- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- ฮ้อยใจ ฮอมผญา ฮ่ายภูมิปัญญา สู่ระบบดูแลสุขภาพท้องถิ่น
ฮ้อยใจ ฮอมผญา ฮ่ายภูมิปัญญา สู่ระบบดูแลสุขภาพท้องถิ่น
ระบบดูแลสุขภาพด้วยภูมิปัญญาพื้นบ้านถูกละเลยมานาน จึงน่ายินดีที่กระทรวงสาธารณสุขออกมาประกาศนโยบายตั้งโรงพยาบาลแพทย์แผนไทย 4 ภาคต่อยอดในพื้นที่ต้นแบบที่เชียงราย สกลนคร ปราจีนบุรี และสุราษฎร์ธานีหรือชุมพร โต๊ะข่าวเพื่อชุมชนพาไปพบรูปธรรมดีๆในภาคเหนือ
“เราได้ยินแต่สุขภาพเป็นหน้าที่โรงพยาบาล หมอ พยาบาล หลังๆมี อบต. แต่ไม่ได้มองหมอพื้นบ้านในชุมชนและเรียกอย่างน่าแสลงใจว่าหมอเถื่อน ภูมิปัญญาเหล่านี้สามารถเอามาขัดเกลาใช้ประโยชน์รักษาผู้ป่วยในชุมชนได้ แต่ถ้าไม่มีการสนับสนุน องค์ความรู้เหล่านี้ก็จะหายไป”
ท่ามกลางคำกล่าวที่สะท้อนใจถึงระบบดูแลสุขภาพท้องถิ่นซึ่งถูกละเลยมานานของ สนั่น เนตรสุวรรณ เลขาธิการสภาหมอเมืองล้านนาเชียงราย ยังมีรูปธรรมที่น่ายินดีคือการรวมตัวของเครือข่ายหมอเมืองภาคเหนือตอนบน, ระบบสุขภาพชุมชนที่วัดห้วยเกี๋ยน และการบูรณาการภูมิปัญญาพื้นบ้านในโรงพยาบาลแม่ลาว
กำกึ๊ดคนเยี้ยะก๋าน : เครือข่ายหมอเมืองล้านนา
เครือข่ายหมอเมือง 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน เกิดจากกลุ่มคนที่ตระหนักถึงคุณค่าภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ดูแลสุขภาพของคนล้าน นามาช้านาน จึงรวมตัวกันเพื่อสืบสานฟื้นฟูพัฒนาองค์ความรู้และศักยภาพหมอเมืองให้ได้รับ การยอมรับและสามารถเชื่อมต่อกับระบบสุขภาพในปัจจุบัน นำไปสู่การประยุกต์ใช้ในการจัดการระบบสุขภาพท้องถิ่นได้อย่างแพร่หลาย
“เราทำงานบนสถานการณ์แพร่ระบาดเอดส์ภาคเหนือช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดการเชื่อมโยงคนทำงาน รวบรวมองค์ความรู้ เชื่อมร้อยเป็นเครือข่ายหมอเมืองภาคเหนือตอนบน 8 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ แพร่ ลำปาง น่าน พะเยา ลำพูน แม่ฮ่องสอน”
วิโรจน์ กันทาสุข ผู้ประสานงานเครือข่ายฯ เล่าความเป็นมาที่เริ่มจากการนำองค์ความรู้และหมอพื้นบ้านไปช่วยบำบัดเยียว ยาผู้ติดเชื้อ จนขยายมาเป็นครือข่ายการดูแลสุขภาพด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น และการก่อตัวของเครือข่ายหมอเมืองจากระดับตำบล อำเภอ จนกลายเป็นภาคเหนือตอนบน มีการเปิดเวทีแลกเปลี่ยน ศึกษาดูงาน ฟื้นฟูองค์ความรู้ และสรุปบทเรียนร่วมกัน
เกิดโครงการข่วงผญา : ฮ่าย ฮ้อย ฮอม ผญา หมอเมืองล้านนา เริ่มจากเชียงใหม่แล้วหมุนเวียนไปใน 8 จังหวัด ในลักษณะคาราวานหมอเมืองเคลื่อนที่ 2 วัน เป็นเวทีแลกเปลี่ยนภูมิปัญญาระหว่างหมอเมือง และสาธิตให้บริการถ่ายทอดความรู้แก่ผู้ที่สนใจ ทำให้ผู้คนได้สัมผัสตัวตนและวิธีคิดของหมอเมืองตลอดจนเห็นความสำคัญของการ ดูแลสุขภาพด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น
ห้วยเกี๋ยน : ยกโรงพยาบาลมาไว้ที่วัด
ด้วยความคิดที่ว่าหน้าที่ของพระสงฆ์มิใช่เพียงการเทศน์ธรรมสั่งสอนอยู่แต่ในวัด ยังรวมถึงสาธารณะสงเคราะห์ ร่วมสิบปีแล้วที่พระครูธรรมานุสิฐ เจ้าอาวาสวัดห้วยเกี๋ยง ต.หนองหาร อ.สันทราย เชียงใหม่ บูรณาการสุขภาวะชุมชนเข้ามาอยู่ที่วัดแห่งนี้และกลายเป็นต้นแบบการเชื่อมต่อ ระหว่างภูมิปัญญาท้องถิ่นกับสถานพยาบาลของรัฐ สร้างสรรค์ระบบสุขภาพชุมชน
“ที่วัดมีคนเข้ามาตลอดอยู่แล้ว ปรึกษาสารพัดเรื่อง แต่งงาน บวช ธุรกิจ ตุ๊ลุงเลยคิดจะช่วยชุมชน ให้ชาวบ้านไปอบรมนวดแล้วใช้สถานที่วัดเปิดบริการเป็นรายได้ให้เขา ว่างจากลูกค้าก็ให้เอางานฝีมือชุมชน เช่น ทอผ้า เกมส์ไม้ มาทำขายได้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องสอนคนอื่นฟรี”
นอกจากกิจกรรมนวดแผนโบราณ, ศูนย์ฝึกและส่งเสริมอาชีพชุมชน พระครูยังได้บูรณาการความร่วมมือกับโรงพยาบาลอำเภอสันทราย เปิดเป็นศูนย์ฟื้นฟูผู้ป่วยอัมพฤกษ์อัมพาตขึ้นในวัด
“ผอ.บอกว่าเราต้องทำงานเชิงรุกแก้ปัญหาสุขภาพให้สอดคล้องกับความต้อง การชาวบ้าน จึงจัดหน่วยพยาบาลเคลื่อนที่ลงชุมชนและร่วมมือกับทางวัดห้วยเกี๋ยน ส่งบุคลากรมาประจำที่วัด”
เครือวัลย์ สนธิคุณ นักวิชาการสาธารณสุข โรงพยาบาลสันทราย บอกว่า ศูนย์ฟื้นฟูผู้ป่วยฯ มีกิจกรรมบำบัดควบคู่ไปกับการบำบัดฟื้นฟูกาย ยังนำเอาผลิตภัณฑ์ไม้โอทอปชุมชนมาพัฒนาเป็นอุปกรณ์ช่วยเหลือคนพิการ ปัจจุบันที่ห้วยเกี๋ยนมีบุคลากรสุขภาพ 20 กว่าคน เป็นเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล 4 อาสาสมัคร 8 หมอนวดชาวบ้าน 12 แต่ละเดือนมีคนมาใช้บริการนวดเกือบ 400 คน และในรอบ 2 ปีที่ผ่านมามีผู้ป่วยจากทั่วประเทศมาบำบัดฟื้นฟูจนช่วยเหลือตัวเองได้กว่า 170 ราย
ล่าสุดยังมีความคิดที่จะพัฒนาระบบสุขภาพชุมชนที่วัดห้วยเกี๋ยนเป็นศูนย์ฝึกอบรมที่จะขยายแนวคิดแนวทางดีดีนี้ไปยังพื้นที่อื่นๆอีกด้วย
เลือกหมอแผนใหม่หรือแผนไทยได้ที่โรงพยาบาลแม่ลาว
ทุกวันพฤหัสที่โรงพยาบาลอำเภอแม่ลาว จ.เชียงราย หมอ พื้นบ้านจะเข้ามาเช็ดแฮก ตอกเส้น ย่ำขาง ดูแลผู้ป่วยที่พิการและผูกข้อมือเรียกขวัญคนไข้อาการหนัก มีสะล้อซอซึงขับกล่อม เป็นกิจกรรมจิตอาสาที่พวกเขาบอกว่าคนไข้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนในชุมชนจึงอยากจะ ช่วย
ด้วยความคิดที่ว่าโรงพยาบาล 30 เตียง แพทย์ 2 คน เจ้าหน้าที่ 120 คน ไม่สามารถดูแลประชากร 3 หมื่นในพื้นที่ได้ทั่วถึง ในปี 2545 จึงบูรณาการภูมิปัญญาสุขภาพพื้นบ้านเข้ากับการแพทย์แผนปัจจุบัน เปิดให้บริการแพทย์แผนไทยเป็นอีกทางเลือกให้ผู้ป่วย
“ช่วงนั้นรัฐให้สำรวจหมอพื้นบ้าน เรามีสภาหมอเมืองเชียงรายมา ช่วยพบว่ามีกว่า 300 คนในแม่ลาว ผอ.บอกว่าให้ดึงคนเหล่านี้ซึ่งเป็นภูมิปัญญาการดูแลสุขภาพชุมชนมามีส่วน ร่วม.. ม.ราชภัฏเชียงรายทำเรื่องหลักสูตรหมอพื้นบ้านอยู่โ เราก็เอาพ่อหมอแม่หมอไปเรียนเสริมองค์ความรู้และมีใบรับรองไม่ให้มีใครว่าหมอเถื่อน ได้แนวร่วมมา 10 กว่าคนที่ ต.จอมบ่อแก้ว..”
ทรงกต เผ่าสิงห์แก้ว นักเวชกรรมฟื้นฟู โรงพยาบาลแม่ลาว เล่าว่าเริ่มจากการแพทย์ผสมผสาน เอานักกิจกรรมบำบัด กายภาพบำบัด และแพทย์แผนไทยมาปรับวิธีคิดและร่วมกันบำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยผู้พิการ มี อบต. เทศบาลให้งบสนับสนุน ต่อมาก็เปิดคลีนิคแพทย์แผนไทย บริการตรวจรักษาโรค มีตำรับยาแผนโบราณ และมีโครงการตั้งคลินิกหมอพื้นบ้านในชุมชน
“เราสำรวจสมุนไพรในชุมชน เอามาปลูกในโรงพยาบาลเพื่อใช้เอง ทำโครงการร่วมกับม.ราชภัฎ ม.แม่ฟ้าหลวง เอานักศึกษามาฝึกงาน, ร่วมกับ อบต.เทศบาล สภาหมอเมืองล้านนา ตั้งคลีนิคหมอพื้นบ้านใน ชุมชนให้เป็นศูนย์เรียนรู้ไปด้วย ที่กำลังจะทำคือ เรามีโครงการเยี่ยมบ้านคนพิการอยู่แล้ว เราจะเอาหมอพื้นบ้านเข้าไปด้วย เรียกขวัญ มัดมือ สะเดาะห์เคราะห์”
ก้าวย่างทางต่อภูมิปัญญาแพทย์ทางเลือกภาคเหนือ
แม้จะมีรูปธรรมดีๆเกิดขึ้น แต่โดยรวมการยอมรับภูมิปัญญาสุขภาพพื้นบ้านก็เป็นเรื่องที่ต้องขับเคลื่อนต่อไป พตท.พิษณุ รักการศิลป์ ประธานเครือข่ายแพทย์แผนไทยภาคเหนือตอนล่าง เสนอว่าความรู้เหล่านี้ควรเข้าไปอยู่ในหลักสูตรการศึกษาเพื่อพัฒนาคนรุ่นใหม่
“ตั้งแต่ให้เด็กประถมศึกษามีความรู้เบื้องต้น เช่น ขมิ้นชันแก้ท้องผูก ฟ้าทะลายโจรแก้หวัด, อสม.ทั่วประเทศก็ให้เขาดูแลแม่และเด็กหลังคลอดง่ายๆด้วยการอยู่ไฟ ขับน้ำคาวปลา และมีโครงการให้เด็กเรียนแพทย์แผนไทยแล้วกลับไปเป็นแพทย์ทางเลือกในชุมชนของตน”
อ.ดารณี อ่อนชมจันทร์ ประธานกองทุนนายแพทย์ธารา อ่อนชมจันทร์ กล่าว ถึงทิศทางเครือข่ายหมอเมืองภาคเหนือตอนบน โดยเฉพาะการทำวิจัยเพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนนโยบาย ตั้งแต่ถอดบทเรียนต้นแบบที่หลากหลายเพื่อสร้างมาตรฐานที่เหมาะสมกับวัฒนธรรม ท้องถิ่นสร้างหลักสูตร สร้างการยอมรับจากชุมชน รวมถึงสิทธิประโยชน์เชิงกฏหมายที่หมอพื้นบ้านพึงได้รับ เช่น ใบรับรองวิชาชีพ ฯลฯ
“ถ้าชุมชนยอมรับ อบต.ยอมรับ ใช้กระบวนการท้องถิ่นดูแลกันเองได้มากขึ้น ต่อไปคือระดับประเทศยอมรับที่จะให้หมอพื้นบ้านดูแลกันเอง พ.ร.บ.สุขภาพบอกว่าประชาชนมีมีสิทธิ์เลือกรักษาด้วยวิธีใดก็ได้ แต่ทำอย่างไรที่จะได้สิทธิประโยชน์เท่าเทียมการแพทย์ระบบอื่น เช่น ชาวบ้านไปรักษากับหมอคนนี้แล้วเอาไปเบิกกับ สปสช.กับ อบต. กองทุนสุขภาพชุมชนได้”
“ร.พ.แพทย์แผนไทย 4 ภาค” ความหวังที่รอรูปธรรม
เครือ ข่ายหมอเมืองภาคเหนือตอนบน, ระบบสุขภาพชุมชนที่วัดห้วยเกี๋ยน และการบูรณาการภูมิปัญญาพื้นบ้านในโรงพยาบาลแม่ลาว เป็นส่วนหนึ่งของรูปธรรมดีๆที่ขยับมานานแล้วโดยภาคประชาชน จึงน่ายินดีที่ภาครัฐเริ่มขยับจริงจังให้เห็นความหวังว่าระบบการดูแลสุขภาพ ท้องถิ่นจะได้รับการพัฒนา-ต่อยอดอย่างแท้จริง
น.พ.อำพล จินดาวัฒนะ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ออกมาชื่นชมนโยบายตั้งโรงพยาบาลแพทย์แผนไทย 4 ภาค ว่าเป็นการขานรับธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2552 และควรเร่งผ่านงบประมาณให้ทันปี 2554 โดยแนวคิดหลักคือการพัฒนาองค์ความรู้การแพทย์แผนไทยและการแพทย์พื้นบ้านของ ไทย การศึกษาวิจัยและพัฒนาคน แต่ก็ทักท้วงว่าต้องไม่ไช่เพื่อมุ่งพัฒนาผลผลิตทางการค้าเพื่อการส่งออกหรือ เสริมความงาม จะทำให้เป้าหมายเบี่ยงเบน
“ในทางตรงข้าม ถ้าโรงพยาบาลแพทย์แผนไทยสามารถพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นจนนำมาใช้ดูแลสุขภาพคน ไทยทดแทนการใช้ยาใช้เทคโนโลยีการแพทย์ตะวันตกได้มากขึ้น สามารถใช้ได้ดีและใช้ได้มากกับผู้ป่วยเรื้อรังต่างๆที่กำลังมีปริมาณมากขึ้น รวดเร็ว ก็จะประหยัดค่ายาค่าเทคโนโลยีการแพทย์ตะวันตกที่ต้องเสียออกนอกประเทศ เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจประเทศโดยรวม”
……………………………………………………………
ภูมิปัญญาหากขาดการสืบสานก็จะเสื่อมหาย ผู้ทรงภูมิปัญญาหากไม่ได้รับการดูแล สังคมก็จะสูญเสียทรัพยากรบุคคล ภูมิปัญญาหมอพื้นบ้านและการแพทย์แผยไทย มีความสำคัญในฐานะที่เป็นการพึ่งพิงตนเองในระบบสุขภาพชุมชน .