแทรก มีการวิ่งโชว์ตัว ขอคะแนน จนทำให้ความเป็นอิสระเสียไป และการวางสเปคคนที่จะมาเป็นองค์กรอิสระไว้สูง ทำให้ได้แต่อดีตศาล หรือข้าราชการแก่ๆ”
“ส่วนองค์กรอิสระตามรธน.ปี 2550 ชัดเจนว่า ถูกออกแบบมาให้ทำลายฝ่ายตรงข้ามคณะรัฐประหาร คือฝ่ายอำนาจเก่า มีการดึงศาลเข้ามามาก ทำให้ขาดความยึดโยงกับประชาชน จนลืมคิดถึงประโยชน์ของส่วนรวม กลายเป็นว่า แทนที่จะแก้ปัญหาเดิม กลับเพิ่มปัญหาใหม่เข้าไปอีก”
อดีต ส.ส.ร.รายนี้ ชี้ว่า วิธีเดียวที่จะแก้ปัญหาองค์กรอิสระเวลานี้ คือต้องแก้ไขรธน.2550 ให้ที่มา วิธีการสรรหา ให้ยึดโยง-รับผิดชอบต่อประชาชนให้ได้ ลดบทบาทศาล-ข้าราชการ เปิดโอกาสให้เอ็นจีโอ นักวิชาการ ชาวบ้านเข้ามีส่วนร่วม และที่สำคัญ ต้องโละ-เลิกบทเฉพาะกาล ต่ออายุองค์กรอิสระ ที่มีที่มาจากคณะรัฐประหาร โดยเฉพาะมาตรา 309 ที่นิรโทษกรรมให้กับบุคคลเหล่านั้น ว่าทำอะไรก็ไม่ผิด
“ต้องแก้ไขรธน. ให้ที่มา อำนาจ และหน้าที่ขององค์กรอิสระ รับใช้ส่วนร่วมจริงๆ ไม่ใช่รับใช้คนบางกลุ่ม ไม่เช่นนั้น อาจจะเกิดวิกฤตศรัทธา จนกลายเป็นกลียุคทางการเมือง”
เป็นข้อเสนอแบบ “แบ็ค ทู เบสิค” กลับไปแก้ปัญหายังต้นเหตุจาก หนึ่งในหมอตำแย-ผู้ทำคลอด “องค์กรอิสระ”5
อ้างอิง
1.“ชีวิตบัดซบของ 5 อรหันต์ บทละครโดย สดศรี สัตยธรรม” สัมภาษณ์พิเศษ หน้า 11 มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 6 ธ.ค.2553.
2. thaireform.in.th/news-political/1319-2010-06-13-10-30-38.html?fontstyle=f-larger
3.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ “จุดไฟในสายลม” หน้า 137-138.
4.เปรียบเทียบระหว่างบทบัญญัติในรธน.ปี 2540 มาตรา 255-270 กับรธน.ปี 2550 มาตรา 204-217
5.สัมภาษณ์ คณิน บุญสุวรรณ ในวันที่ 9 ธ.ค.2553 หลังทราบผลว่าศาลรธน.ยกคำร้องคดียุบปชป.กรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาท