ระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา หลายคนอาจรู้สึก และกังวลต่ออนาคตของประเทศ ด้วยปัญหารุมเร้ามากมาย ทั้งจากภายในและภายนอก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจที่ขาดความสมดุลในการพัฒนา การกระจายรายได้ การจัดสรรทรัพยากร สิ่งแวดล้อม ปัญหาทางการเมือง การทุจริตคอร์รัปชั่น และปัญหาสังคมในด้านต่างๆ เข้าขั้นวิกฤต
ทั้งหมดล้วนนำมาสู่แนวคิดที่ต้องมีการปฏิรูป “ระบบ” และ “โครงสร้าง” ต่างๆ ทั้งสิ้น
เพื่อตอบคำถามแรก วิกฤตประเทศไทย ทำไมต้องปฏิรูป
กับอีกคำถามที่ว่า แล้วเราจะปฏิรูปประเทศกันอย่างไร
ในฐานะที่เราเป็นคนไทย เป็นส่วนประกอบหนึ่งของสังคม กระแสการปฏิรูปที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้ เราจะมีบทบาทอย่างไรกับการร่วมขับเคลื่อน ซึ่งหากใครมีโอกาสได้ชมวีดีทัศน์ ความยาวกว่า 10 นาที จัดทำและเผยแพร่ โดยคณะกรรมการปฏิรูป ชุด ปฏิรูปประเทศไทย “ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน” บท และให้เสียงบรรยาย โดยนักคิดคนสำคัญคนหนึ่งของเมืองไทย อาจารย์ “เสกสรรค์ ประเสริฐกุล” กรรมการปฏิรูป ก็ยิ่งทำให้เห็นภาพชัด ถึง“จุดหมาย” และ “ยุทธศาสตร์” ในการปฏิรูปประเทศไทย ที่เกิดขึ้นครั้งนี้คืออะไร.........
“ประเทศไทย ใครๆ ก็ยอมรับว่า…อุดมสมบูรณ์
เราพัฒนาประเทศมาหลายสิบปี จนเศรษฐกิจเติบใหญ่ ขยายตัว ชาวต่างชาติพากันหลั่งไหลมาเที่ยวชมแผ่นดินโบราณแห่งนี้ และเก็บรับความประทับใจกลับไปอย่างถ้วนหน้า
แต่ถามว่า ปัจจุบันคนไทยอยู่ดีมีสุขกันหรือไม่ บางทีคำตอบอาจจะไม่ได้สอดคล้องกับรอยยิ้ม ที่เราใช้ต้อนรับผู้มาเยือน
ภายใต้พื้นผิวของความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ การขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม และการค้าระหว่างประเทศ ตลอดจนความเจริญทางวัตถุที่โผล่ผุดอยู่ทั่วไป คือ ความพังพินาศของชีวิตในชนบท การล่มสลายของชุมชนท้องถิ่น ตลอดจนการอพยพเข้าเมือง ของบรรดาผู้ยากไร้
คนไทยทุกวันนี้ มีชีวิตที่ต่างกันอย่างเหลือเชื่อ
แม้ว่า การพัฒนาเศรษฐกิจจะสร้างความมั่งคั่งให้กับคนจำนวนหนึ่ง แต่ประชากรไทยอีกจำนวนมาก ก็ยังคงต้องใช้ชีวิตแบบ ปากกัดตีนถีบ ดิ้นรนหาความอยู่รอดไปวันๆ
ทรัพย์สินประมาณร้อยละ 70 ของประเทศ อยู่ในการครอบครองของคนเพียง 20 % ขณะที่กลุ่มคนจนสุดร้อยละ 20 ของประชากร มีส่วนแบ่งของทรัพย์สินในประเทศ เพียงแค่ 1 % เท่านั้น
คนไทยประมาณ 5,400,000 คน มีรายได้เดือนละไม่ถึง 1,500 บาท และถูกจัดว่า เป็นคนยากจนที่มีรายได้ไม่เพียงพอในการดำรงชีวิต
“ที่ดินทำกิน” … นับเป็นทรัพยากรสำคัญ ที่มีการถือครองอย่างเหลื่อมล้ำมากที่สุด
“ที่ดิน” ส่วนใหญ่อยู่ในมือของคนส่วนน้อย
เกษตรกรจำนวนมากถึง 1,500,000 ครอบครัว ไม่มี “ที่ดิน” เลย หรือมี “ที่ดิน” ไม่พอทำกิน ยังไม่ต้องพูดถึงการเบียด ยึด ทรัพยากรอื่นๆ ซึ่งเกิดจากการขยายตัวของการค้า และอุตสาหกรรม
ความเสียเปรียบนานาประการ…. ทำให้ชาวไร่ ชาวนา ต้องตกเป็นหนี้สิน เฉลี่ยแล้วถึงรายละ 171,000 บาท ที่ผ่านมาเกษตรกรที่มีหนี้สินเช่นนี้ มาลงทะเบียนขอความช่วยเหลือจากรัฐถึง 6,300,000 คน
แต่รัฐก็ช่วยแก้ปัญหาได้เพียง 10,000 กว่าราย
สำหรับผู้ที่หนีความยากจนในชนบท เข้ามาเป็นแรงงานรับจ้างในเมือง ชีวิตก็ไม่ได้ดีขึ้นสักเท่าใด
ร้อยละ 60 ของลูกจ้างในภาคเอกชน มีรายได้ไม่ถึง 6,000 บาทต่อเดือน ขณะที่ข้าวปลาอาหารล้วนต้องใช้เงินตราไปแลก
แน่ละ…ความด้อยโอกาสทางเศรษฐกิจ มักนำไปสู่ความด้อยโอกาสในเรื่องอื่นๆ ด้วย
ดังจะเห็นได้จากระบบการศึกษาแบบแพ้คัดออก เด็กที่เข้าเรียนชั้นประถมปีที่ 1 ทั่วประเทศ มีเพียงไม่ถึงครึ่งที่ได้เรียนต่อจนจบชั้นมัธยม ที่ได้เข้ามหาวิทยาลัย ยิ่งมีจำนวนน้อยลงไปอีก
ประชากรไทยในวัยทำงาน 20 ล้านคน มีการศึกษาระดับประถม หรือต่ำกว่า ในจำนวนนี้ มีถึงประมาณ 1,000,000 ล้าน คนที่ไม่มีการศึกษาใดๆ
ถามว่า…เราจะออกจากวงจรความเหลื่อมล้ำเช่นนี้ ได้อย่างไร
ก่อนอื่น…เราต้องยอมรับว่า ความเหลื่อมล้ำเป็นผลพวงของความไม่เป็นธรรมในหลายๆ ด้าน เช่น ในด้านรายได้ และในด้านการจัดสรรทรัพยากร
แต่ถ้ากล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว ความไม่เป็นธรรมทั้งปวง ล้วนมีรากฐานมาจากความสัมพันธ์ทางอำนาจ การมีพื้นที่ทางอำนาจไม่พอเพียง ทำให้คนไทยหลายหมู่เหล่า ต้องแบกรับความหนักหน่วงของชีวิตอย่างไร้ทางเลือก
คนยากคนจนและคนที่เสียเปรียบทุกหมู่เหล่า ต่างก็ไร้อำนาจในการจัดการชีวิตตนเอง ไร้อำนาจต่อรองกับความสัมพันธ์ฝ่ายรัฐ และฝ่ายทุน
เช่นนี้แล้ว…. หนทางใดๆ ที่จะนำไปสู่การปฏิรูปประเทศไทย จึงหนีไม่พ้นที่จะต้องเพิ่มอำนาจให้กับประชาชน หนีไม่พ้นที่จะต้องกระจายอำนาจ จากส่วนกลาง ไปสู่ ชุมชนท้องถิ่น หรือกลุ่มคนที่ด้อยโอกาส
ประเทศไทยจำเป็นต้องมุ่งไปสู่การลดอำนาจของรัฐ และเพิ่มอำนาจให้กับสังคม
กล่าวอีกแบบหนึ่งก็คือ…. การปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์ทางอำนาจ เป็นทั้ง “จุดหมาย” และ “ยุทธศาสตร์” ในการปฏิรูปประเทศไทย
แต่ก็แน่ล่ะ…. การปฏิรูปที่ยั่งยืน ย่อมไม่ใช่เรื่องของอำนาจเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงการปรับเปลี่ยนโลกทัศน์ของผู้คนด้วย
เราจำเป็นต้องมีจินตนาการใหม่ เกี่ยวกับชีวิตที่ดี และสังคมที่ดี
ชีวิตของคนไทยควรจะมีศักดิ์ศรีและเท่าเทียมกันในฐานะความเป็นมนุษย์ ทุกคนควรมีโอกาสในการพัฒนาศักยภาพของตน ทั้งทางกาย ใจ ภูมิปัญญา และจิตวิญญาณ
เราควรได้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ตามวิถีวัฒนธรรมแห่งสันติภาพ โดยไม่ต้องกังวลว่า จะมีภัยคุกคามใดๆ
อย่างไรก็ตาม การที่ประเทศไทยจะก้าวไปสู่คุณภาพเช่นนั้นได้ ทั่วทั้งสังคมจะต้องเข้ามาช่วยกันแบกรับ เอาธุระสะสาง และร่วมมือกัน…เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง
เราจำเป็นต้องปรับความคิด ให้ยอมรับว่า การพัฒนาสังคมนั้น อาจมีได้หลายเส้นทาง ไม่จำเป็นต้องถูกกำหนดมาจากส่วนกลาง หรือเน้นแต่การเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว
เราอาจต้องย้ายวิธีคิดจากครอบงำและสั่งการ มาเป็นมุ่งประสานและเชื่อมร้อย เพื่อเปิดโอกาสให้ความหลากหลายได้ผลิบาน และภราดรภาพ ได้ปรากฏเป็นจริง
ที่สำคัญ คือ เราจำเป็นต้องเชื่อมั่นว่า ชุมชนท้องถิ่นและภาคประชาชนโดยรวมจะสามารถรับโอนอำนาจจากรัฐมาบริหารจัดการชีวิตของตนเองได้ในหลายๆ ด้าน
“การลดอำนาจรัฐ” มิได้หมายความแค่กระจายอำนาจไปสู่หน่วยราชการในท้องถิ่น หากหมายถึง “การเพิ่มอำนาจ” ให้ประชาชนอย่างแท้จริง
หากสังคมไทยยอมรับชุดความคิดเหล่านี้ ก็นับว่าการปฏิรูปประเทศได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว”
ชมวีดีทัศน์ ความยาวกว่า 10 นาที จัดทำและเผยแพร่ โดยคณะกรรมการปฏิรูป ชุด ปฏิรูปประเทศไทย “ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน” ได้ที่นี่ http://www.youtube.com/watch?v=yj19cm3fD3E