- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ ...มหากาพย์สาธารณสุขที่ต้องจับตามอง
พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ ...มหากาพย์สาธารณสุขที่ต้องจับตามอง
เป็นเวลานานตลอดเดือนสิงหาคม 2553 มาแล้ว ที่สังคมไทยยังอึมครึมกับการหาทางออกในร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ.... เพราะนับตั้งแต่ร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวถูกบรรจุเข้าสู่วาระการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรเมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา แต่จนถึงขณะนี้แม้แต่วาระที่ 1 ก็ยังไม่มีการหยิบยกขึ้นมาพิจารณาใดๆ รู้แต่เพียงว่าได้ถูกบรรจุไว้ในวาระที่ 27 เท่านั้น ซึ่งเหลืออีกเพียงไม่กี่เดือนก็จะหมดสมัยประชุม
ในทางกลับกันร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ยังถูกกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขจากทั่วประเทศเคลื่อนไหวคัดค้านอย่างหนัก เนื่องจากหวั่นเกรงว่าร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้จะสร้างความไม่เป็นธรรมให้แก่กลุ่มผู้ที่ปฎิบัติงานอยู่ในวิชาชีพแพทย์และสาธารณสุข
เยียวยาผู้เสียหายยังไม่ถ้วนหน้า
หากย้อนกลับไปดูต้นสายปลายเหตุของการที่ต้องมีร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ จะพบว่าในอดีตก่อนมี พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เมื่อผู้ป่วยได้รับความเสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข และไม่ได้รับความช่วยเหลือจากแพทย์หรือสถานพยาบาล มักจะต้องก้มหน้าก้มตารับสภาพ แต่ก็มีอีกจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นส่วนที่น้อยมากที่หันไปพึ่งศาล โดยใช้วิธีฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย แต่กระบวนการเหล่านั้นช่างยากลำบาก เพราะต้องใช้เวลาพิสูจน์ความถูก-ผิด ไม่ทันต่อการให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยและครอบครัวที่ได้รับความเสียหาย
ดังนั้นเมื่อมี พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ในมาตรา 41 จึงกำหนดให้มีการกันเงินงบประมาณไม่เกินร้อยละ 1 ของงบฯทั้งหมดในกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อใช้ในการช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้ป่วยบัตรทองที่ได้รับความเสียหายจากการรักษาพยาบาล ซึ่งเริ่มบังคับใช้อย่างจริงจังในปี 2546 หลังจากพบว่ามีการฟ้องร้องแพทย์และสถานบริการสาธารณสุขเพิ่มมากขึ้น โดยเงินดังกล่าวสามารถช่วยเหลือผู้ได้รับความเสียหายได้มาก แถมยังช่วยลดการฟ้องร้อง และเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสถานบริการกับผู้ป่วยและญาติ
นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) บอกว่า ปัจจุบันมีเงินที่ถูกกันไว้ทั้งสิ้น 336,145,300 บาท และจ่ายให้ผู้เสียหายไปแล้วทั้งสิ้น 296,466,183 บาท สำหรับในปีงบประมาณ 2554 มีแนวโน้มว่าผู้ใช้บริการจะยื่นคำร้องมากขึ้น คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจึงมีมติกันเงินส่วนนี้เพิ่มขึ้น โดยอนุมัติให้กันงบรายหัวสำหรับช่วยเหลือเบื้องต้นผู้รับบริการตามมาตรา 41 จำนวน 2.68 บาทต่อหัวประชากร คิดเป็นเงิน 125 ล้านบาท
นพ.ประทีป ได้สรุปไว้ว่า จากสถิติผู้ป่วยที่เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข ไม่ว่าจะอยู่ในขั้นบาดเจ็บ ทุพลภาพ หรือเสียชีวิต ที่ได้รับการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นตามมาตรา 41 มีเพิ่มขึ้นเกือบ 10 เท่า ภายใน 6 ปี คือ จาก 73 ราย ในปี 2547 เป็น 660 ราย ในปี 2552 รวมมีผู้ได้รับการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นไปแล้วถึงเดือนพฤษภาคม 2553 จำนวน 3,284 ราย ในจำนวนนี้กว่าครึ่ง หรือประมาณ 1,496 ราย ได้รับความเสียหายถึงขั้นเสียชีวิต แต่เมื่อเจาะลึกในรายละเอียดประเภทของผู้ป่วยที่ได้รับความเสียหาย แบ่งเป็น กุมารเวชกรรม อายุรกรรม ศัลยกรรม สูตินรีเวชกรรม และอื่นๆ พบว่าผู้ป่วยสูตินรีเวชกรรม (คลอดบุตร) มีสัดส่วนได้รับความเสียหายในกระบวนการรักษาพยาบาลมากที่สุด คือ 1,243 ราย ในจำนวนนี้ได้รับความเสียหายถึงขั้นเสียชีวิตถึง 617 ราย
อย่างไรก็ดี ในการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นให้แก่ผู้ได้รับความเสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขนั้น จนถึงขณะนี้ครอบคลุมเฉพาะกลุ่มผู้ใช้บัตรทองประมาณ 47 ล้านคนเท่านั้น แต่ยังมีประชาชนอีกประมาณ 16 ล้านคน ทั้งจากระบบประกันสังคม และระบบสวัสดิการข้าราชการ ที่ยังไม่มีระบบเยียวยาใดๆ รองรับ ซึ่งเมื่อเกิดปัญหาขึ้น แพทย์หรือสถานพยาบาลนั้นๆ จะต้องเป็นผู้แบกรับความเสี่ยงจ่ายค่าเสียหาย หรือจ่ายค่าช่วยเหลือเบื้องต้น ซึ่งยิ่งทำให้ความขัดแย้งระหว่างแพทย์และผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น เห็นได้จากสถิติการฟ้องร้องในคดีแพ่งในช่วงปี 2539-2551 ที่มีมากถึง 76 คดี และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปีในปัจจุบัน
ระดมไอเดียอุดช่องโหว่
จากเหตุผลนี้จึงเป็นที่มาของการ ยกร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ ซึ่งล่าสุดมีมากถึง 6 ฉบับ ที่ยังค้างเติ่งอยู่ในสภาฯ แต่ในจำนวนร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ ทั้งหมด เห็นจะมีเพียงฉบับร่างของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เท่านั้นที่ค่อนข้างดูมีเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์กับผู้เสียหายมากที่สุด เพราะมีการระดมสมองผู้แทนจาก สธ. แพทยสภา นักวิชาการ ตันแทนผู้เสียหาย องค์กรผู้บริโภค และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมยกร่างขึ้นภายใต้หลักการสำคัญ 3 ประการ คือ
1.การชดเชยความเสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขโดยไม่ต้องพิสูจน์ถูก-ผิด 2.ลดการฟ้องร้องระหว่างแพทย์และผู้ป่วย 3.นำความเสียหายที่เกิดขึ้นปรับปรุงระบบบริการสาธารณสุข อีกทั้งก่อนที่ สธ.จะเสนอเข้าสู่สภาฯ ได้มีการปรับปรุงและจัดรับฟังความคิดเห็นจากแพทยสภา และผู้ประกอบวิชาชีพ อีกทั้งผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว แต่ไม่น่าเชื่อว่าร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ ที่ค่อนข้างสมบูรณ์ที่สุด ณ ขณะนี้จะถูกกลุ่มแพทย์และบุคลากรสาธารณสุขแสดงความคิดเห็นต่าง และยืนหยัดคัดค้านมาได้ยาวนาน
หากพิจารณาข้อดีของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ พบว่า 1.ทำให้ประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากการรับบริการทางการแพทย์ ได้รับความช่วยเหลืออย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องพิสูจน์ถูก-ผิด ลดปัญหาความไม่พอใจที่อาจนำไปสู่การฟ้องร้อง 2.มีกองทุนอย่างชัดเจนเพื่อชดเชยค่าเสียหายให้กับประชาชน โดยมีรัฐบาลและสถานพยาบาลร่วมจ่ายเงินกองทุน 3.ลดกระบวนการฟ้องร้อง 4.ส่งเสริมให้มีการเจรจาไกล่เกลี่ยสร้างสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้รับบริการและผู้ให้บริการสาธารณสุข
5.เป็นการควบคุมความผิดพลาดทางการแพทย์ เพราะสถานพยาบาลจะต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุน หากมีการให้บริการผิดพลาดและมีอัตราการใช้กองทุนสูง 6.ครอบคลุมผู้รับบริการในทุกระบบ เนื่องจากที่ผ่านมาการเยียวยาผู้เสียหายทางการแพทย์ มีเฉพาะผู้รับบริการบัตรทอง ตามมาตรา 41 พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เท่านั้น
มูลค่าความเสียหาย-ปัญหาคาใจ
ในทางกลับกันร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ ฉบับนี้ ก็ยังมีข้อเสียที่ยังหาทางออกไม่ได้ คือ 1.การที่ไม่ต้องพิสูจน์ถูก-ผิด อาจส่งผลให้ประชาชนแห่รับบริการจำนวนมาก 2.ไม่มีการกำหนดเพดานของค่าเสียหาย ที่จะทำให้กระทบต่อกองทุน ซึ่งหมายถึงรัฐบาลและสถานพยาบาลสร้างภาระให้กับประชาชน เพราะจะต้องใช้เงินจำนวนมากตั้งกองทุน ส่งผลให้สถานพยาบาลอาจจะต้องเรียกเก็บเงินจากผู้รับบริการเพิ่มเติม เพื่อนำไปใช้ในกองทุน 3.ไม่มีหลักเกณฑ์ป้องกันการเรียกเก็บค่าเสียหายจากกระบวนการทางแพ่งและอาญา แม้ว่าจะได้รับการชดเชยไปแล้วก็ตาม
4.การจัดตั้งคณะกรรมการดูแลกองทุนมีสัดส่วนของแพทย์น้อยเกินไป และต่างจากมาตรา 41 ที่มีคณะกรรมการร่วมในทุกจังหวัด ซึ่งทำให้การพิจารณาหลักเกณฑ์อาจไม่ครอบคลุม 5.อาจเกิดกรณีปฎิเสธการรักษาและใช้วิธีการส่งต่อผู้ป่วย ทำให้เกิดการกระจุกตัวของผู้ป่วยในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ๆ ซึ่งปัจจุบันมีปัญหามากอยู่แล้ว 6.ข้อเท็จจริงสามารถขยายเพิ่มเติมจากมาตรา 41 พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ดูแลผู้มีสิทธิบัตรทองอย่างเดียว เป็นขยายไปยังผู้ประกันตนและสวัสดิการข้าราชการ เนื่องจากใน พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ระบุชัดให้ดูแลคนไทยทุกคน
จนถึงวินาทีนี้ จุดลงตัวของร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ ก็ยังคงไร้วี่แวว เพราะยังมีความเห็นต่างทางความคิดของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในแต่ละฝ่าย อย่างเช่น คณะทำงานด้านการแพทย์และสาธารณสุข 80 องค์กร เสนอให้ชะลอการพิจารณาในสภาฯ และแต่งตั้งคณะทำงาน 9 คณะ ประกอบด้วย 1.แพทยสภา/ภาคีสหวิชาชีพ 2.โรงเรียนแพทย์/มหาวิทยาลัย 3.กรุงเทพมหานคร 4.กรมแพทย์ 4 เหล่าทัพ 5.แพทยสมาคม/โรงพยาบาลเอกชน/คลินิก 6.สมาพันธ์โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป (รพศ./รพท.) 7.คณะทำงานปกป้องประชาชนด้านสาธารณสุข (คปส.) และภาคประชาชน 8.สมาพันธ์ผู้ประกอบวิชาชีพ และ 9.ผู้แทนผู้ตรวจราชการ สธ. จัดทำประชาพิจารณ์ให้ความรู้ในกลุ่มประชาชน แพทย์ และบุคลากรสาธารณสุขทั่วประเทศ คาดว่าใช้เวลา 1 เดือน เพื่อหาข้อสรุปเสนอ ปลัด สธ.
กลุ่มแพทย์ส่งร่างพ.ร.บ.ฯใหม่ประกบ
ขณะที่ฟากสหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย (สผพท.) ซึ่งร่วมกับองค์กรด้านการแพทย์ต่างๆ อาทิ สหวิชาชีพ 6 สาขา แพทย์สังกัด กทม. แพทย์ 4 เหล่าทัพ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยต่างๆ สมาพันธ์แพทย์ รพศ./รพท. แพทยสมาคม สมาคมแพทย์คลินิกแห่งประเทศไทย ดำเนินการล่ารายชื่อแพทย์ บุคลากรสาธารณสุข และประชาชน 10,000 รายชื่อ เตรียมเสนอร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบจากระบบบริการสาธารณสุข พ.ศ.... ฉบับของ นพ.เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ ประสาทศัลยศาสตร์ รพ.ราชวิถี ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร บรรจุเข้าวาระเพื่อพิจารณาประกบกับร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ
โดยให้เหตุผลว่าร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบฯ เป็นฉบับผู้ปฏิบัติงานและประชาชนที่เน้นคุ้มครองทั้งผู้ให้และผู้รับบริการสาธารณสุขอย่างสมดุล ซึ่งเป็นไปตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 80 (2) ที่กำหนดว่าผู้มีหน้าที่ให้บริการสาธารณสุข ซึ่งได้ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรฐานวิชาชีพและจริยธรรม ย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย
สำหรับเนื้อหาหลักที่แตกต่างจากร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ อาทิ 1.ให้การคุ้มครองผู้ที่ได้รับผลกระทบจากระบบบริการสาธารณสุขทั้งผู้รับและผู้ให้บริการสาธารณสุข 2.แหล่งที่มาของเงินของกองทุนคุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบจากระบบบริการสาธารณสุข รัฐจะต้องสนับสนุนโดยจะไม่เรียกเก็บจากสถานบริการ และ 3.สัดส่วนคณะกรรมการ ต้องมีผู้แทนสหวิชาชีพ 6 สาขา ร่วมด้วย
จุดยืนสุดท้ายฝ่ายภาคประชาชน
สุดท้ายฝ่ายภาคประชาชน ซึ่งประกอบด้วย มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิด้านเอดส์ เครือข่ายผู้ได้รับความเสียหายทางการแพทย์ และภาคีต่างๆ ก็มีฉันทามติร่วมกันว่า 1.ให้จ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นตามความเหมาะสมในแต่ละกรณี แต่ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป 2.สัดส่วนคณะกรรมการต้องมีจากภาคประชาชนและแพทย์เท่ากัน
3.ให้ระบบประกันสังคมและสวัสดิการข้าราชการจ่ายสมทบเข้ากองทุนตามมาตรา 41 และให้โรงพยาบาลเอกชนร่วมจ่ายเบี้ยในลักษณะของการซื้อประกัน แต่หากมีการพัฒนาจนลดการร้องเรียนสามารถลดการจ่ายเบี้ยประกันได้ 4.มีกระบวนการไกล่เกลี่ยได้ แต่ต้องไม่ใช่เป็นการเกลี้ยกล่อมหรือต่อรอง และ 5.ควรพัฒนาแพทย์โดยเฉพาะเพทย์เฉพาะทาง และบุคลากรทางการแพทย์ให้เพียงพอ และขยายเวลาการให้บริการของสถานพยาบาล
แนวทางและข้อเสนอจากทั้ง 3 ฝ่ายนี้ คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ สธ.ที่จะนำมาเขย่าใหม่เพื่อให้ได้จุดร่วมที่ลงตัว แต่ทุกกระบวนการจะทันกับการพิจารณาของสภาฯ ในวาระ 1,2 และ 3 หรือไม่นั้น คงต้องลุ้นกันต่อไป