- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- หนี้ท่วมครอบครัวไทย แล้ว ‘ประชาธิปไตย’จะเป็นเช่นไร ?
หนี้ท่วมครอบครัวไทย แล้ว ‘ประชาธิปไตย’จะเป็นเช่นไร ?
เรากำลังพูดถึงคุณภาพสังคมกับคุณภาพประชาธิปไตย
สิ่งที่ต้องมองคือ เราต้องพูดถึงการวิเคราะห์ (Unit of Analysis) การปกครอง การเมือง สังคม เศรษฐกิจ แต่ที่ผ่านมาคนไทยคุ้นเคยกับมิติการปกครองเท่านั้น ดังนั้นหากประเทศต้องขับเคลื่อนการพัฒนาสังคม ไปพร้อมๆกับการพัฒนาประชาธิปไตย หลายคนอาจสงสัย เราต้องจับตรงหน่วยไหนก่อน
โจทย์นี้ ดร.สีลาภรณ์ บัวสาย รองผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย หยิบยกข้อสรุปที่ได้มาจากงานวิจัยหลายชิ้น ซึ่งเห็นตรงกันว่า เราควรต้องถอยกลับไปที่ระดับ “ครัวเรือน”
ที่จริงมีงานวิจัยอีกชิ้นเรื่องการแก้ไขปัญหาความยากจนใน 17 จังหวัด ที่สกว.ทำร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และ ธ.ก.ส. ตอกย้ำว่า การ พัฒนาสังคม ไปพร้อมๆกับการพัฒนาประชาธิปไตย ต้องถอยกลับไปที่ระดับ “ครัวเรือน” โดยงานวิจัยดังกล่าวนั้น รองผอ.สกว.พบว่า ขบวนการขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตเป็นเรื่องเดียวกับการแก้ปัญหาความยากจน และเป็นเรื่องเดียวกับการสร้างประชาธิปไตยในประเทศ
จุดระเบิดเกิดที่...ระดับครัวเรือน
"หมายถึงครัวเรือนที่เข้าถึง คิดได้ เปลี่ยนพฤติกรรม รุกคืบไปสู่การตัดสินใจระดับตำบล ว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะต้องตอบสนองอะไรบ้าง"ดร.สีลาภรณ์ อธิบาย เพื่อขยายความ
เพราะหากมองในมิติสังคมวิทยา “ครัวเรือน” ถือเป็น โครงสร้างทางสังคมหน่วยล่างสุด (basic social structure) ในแง่เศรษฐกิจ “ครัวเรือน” ก็เป็นหน่วยการผลิตขั้นพื้นฐาน (basic production unit) และหากมองในแง่การเมือง “ครัวเรือน” เป็นเขตเลือกตั้งขั้นพื้นฐาน (basic constituency)
ข้อมูลเมื่อปี 2552 ประเทศไทยมี 20 ล้านครัวเรือน มีจำนวนครัวเรือนในภาคเกษตรประมาณ 5.8 ล้านครัวเรือน คิดเป็น 30% ของจำนวนครัวเรือนทั้งประเทศ ขณะที่สำนักงานสถิติแห่งชาติ รายงานว่า ครัวเรือนไทยปีที่แล้ว มีรายได้เฉลี่ย 20,903 บาท/เดือน รายจ่ายเฉลี่ย 16,205 บาท/เดือน และหนี้สินเฉลี่ย 134,699 บาท/เดือน
ยิ่งหากย้อยกลับไปดูสภาพทางเศรษฐกิจของครัวเรือนในภาคเกษตร ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร 2549/50 ระบุว่า ครัวเรือนในภาคเกษตร มีรายได้จากการทำเกษตร 114,631 บาท/ปี หักรายจ่ายในการลงทุนทำการเกษตร 64,261 บาท/ปี รายจ่ายอุปโภคบริโภค 84,465 บาท/ปี คงเหลือ -34,095 บาท/ปี หนี้สินเฉลี่ยตอนต้นฤดูกาล(ผลิต) 47,672 บาท
แปลความได้ว่า สภาพทางเศรษฐกิจของครัวเรือนในภาคเกษตร “ติดลบ” แถมยังมี “หนี้” พอกหลังอยู่
รองผอ.สกว.ตั้งประเด็นให้ผู้เข้าร่วมการประชุมวิชาการสถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 12 ประจำปี 2553 ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา กลับไปนั่งคิดต่อกันว่า เมื่อสถานการณ์ปัญหา “ชักหน้าไม่ถึงหลัง” ของครัวเรือนในภาคเกษตร ยังเป็นเช่นนี้
แล้วประชาธิปไตยของประเทศ หน้าตาจะเป็นแบบไหน..?
เพราะคุณภาพสังคมขึ้นกับคุณภาพของพลเมือง คุณภาพพลเมือง ขึ้นกับการบ่มเพาะกล่อมเกลา โดยสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา และวัฒนธรรม/วิถีปฏิบัติของคนในสังคม
ตัวเลขสถานการณ์ทางสังคมของครอบครัวไทย ที่ดร.สีลาภรณ์ ฉายโชว์บนเวที ยังแสดงสถิติหย่าร้างพุ่งขึ้นจาก 13 % ใน ปี 2539 เป็น 26% ภายใน 10 ปี
แบ่งเป็นครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว ราว 1.3 ล้านครอบครัว และมีครอบครัวไม่ผ่านเกณฑ์ความเข้มแข็ง 57% ทั้งพบปัจจัยเสี่ยงต่อครอบครัว สัมพันธภาพในครอบครัว การเลี้ยงดูลูก มีเยอะมาก พื้นที่เสี่ยง เช่น ร้านขายเหล้าบุหรี่ โรงแรมม่านรูด ร้านเกม มีสื่อไม่สร้างสรรค์ เช่น เน้นเรื่องส่วนตัว อิจฉา ไร้สาระ ไม่ส่งเสริมจิตสาธารณะ ความเป็นพลเมือง ฯลฯ
ขณะเดียวกัน การศึกษาที่ไม่สามารถผลิตคนที่ “คิดกว้าง มองไกล ใฝ่สูง”
คำถามคือ ในสถานการณ์โครงสร้างครอบครัวไทย ที่กำลังแตกสลาย และวิถีชีวิตวัฒนธรรมในสังคมในการบ่มเพาะพลเมืองเป็นเช่นนี้ ..ประชาธิปไตยของไทยจะเป็นอย่างไร
วัฒนธรรมไทย มีลักษณะเป็นฝูง
ด้วยประสบการณ์ที่ทำงานวิจัยมาหลายสิบปี รองผอ.สกว.ยืนยันว่า เปลี่ยนที่ยากที่สุด คือการเปลี่ยนวัฒนธรรม ด้วยเหตุที่อยู่ลึกในตัวคน
“ หากคิด หรือจะทำอะไรใหม่ ควรไปต่อยอดวัฒนธรรมที่มีอยู่ แทนการไปเปลี่ยนวัฒนธรรม เพราะวัฒนธรรมเหมือนราก ไปต่อตา ต่อ กิ่งได้ แต่ไปรื้อแล้วสร้างใหม่ ยากมาก โดยเฉพาะ วัฒนธรรมไทย มีลักษณะเป็นฝูง มีจ่า “Herd culture” มีผู้นำ “Patronage system” ซึ่งวัฒนธรรมตะวันออกเป็นเช่นนี้ทั้งนั้น ไล่มาตั้งแต่ สาธารณรัฐประชาชนจีน สิงคโปร์ ก็มีจ่าฝูง มีผู้นำ แต่ของไทยเห็นชัดในชนบท”
ดร.สีลาภรณ์ บอกว่า วัฒนธรรมเฉกเช่นนี้ ทำให้คนในชนบทยังเชื่อผู้ใหญ่บ้านมากกว่า นายกองค์กรบริหารส่วนตำบล (อบต.) ทั้งๆที่นายกอบต.มาจากการเลือกตั้ง...นี่คืออาการที่เกิดขึ้นของสังคมไทย
มีงานวิจัยอีกชิ้นที่ ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ เคยศึกษาไว้บอกเลยว่า สังคมไทยเป็นสังคมอุปถัมภ์ โดยตัวจ่าฝูง
การคิดบวกทำให้ รองผอ.สกว.มองเห็นว่า สังคมไทยควรใช้ “สังคมอุปถัมภ์” ให้เป็นประโยชน์ เพราะ “อุปถัมภ์” แท้ๆ แปลว่า การช่วยเหลือกัน เช่น กรณีเกิดน้ำท่วม เราจะเห็นการช่วยเหลือกันของคนไทย มีมหาศาล ซึ่งในสังคมตะวันตกไม่เป็นแบบนี้
“คำถามคือ เราใช้อุปถัมภ์ นัยยะเชิงบวกเป็นหรือไม่ หรือมองแต่ด้านลบอย่างเดียว ทำให้กลายเป็นระบบเจ้าพ่อ มาเฟีย”
โดยเฉพาะสิ่งที่ขาดหายไป !! ดร.สีลาภรณ์ โฟกัสไปที่ระบบคัดกรองผู้นำ ในประเทศที่จะพัฒนาประชาธิปไตยมีรากของตัวเองอยู่ หากใช้ให้เป็น ระบบการคัดกรองสำคัญมาก รวมทั้วระบบการสร้างสำนึกพลเมือง ที่รู้จักหน้าที่ต่อบ้านเมือง ก่อนสิทธิของตัวเอง รู้จักความภักดีต่อบ้านเมือง มิใช่ต่อ “จ่าฝูง”
จริงหรือสังคมไทยไม่เป็นประชาธิปไตย
ในฐานะที่ทำวิจัยมานาน ดร.สีลาภรณ์ ค้นพบข้อมูลที่แปลกมากว่า สถานการณ์ประชาธิปไตยไทย โดยเฉพาะการเมืองระดับชาติเมื่อปี 2550 มีผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ส.ส. ถึง 74.5% ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ส.ว. 55.6 % การเมืองระดับท้องถิ่น สูงกว่านั้นอีกมีผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบต.77.5 %
เมื่อเป็นเช่นนี้ จริงหรือไม่ สังคมไทยไม่เป็นประชาธิปไตย ประชาชนไทยไม่มีสำนึกประชาธิปไตย
นักวิจัยผู้นี้มองว่า การที่คนไปใช้สิทธิ์กว่า 70% ซื้อเสียงยากมาก
“คุณไม่สามารถทุ่มเงิน ซื้อประชาชนจากจำนวนคนไปเลือกตั้งมากอย่างที่เห็นได้ เราอาจต้องตั้งสมมุติฐานใหม่ ภาวะประชาธิปไตยที่มีปัญหาอยู่อาจไม่ใช่เรื่องคุณภาพพลเมือง แต่น่าเป็นปัญหาคุณภาพพรรคการเมือง ระบบการคัดกรองผู้นำของพรรคการเมือง และระบบพรรคการเมืองไทย เป็นธุรกิจการเมือง”
แต่นั้นก็มิใช่ประเทศไทยเท่านั้น ในต่างประเทศก็พบเห็นเกลื่อนเต็มไปหมด ระบบพรรคการเมืองเป็นธุรกิจการเมือง แต่เขากำกับและดูแลอย่างไรให้ ธุรกิจกับการเมือง อยู่กันได้แบบมี “ธรรมาภิบาล”
ใช่หรือไม่ ระบบพรรคการเมืองของบ้านเรามีปัญหาจริงๆ
10 ปี ที่ผ่านมา ช่วงปี 2541 – 2550 มีพรรคการเมืองถูกยุบ รวม 92 พรรค แสดงให้เห็นว่า “โครงสร้าง” พรรคการเมืองไทย ขาดความเป็นสถาบันทางการเมือง ขาดประชาธิปไตยภายในพรรค ขาดวินัยพรรค การบริหารจัดการเงินอุดหนุนพรรค และขาดประสิทธิภาพ แล้วทางออกจะไปทางไหน ดร.สีลาภรณ์ ชี้ช่องเพื่อเป็นบทสรุปให้ว่า ขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับโครงสร้างระบบพรรคการเมือง ระบบการทำงานของรัฐบาล และการพัฒนาคุณภาพคน...