- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- ยกเครื่อง “เครื่องมือการคลัง” ลดความเหลื่อมล้ำ
ยกเครื่อง “เครื่องมือการคลัง” ลดความเหลื่อมล้ำ
"การจะเดินไปสู่จุดมุ่งหมายแบบไทยๆ จะต้องจัดลำดับความสำคัญ “สวัสดิการ” ที่รัฐควรให้เป็นพื้นฐาน
เช่น โอกาสในการเรียนหนังสือ การรักษาพยาบาล หรืออะไรเป็นสิ่งที่คนไทยควรต้องได้"
ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมไทยที่สะสมมาเป็นเวลานาน ผลพวงจากการกระจายการพัฒนาที่ขาดความสมดุลและเป็นธรรม ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันในด้านโอกาสและการเข้าถึงทรัพยากรและบริการโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ เป็นที่มาของงานสัมมนาวิชาการของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ครั้งที่ 7 ประจำปี 2553 (FPO Symposium 2010) หัวข้อหลัก “ยกเครื่องเศรษฐกิจและการคลัง ลดความเหลื่อมล้ำของสังคม” จัดโดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ณ ห้องบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อวันที่ 19 ส.ค.ที่ผ่านมา
ความจำเป็นในการลดความเหลื่อมล้ำ ในมิติความยากจนและการกระจายรายได้ นายสาธิต รังคสิริ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) นำเสนอให้เห็นถึงสัดส่วนคนจน ที่ลดลงจากร้อยละ 20.98 ในปี 2543 เหลือเพียงร้อยละ 8.48 ในปี 2550 แต่ช่องว่าง คนรวยและคนจนกลับไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง คนรวยในกลุ่ม 20% แรกเป็นเจ้าของรายได้ 50% และคนจนต่ำสุด 20% สุดท้าย มีรายได้เพียง 4.8% ของรายได้ทั้งหมด ช่องว่างมีความแตกต่างถึง 11.3 เท่า และผลสำรวจ260 ประเทศทั่วโลกที่มีการกระจายรายได้ที่แย่นั้น พบประเทศไทยอยู่ที่ 50 ของโลก แสดงให้เห็นความมั่งคั่งยังคงกระจุกตัวอยู่
ยิ่งเมื่อดูตัวเลขประกอบ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นของความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้ในประเทศ นายสาธิต หยิบจำนวนบัญชีเงินฝาก ที่มีเงินฝากเกิน 1 ล้านบาทไป ขึ้นมาให้ดู พบว่า มีอยู่แค่ 1.2 % ของบัญชีทั้งหมด แต่เป็นเงิน 71.3% ของเงินฝากทั้งระบบ และเมื่อดูตัวเลขการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากประชากร 64 ล้านคน รวมๆ แล้ว มีผู้ยื่นแบบเสียภาษีประมาณ 9 ล้านคน ในจำนวน 9 ล้านคนที่ยื่นแบบและเสียภาษีจริงๆ มีแค่ 2.3 ล้านคน ตัวเลขนี้ ต้องเลี้ยงคนทั้งประเทศ ขณะที่ความเหลื่อมล้ำยิ่งทับลงไปอีก เมื่อคนที่มีรายได้สุทธิเกิน 10 ล้านบาท มีอยู่ประมาณ 2,400 คน ซึ่งเป็นเงินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 34% ของประเทศนี้
ด้วยเหตุนี้ บทบาทของสศค. ในการลดความเหลื่อมล้ำ จึงมีทั้งเรื่องการปรับปรุงโครงสร้างภาษีอากรทั้งระบบ ผลักดันภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของกฤษฎีกา จัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติ คาดว่าจะผ่านขั้นตอนกฤษฎีกาภายในเดือนนี้ เพื่อให้แรงงานนอกระบบ สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรีจากรายได้บำนาญรายเดือนที่จะได้รับในยาม เกษียณ การพัฒนาระบบการเงินฐานรากเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างทั่วถึง การประกันภัยพืชผลเพื่อลดปัญหาหนี้สินของเกษตรกรเมื่อเกิดภัยธรรมชาติ เป็นต้น
รัฐสวัสดิการ ปี 2560 จะไปกันอย่างไรดี
ทางหนึ่ง สศค.มีแนวทางขยายขอบเขตระบบสวัสดิการหรือมุ่งสู่การเป็นรัฐสวัสดิการ ซึ่งจะต้องมีการวิเคราะห์ ถึงระดับของสวัสดิการที่เหมาะสม กลุ่มเป้าหมายที่ควรจะได้รับสวัสดิการจากรัฐ รวมถึงภาระงบประมาณที่ต้องใช้ และแนวทางการหารายได้เพื่อมาสนับสนุน อย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง
“หากจะเป็น รัฐสวัสดิการ (Welfare State) ต้องใช้เงินเยอะ ภาษีก็อยากจะลดเพื่อการแข่งขัน ขณะเดียวกันก็อยากเก็บภาษีคนรวย ” ผอ.สศค. ชี้ให้เห็นความขัดแย้งในเชิงนโยบายที่ขัดแย้งกันในตัว พร้อมตั้งคำถามว่า จะทำอย่างไรให้การผสมอาหารแบบกลมกล่อม ได้ทุกอย่าง มีรสชาติ โดยไม่อยากให้คนไทยไปเปรียบเทียบ “สวัสดิการ” เหมือนกับประเทศในสแกนดิเนเวีย ที่เก็บภาษีได้เกือบ 50% ของ GDP ขณะที่ไทยเก็บภาษีได้ไม่ถึง 20 % ของ GDP
ผู้นำองค์กรที่เป็นเสาหลักทางเศรษฐกิจและการคลังของประเทศ ผอ.สศค. มองการจะเดินไปสู่จุดมุ่งหมายแบบไทยๆ จะต้องจัดลำดับความสำคัญ “สวัสดิการ” ที่รัฐควรให้เป็นพื้นฐาน เช่น โอกาสในการเรียนหนังสือ การรักษาพยาบาล หรืออะไรเป็นสิ่งที่คนไทยควรต้องได้
ประเด็นคำถาม แล้วรัฐจะนำเงินที่ไหนมาใช้ นายสาธิต ทิ้งทางเลือกให้คิดว่า การหาเงินมิใช่ต้องขึ้นภาษีอย่างเดียว การปรับขึ้นภาษี ก็ต้องเป็นภาษีที่คนยอมรับ เช่น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีสิ่งแวดล้อม ปฏิรูปโครงการภาษีทั้งระบบ เป็นต้น ขณะที่โครงการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐกับเอกชน Public Private Partnerships (PPPs) น่าสนใจ และกำลังเป็นกระแสโลก
ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย มีถึง 4 มิติ
อีกบทสะท้อนของนักวิชาการ รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) บอกว่า สังคมไทยเวลานี้ถึงจุดต้องมีการเปลี่ยนแปลง ทำอะไรบางอย่าง เกี่ยวกับปัญหาความเหลื่อมล้ำ และการกระจายรายได้แล้ว
“ต้องขอบคุณคนเสื้อแดงทำให้สังคมไทยทั้งสังคม เห็นว่า ต้องเปลี่ยนแปลง รวมไปถึงวงการธุรกิจ ในอดีตเมื่อพูดถึงรัฐสวัสดิการ คนคัดค้านกันทั่ว ทุกครั้งที่มีการพูดถึงเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำ นักธุรกิจก็จะส่ายหัว วันนี้นักธุรกิจเริ่มบอกว่า ต้องขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ คนเริ่มยอมรับสวัสดิการเป็นเรื่องสำคัญ” รศ.ดร.นิพนธ์ ตั้งข้อสังเกต และมองว่า วันนี้ ความยากจนไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับประเทศไทย ปัญหาใหญ่ คือ เรื่องความเหลื่อมล้ำ ที่มีถึง 4 มิติ
1.ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ครัวเรือน แรงงาน ธุรกิจ รายได้ ทรัพย์สิน การออม (หนี้สิน) คนฐานล่างมีอาชีพไม่มั่นคง เสี่ยงและความไม่เสมอภาคในการประกอบธุรกิจ 2.เหลื่อมล้ำด้านการคลังและบริการของรัฐ ด้านภาษี การเข้าถึงบริการของรัฐ 3. ด้านโอกาส การศึกษา เข้าไม่ถึงทุนในระบบ เข้าไม่ถึงทรัพยากรธรรมชาติ การใช้อิทธิพลบุกรุกชายหาด และ 4.เหลื่อมล้ำ(ด้อย) ด้านอำนาจ ด้อยสิทธิ์การเมือง และสังคม
และเมื่อโฟกัสความเหลื่อมล้ำ เฉพาะเรื่องภาษี รศ.ดร.นิพนธ์ วิเคราะห์ว่า มีปัญหามาก ทั้งความไม่เป็นธรรมในแนวตั้งและแนวนอน ฐาน ภาษีแคบมาก มีจำนวนผู้เสียภาษีน้อย ฐานภาษีไม่เสมอภาค การลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาบางประเภททำให้อัตราภาษีที่เคยก้าวหน้าเริ่มก้าวหน้าน้อยลง คนฐานะดีได้รับการลดหย่อนค่อนข้างมาก นโยบายก่อประโยชน์ให้คนฐานะดี ขณะเดียวกันภาษีสรรพาสามิตไม่เป็นธรรม ก็ต้องมีการปฏิรูป
“สาเหตุใหญ่ของความเหลื่อมล้ำมาจากนโยบาย กฎหมายของรัฐ ถึงเวลาต้องปฏิรูปต้องเปลี่ยนแปลง การปฏิรูปมีทั้งคนได้คนเสีย เป็นเศรษฐศาสตร์การเมือง ดังนั้นอย่าทำสุดโต่ง แนวทางปฏิรูปต้องทำให้ประเทศชาติมั่งคั่งขึ้น ให้กระจายไปสู่คนฐานราก”
ลุ้นคลอดกม.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
จากตัวเลขการถือครองที่ดินของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พบว่า มีคนไทย 90% ถือครองที่ดินคนละไม่เกิน 1 ไร่ ที่เหลืออีก 10 % ถือครองที่ดินคนละมากกว่า 100 ไร่ ซึ่งที่ดินมากกว่า 70 % ถูกผู้จับจองปล่อยทิ้งไว้รกร้างว่างเปล่า ไม่ได้ทำประโยชน์ แต่เป็นการถือครองไว้เพื่อเกร็งกำไร ขณะที่เกษตรกรไร้ที่ดินทำกิน มาลงทะเบียนเรื่องปัญหาที่ดินทำกินไม่น้อยกว่า 3.2 ล้านครอบครัว (ประมาณ 9.6 ล้านคน)
หนึ่งในมาตรการภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำของสังคม มี “ภาษีใหม่” อยู่ 2 ประเภท คือ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และภาษีสิ่งแวดล้อม ซึ่งภาษีที่ดินฯ หรือ ชื่อเต็มๆ ว่า “ร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ....” ผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีแล้ว กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และจะมีการทำประชาพิจารณาต่อไป
ภาษีที่ดิน แม้จะเป็นมาตรการเล็กๆ ที่หวังจะเข้ามามีส่วนช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาเศรษฐกิจส่วนรวมและการกระจายรายได้ ทีดีอาร์ไอ ย้อนอดีตเรื่องนี้ว่า ได้มีการผลักดันมาหลาย 10 ปี ขณะที่แนวคิดก็ได้รับการยอมรับในระดับสากลว่า ฐานภาษีที่สำคัญ คือ ภาษีทรัพย์สิน แต่ที่ผ่านมากลับ สะดุด ติดขัด ไม่คล่อง
“ได้แต่หวังว่า กฎหมายตัวนี้ จะคลอดออกมาได้เสียที ส่วนตัวเห็นด้วย (อย่างยิ่ง) สิ่งที่เสนอในร่างพ.ร.บ.ฯ เพราะเป็นภาษีที่เก็บบนฐานทรัพย์สินที่เป็นเรื่องเป็นราวตัวแรกๆ ซึ่งควรมีมานานแล้ว มีผลทำให้การกระจายรายได้เป็นธรรมมากขึ้น ในแง่หลักการ หากมีการเก็บภาษีบนฐานทรัพย์สินได้ จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้”ดร.สมชัย มองเห็นโอกาสและจุดเริ่มต้นลดความเหลื่อมล้ำ แม้ว่ากรอบความคิดการเก็บภาษีที่ดิน จะมุ่งแก้ปัญหาให้ท้องถิ่น เน้นเพิ่มรายได้ให้ท้องถิ่นมากกว่า
ผอ.วิจัยด้านการพัฒนาเศรษฐกิจส่วนรวมฯ ยังบอกอีกว่า แนวคิดการกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่น มีมานานแล้ว หากมีกฎหมายตัวนี้และท้องถิ่นเก็บภาษีได้เป็นเรื่องเป็นราว จะเป็นฐานรายได้ที่สำคัญทำให้บรรลุเป้าประสงค์ เรื่องกระจายอำนาจการคลังสู่ท้องถิ่นเร็วขึ้น แต่ก็ควรระวัง การจัดเก็บภาษีที่ดิน คือการประเมินมูลค่าฐานภาษี จะมีความเป็นมืออาชีพแค่ไหน ประเมินให้มีเป็นธรรม และไม่มีการเล่นพรรคเล่นพวก พร้อมตั้งคำถามว่า การให้ขึ้นกับแต่ละ อปท. จะมีผลต่อมาตรฐานอย่างไรบ้าง ทั้งๆ ที่ถ้าใช้ราคาประเมินทางการ หลายครั้งก็ยังไม่สะท้อนราคาตลาด อีกทั้งไม่ควรใช้วิธีอบรม เจ้าหน้าที่ อปท. ให้ตีราคาได้เหมือนเจ้าพนักงานที่ดิน แต่ต้องสามารถ access ราคาประเมินทางการได้ เช่น ผ่านอินเตอร์เน็ต อินทราเน็ต กระทรวงมหาดไทย
อย่างไรก็ตาม ร่างกม.ที่ดิน นับว่าเป็นร่างที่มีอาถรรพ์ ในฐานะที่ได้เกาะติดเรื่องนี้มา ดร.สมชัย ก็ยอมรับยังไม่อาจคาดเดา กฎหมายจะคลอดออกมาได้ทันรัฐบาลชุดนี้หรือไม่ “เพราะเสนอทีไรรัฐบาลเจ๊งก่อนทุกที” มีปัจจัยทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้น ต้องเกาะเกี่ยวอาศัยบรรยากาศการปฏิรูป สร้างแนวร่วมทางสังคมให้ร่วมผลักดัน ทั้งสื่อมวลชน ธุรกิจใหญ่ เอ็นจีโอ ภาควิชาการ เพื่อกดดันการเมือง เร่งสร้างความเป็นธรรมในสังคมให้เกิดขึ้น
กำหนดเพดานอัตราภาษีต่ำ ฝันที่ยากจะสำเร็จ
เช่นเดียวกันกับ รศ.ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ ประธานหลักสูตรเศรษฐศาสตร์การเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็อยู่ในภาวะหวาดเสียวไม่แพ้กัน และสงสัยต้องร้องเพลงรอ กฎหมายภาษีที่ดินนี้ต่อไป เหตุเพราะอยู่ช่วงปลายๆ รัฐบาล เอาอะไรแน่นอนไม่ได้
และด้วยบริบทการใช้มาตรการทางภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะภาษีที่ดิน รศ.ดร.นวลน้อย เห็นว่า หากจะพูดถึงมาตรการภาษีลดความเหลื่อมล้ำของสังคม ต้องพูดถึงระบบภาษีทั้งหมด ภาษีที่ดินเป็นแค่ส่วนเล็กๆ เท่านั้น ดังนั้นต้องทำความกระจ่างกับสังคม ไม่ใช่กฎหมายภาษีที่ดินผ่านแล้ว ประเทศไทยความเหลื่อมล้ำจะหายไปครึ่งหนึ่ง ทางกลับกัน การปฏิรูปการจัดเก็บภาษีรายได้บุคคลธรรมดา น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่กลับไม่มีการพูดถึงเลย ที่เสียดาย เพราะสามารถแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้จริงๆ มากกว่า ภาษีที่ดิน
รศ.ดร.นวลน้อย ชี้ให้เห็น ประเด็นที่ยากจะบรรลุด้วยการออกกฎหมายภาษีที่ดิน อีกว่า มีคำถาม การมีกฎหมายนี้ ทำให้การใช้ที่ดินมีประสิทธิภาพขึ้นหรือไม่นั้น จึงมีข้อสงสัยอัตราภาษีที่ได้กำหนดเพดานการจัดเก็บไว้ 3 อัตรา 1.อัตราทั่วไปไม่เกินร้อยละ 0.5 2.ที่อยู่อาศัยโดยไม่ประกอบเชิงพาณิชย์ไม่เกินร้อยละ 0.1 และ3.ที่เกษตรกรรม ไม่เกินร้อยละ 0.05 โดยเฉพาะที่ดินที่ทิ้งไว้ว่างเปล่าใน 3 ปีแรก ให้เสียภาษีไม่เกินร้อยละ 0.5 เพิ่มอีก 1 เท่าทุกๆ 3 ปี หลักการของภาษีที่ดินกับวัตถุประสงค์ ถามว่า เก็บเท่านี้ เป็นต้นทุนการจัดเก็บภาษีที่เพียงพอ ทำให้นักเก็งกำไรปล่อยที่ดินออกมาหรือไม่ ซึ่งอาจจะกลายเป็นความฝันที่ยากจะสำเร็จ เพราะโดยทั่วไป อัตราเพดานภาษีต่ำ ทางปฏิบัติการจัดเก็บต่ำกว่านี้ เพราะมีทั้งค่าลดหย่อน
กองทุนการออมแห่งชาติ มิติใหม่จัดสวัสดิการด้วยตนเอง
กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ถือเป็นมิติใหม่ของการปฏิรูประบบสวัสดิการ เพื่อสร้างความรับผิดชอบ สร้างจิตสำนึกของการพึ่งตนเอง โดยการให้ประชาชนมีส่วนร่วม สถานะปัจจุบัน “ร่างพ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ.....” ครม.เห็นชอบไป เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2552 เวลานี้อยู่ในระหว่างขั้นตอนของกฤษฎีกา
“กอช.” มี วัตถุประสงค์สำคัญ เพื่อสร้างระบบการออมเพื่อการชราภาพครอบคลุมกลุ่มแรงงานนอกระบบของประเทศ ที่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ยกมือเห็นด้วยกับการผลักดันให้ กอช.ต้องเกิดขึ้น และทันในรัฐบาลนี้
“นับเป็นการปฏิรูประบบสวัสดิการ และเป็นทางรอดของระบบสวัสดิการสังคมไทย มิเช่นนั้น จะสร้างภาระหนักให้ระบบการเงินการคลังในอนาคต ถ้ารัฐไม่ทำ ในอนาคตกระทรวงการคลังจะกลายเป็นผู้ร้ายของสังคมในการรีดภาษีเพื่อมาสร้าง สวัสดิการ ดังนั้นจึงอยู่ที่รายละเอียดว่าจะต้องจัดกองทุนอย่างไรให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยไม่บังคับให้คนออมเงินเพื่อตนเองหลังเกษียณ แต่ควรทำให้เกิดขึ้นด้วยความสมัครใจ”
ดร.อนุสรณ์ มองไปในระยะยาว การจัดรัฐสวัสดิการนั้นดีแน่นอน แต่ในระยะสั้นนี้ต้องทำให้เกิดระบบสวัสดิการกองทุนที่ง่ายที่สุด คือ ทำแบบสมัครใจ ที่สำคัญต้องออกแบบระบบสวัสดิการ ที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจไม่เสียหาย คำนึงถึง Productive Welfare System ตอนนี้ควรเป็นสังคมสวัสดิการ คือ รัฐต้องจัดสวัสดิการพื้นฐานที่จำเป็น เช่น สาธารณสุข การรักษาพยาบาล การศึกษา อาชีพ ฯลฯ และผนึกกำลังกับภาคเอกชนในเรื่องกลไกภาษีในการลดความเหลื่อมล้ำ
“3-5 ปีข้างหน้า หรือมากกว่านั้นประเทศไทยไม่สามารถเป็นรัฐสวัสดิการได้ เพราะต้องมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างอย่างใหญ่หลวง จะเป็นได้อย่างน้อยต้องมีสัดส่วนเงินที่ใช้เรื่องนี้ไม่ต่ำกว่า 30% ของจีดีพี คนในสังคมต้องเต็มที่พร้อมใจที่จะเสียภาษีมากขึ้นด้วย” คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม.รังสิต มองเห็นถึงความยาก ขณะเดียวกันก็ยังเชื่อว่า กอช.จะเป็นระบบที่ดีกว่าการจ่ายเบี้ยยังชีพให้ผู้สูงอายุ สุดท้าย กอช.ต้องให้เอกชนมาบริหารดูแลในลักษณะของกองทุนส่วนบุคคล (Private Funds) มีมืออาชีพเข้ามาบริหาร
ขณะ ที่ นพ.ถาวร สกุลพาณิชย์ รองผู้อำนวยการสำนักงานวิจัยเพื่อการพัฒนาหลักประกันสุขภาพไทย มองการเกิดขึ้นของกอช. โดยเฉพาะการออกแบบระบบสวัสดิการแบบ กอช. ยังเสมือนระบบการสอบนักเรียนแบบตัดตก คือ จัดสวัสดิการความมั่นคงทางรายได้แค่เพียงไม่อดตาย ซึ่งสร้างความมั่นคงทางรายได้ในลักษณะนี้ในต่างประเทศได้ใช้มาตรการจัด สวัสดิการในลักษณะแบบการตัดเกรดเป็นกลุ่มๆ คุณภาพในการจัดสวัสดิการ
การเงินฐานรากเพื่อเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน
การสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการทางการเงินของประชาชนอย่างทั่วถึง เท่าเทียม อีกหัวใจสำคัญลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ ซึ่งคำถามเชิงนโยบายที่ว่า “แนวทางการพัฒนาระบบการเงินระดับฐานราก เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมและไม่เป็นภาระทางการคลัง มากนักควรเป็นเช่นไร”
ผู้ที่มีบทบาทจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ที่ทำหน้าที่เป็น พี่เลี้ยง เพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคนฐานราก มาตลอด นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เล่าถึงการทำงานเป็นพี่เลี้ยงในการจัดการการเงินฐานรากว่า ตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ธ.ก.ส.เห็นว่า เงินแก้ปัญหาไม่ได้ แต่ต้องใช้ความรู้แก้ โดยเอาความรู้ลงไปถ่ายทอด สร้างหลักสูตรให้ชุมชนเข้มแข็ง ลงไปให้ความรู้ จัดอบรม อาทิ หลัก สูตร สัจธรรมชีวิต เพื่อลดรายจ่าย รวมกลุ่มทำแผนหมู่บ้านชุมชน สร้างชีวิต สร้างผู้นำ สร้างเครือข่ายเป็นหลักสูตรสหกรณ์ อาทิ โครงการเกษตรกรคนเก่ง สร้างเพื่อนช่วยเพื่อน ต่อยอดเป็นโครงการครูเกษตรกร โครงการชุมชนต้นแบบเศรษฐกิจพอเพียง
ในอนาคต ธ.ก.ส. มีแผนจะโอนลูกหนี้ที่เป็นรายเล็กรายน้อย ให้ไปรวมกลุ่มกันเองแบบสหกรณ์ เพื่อสร้างให้มีการจัดการแบบพึ่งตนเอง โดย ธ.ก.ส. ก็คงยังให้การสนับสนุน กำกับควบคุมดูแล เพื่อสร้างธนาคารระบบตัวแทนที่เข้มแข็งในชุมชนได้เอง แบบไม่สิ้นเปลืองงบประมาณจากส่วนกลางและไม่ต้องกังวลกับระบบเศรษฐกิจโลก
รองฯ เอ็นนู บอกถึงการทำเช่นนี้ จะทำให้ประชาชนเป็นพลเมืองได้เต็มตัว เป็นการพัฒนาที่ระเบิดจากด้านล่าง คือ 1.โจทย์ต้องมาจากชุมชน 2.ชุมชนต้องตอบโจทย์ 3.ชุมชนต้องมีแผนปฏิบัติ เมื่อนั้น จะเกิดผลอีก 3 ตัว 1.เกิดการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม 2.เกิดกระบวนการเรียนรู้ ในสิ่งที่ลงมือปฏิบัติ 3.เกิดเป็นกลไกในอนาคต จะเป็นหลักเศรษฐกิจพอเพียงที่ถูกต้อง
ด้านธนาคารออมสิน ทำงานควบคู่กับ ธ.ก.ส. เสมือนฝาแฝด อิน-จัน นายกิตติพงศ์ บุญ ยิ่ง ผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อองค์กรชุมชน ธ.ออมสิน มองว่า การที่จะพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืนได้จริงต้องร่วมสร้างความรู้ ใส่ชุดข้อมูลแก่คนท้องถิ่น เพื่อเกิดการจัดการกันเองอย่างเข้มแข็ง โดยไม่พึ่งพารัฐหรือทางส่วนกลาง การจัดการออมเงินในชุมชน จะเป็นสิ่งเริ่มต้นของการสร้างหลักประกันชีวิต สร้างสวัสดิการอย่างง่าย
“คนนอกจัดการไม่เก่งเท่าชาวบ้าน แม้การทำงานของชุมชนอาจไม่เทียบเท่าคนของส่วนกลางหรือเจ้าหน้าที่ทางการเงินโดยเฉพาะ แต่การลองผิด ลองถูกที่เกิดขึ้น จะเป็นบทเรียนที่ดีของการจัดการ สร้างรูปแบบแผนกันเองในชุมชน และเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว การสร้างความเข้มแข็งในชุมชนก็จะไม่ยาก เผลอๆ ธนาคารชุมชนอาจจะดีกว่าธนาคารที่มาจากส่วนกลางด้วยซ้ำ” นายกิตติพงศ์ มั่นใจเช่นนั้น.
เปิดความเห็น 4 กูรู ด้านการเงินการคลัง และเศรษฐกิจ
“หลายเรื่องหลายราวกำลังเปลี่ยนแปลงไป แต่ในด้านสังคมและการเมือง คนในชนบทเขามีความรู้มีความเข้าใจ และบริโภคข่าวสารเช่นเดียวกับคนในกรุงที่จะไปคิดว่าเขามีคุณภาพด้อยกว่า หรือฉลาดน้อยกว่า คนในเมืองนั้น ผมคิดว่า เป็นความเข้าใจผิดของคนในเมืองหรือเป็นความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของคนในเมืองมากกว่า...
ปัญหาเรื่องนี้จะเป็นข้อขัดแย้งที่สำคัญ ไม่ใช่ปัญหาความเหลื่อมล้ำในทางเศรษฐกิจ เพราะความเหลื่อมล้ำในเรื่องบริการของรัฐในทางสังคมนั้นแคบลงทุกทีๆ ในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา ไม่ใช่กว้างขึ้นอย่างที่โฆษณากันอยู่ในทุกวันนี้” ดร.วีรพงษ์ รามางกูร ประธานกรรมการบริหารบริษัทแอ๊ดวานซ์ อะโกร จำกัด (มหาชน)
“นี่ คือ เครื่องมือทางการคลังที่จะเข้ามาช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งแม้ความเหลื่อมล้ำจะเป็นไปตามธรรมชาติ แต่เราไม่ควรยอมให้มันเป็นธรรมชาติ เราต้องพยายามแก้ไขหรือบรรเทา โดยต้องใช้เวลาและต้องใช้ความเห็นพ้องของคนทั้งชาติ” รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
“การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ วิธีก็คือ การทำให้คนจนรวยขึ้น แต่ไม่ใช่การกระจายรายได้ด้วยระบบภาษีอากร หรือนโยบายประชานิยม เพราะเป็นการทำเพียงชั่วคราวเท่านั้น รัฐบาลจะต้องยกระดับคนไทยชั้นล่างให้มีความรู้ความสามารถมากขึ้น จาก Unskilled Labor มาเป็น Semi-skilled Labor จะเป็นวิธีแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำได้อย่างถาวร” ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย
“แนวโน้มเรื่องของการคลัง คิดว่าระบบภาษีคงต้องเปลี่ยน ต้องมีความเป็นธรรม ต้องส่งเสริมการกระจายรายได้ ... ภาษีหลายอย่างซึ่งเป็นการส่งเสริมและกระจายรายได้ที่แท้จริงก็ยังไม่ได้ใช้ในประเทศไทย เช่นภาษีทรัพย์สิน ซึ่งกำลังจะออกมาเป็นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ก็เป็นเรื่องดีที่รัฐบาลนี้กล้าที่จะนำออกมา และผมภาวนาให้เสร็จ เพราะทำมาหลายรัฐบาลแล้วไม่สำเร็จ ซึ่งตรงนี้จะมาเปลี่ยนโครงสร้างของภาษีอากรของประเทศไทย อาจจะต้องทบทวนทำอย่างไรให้เอื้อต่อการกระจายรายได้มากขึ้น”ศาตราจารย์ (พิเศษ) ดร.สมชัย ฤชุพันธุ์ ประธานมูลนิธิสถาบันพัฒนาสยาม