- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- ไขปริศนา ตัวเลข"เศรษฐศาสตร์"ไม่สัมพันธ์ปริมาณ"ความสุข"?
ไขปริศนา ตัวเลข"เศรษฐศาสตร์"ไม่สัมพันธ์ปริมาณ"ความสุข"?
"สศค.คาดจีดีพีไตรมาส 4/53 ชะลอลงเหลือ 2-3% ทั้งปีโต 7.5%"
"สภาพัฒน์ประกาศจีดีพีไตรมาส3ขยายตัว6.7%"
"แบงก์ชาติ ระบุ น้ำท่วมไม่กระทบ จีดีพียังโตในกรอบ7.3-8%"
กลายเป็นพาดหัวข่าวที่เราคุ้นชินไปแล้ว ที่สื่อมวลชนบ้านเราพร้อมใจให้ความสำคัญกับตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) จนกลายเป็นแรงผลักให้ผู้บริหารประเทศ นักการเมือง เดินหน้ามุ่งแต่ขยายจีดีพี
จะว่าไปแล้ว ผิดกับในต่างประเทศที่เขามองกันว่า จีดีพีไม่ใช่เรื่องใหญ่โตแต่อย่างใด เพราะดัชนีชี้วัดการพัฒนาประเทศตัวนี้ก็ไม่สามารถสะท้อนมิติด้านชีวิตและสังคมได้อย่างรอบด้าน
ท่ามกลางการพัฒนา ประเด็นหลักที่มีการพูดคุยกันมากในวันนี้ คือ วิธีการพัฒนาประเทศจะหาดัชนีตัวใดมาชี้วัดความสุข แทนการชี้วัดด้วยจีดีพี ตัวเลข หรือเงินทองเพียงอย่างเดียว ด้วยข้อจำกัดของจีดีพี "หม่อมอุ๋ย" ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติ และอดีตรมว.คลัง มีคำวิพากษ์อย่างกระชับไว้ตอนหนึ่งในเวทีเสวนาและเวิลด์คาเฟ่ "การวัดการพัฒนาที่ยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมจะเป็นจริงได้อย่างไร?" จัดโดยโครงการให้ความรู้เรื่องแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่อสุขภาวะสังคม (Thai wellbeing) ว่า
“การที่ประเทศไทยใช้จีดีพีเป็นตัวชี้วัดการพัฒนาประเทศเพียงอย่างเดียว ทำให้ผู้บริหารประเทศไม่สามารถฉุกคิดได้ว่า เป็นการทำลายธรรมชาติ คุณภาพชีวิตของมนุษย์ และการกระจายรายได้ เนื่องจากจีดีพีเน้นการพัฒนาความเจริญทางด้านวัตถุ คำนึงถึงแต่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ ไม่ได้สะท้อนการพัฒนาความเจริญทางด้านจิตใจ”
เรื่องสิ่งแวดล้อม หาตัวชี้วัดได้ยากสุด
โดยเฉพาะ “การวัดการพัฒนาที่ยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมจะเป็นจริงได้อย่างไร?” นั้น
คำถามนี้ นายวิลาส สุวี รองผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ มองว่า เป็นเรื่องยาก เพราะเป็นการวัดในสิ่งที่เป็นเรื่องอนาคต ยังไม่เกิดขึ้น ทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) มี wellbeing Index แต่กลับไม่เคยมีการนำมาใช้อย่างจริงจัง
“บ้านเรามีตัวชี้วัดเยอะ แต่ละกระทรวงก็มีตัวชี้วัด ในเวลาเดียวกันประเด็นการวัดการพัฒนาต้องมองในองค์รวม ซึ่งแกนกลางนั้นควรเป็นสภาพัฒน์ฯ ที่มีตัวชี้วัดที่ดีอยู่แล้ว ควรเอามาใช้ก่อน และอย่าให้ยุ่งยากมาก เสร็จแล้วค่อยๆ พัฒนาขึ้นไป แต่สไตล์การทำงานของคนไทยต้องพร้อมหมด จึงกลายเป็นเรื่องยาก” รองผอ.สำนักงานสถิติแห่งชาติ บอกด้วยว่า ตัวชี้วัดทั้งหมดที่ยากมากสุด คือ เรื่องสิ่งแวดล้อม เพราะมีเรื่องของเทคนิคเข้ามาเกี่ยวข้อง แถมมลพิษบางตัวซับซ้อน ทำให้การวัดยิ่งยากเข้าไปใหญ่
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติ ร่วมกับ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) พัฒนาตัวชี้วัดความยากจน เพื่อการกระจายรายได้ เรียกว่า properties mapping นายวิลาส เล่าถึงความยากลำบากว่า มีการทำทุกปี วิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลสำมะโนประชากร ลงไปถึงตำบล อำเภอ แต่พอถึงการจัดลำดับ (ranking) เส้นความยากจนเป็นรายจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัด กลับรับไม่ได้
“เราพบว่า ภาคเหนือ แม่ฮ่องสอนกับน่าน สลับกันเป็นจังหวัดที่ยากจนที่สุด สามารถวัดได้ถึงระดับอำเภอไหนยากจนสุด แต่เมื่อนำไปใช้ ระดับท้องถิ่น ก็ไม่รับ เป็นต้น”
นิยาม...การพัฒนาที่ยั่งยืน
ดังนั้นแล้ว เพื่อเห็นภาพชัดขึ้นว่า ความยั่งยืนคืออะไร “สฤณี อาชวานันทกุล” นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ และนักเขียนอิสระ อธิบายโดยให้คำนิยาม ความยั่งยืนในแง่มุมด้านสิ่งแวดล้อมว่า เป็นการพัฒนาที่สามารถรักษาระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้คงอยู่ต่อไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน โดยคาดการณ์ว่า คนรุ่นต่อไปจะสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า หรือทัดเทียมกับผู้คนยุคปัจจุบัน เพราะหากมีคุณภาพชีวิตที่ด้อยลง ไม่อาจเรียกได้ว่า เป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน
แต่หากแปลงความหมายความยั่งยืน ในเชิงเศรษฐศาสตร์ เธอมีคำถามต่อไปว่า เราจะเหลือ ‘ทุนสะสม’ เพียงพอต่อคนรุ่นหลังหรือไม่ "คำว่า ทุนสะสมนี้ต้องไม่ได้หมายถึงทุนที่เป็นตัวเงินเพียงอย่างเดียว แต่ต้องหมายรวมถึง ทุนทางกายภาพ ทุนมนุษย์ และทุนทางธรรมชาติ ซึ่งสาเหตุที่จำเป็นต้องดึงทุนทางธรรมชาติเข้ามาเป็นทุนสะสมด้วยนั้นมีเงื่อนไขสำคัญที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ นั่นคือ วิกฤตด้านสิ่งแวดล้อม"
ในมิตินี้การวัดทุนสะสมนั้น เขาวัดกันอย่างไร “สฤณี” พยายามอธิบายต่อว่า เป็นเรื่องของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมกันพิจารณา เพื่อให้มีความเหมาะสมต่อประเทศนั้นๆ โดยหลักต้องมีวิธีวัดการบริโภคที่ล้นเกิน หรือการลงทุนที่ต่ำเกิน ซึ่งต้องไม่ลืมว่า ยังมีประเด็นที่ใหญ่กว่า คือ การสร้างแรงจูงใจให้มีการนำไปใช้ ดังนั้น อาจต้องกลับไปทบทวนที่จุดตั้งต้นว่า สิ่งที่พยายามทำ “เป้าหมายสูงสุด ไม่ใช่เป็นการคิด “ดัชนีความยั่งยืนที่เที่ยงตรงทางธุรกิจ” แต่เป้าหมายสูงสุด คือ การเปลี่ยนวิถีการพัฒนาไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน “ดัชนี” เป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น”
ขณะที่ตัวแทนจากภาคอุตสาหกรรม “ชายน้อย เผื่อนโกสุม” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) ก็สะท้อนการพัฒนาประเทศที่ยึดแต่ตัวเลข จีดีพี เป็นดัชนีชี้วัดตัวเดียวว่า คงไม่เพียงพอแล้ว เพราะจีดีพีวัดเรื่องรายได้ประชาชาติ ไม่ได้สะท้อนความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน
“สิ่งที่จะให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีมีความสุข เป็นเรื่องมาตรการของภาครัฐที่จะต้องทำให้เกิดขึ้น หากมีดัชนีชี้วัดตัวอื่นๆ มาเสริมกับจีดีพี ภาคอุตสาหกรรมก็พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้เกิดการนำมาใช้อย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากเป็นสิ่งที่จะทำให้อุตสาหกรรมอยู่ได้อย่างยั่งยืน”
ทิศทางพัฒนาขอให้ยึดโยง มองโลกอย่างมีความสุข
สำหรับชาวบ้านอย่าง “ชาติชาย เหลืองเจริญ” ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรชุมชนบ้านจำรุง จังหวัดระยอง สะท้อนให้ฟังถึงกระบวนการพัฒนาประเทศที่ผ่านมาทำให้ทรัพยากรคน ดิน น้ำ ป่า เสียความสมดุล จนเกิดปรากฎการณ์ที่ชาวบ้านต้องลุกขึ้นมาเดินหน้าฟื้นฟูทรัพยากร เริ่มจากการขีดวงเล็กๆ ในพื้นที่ก่อน เช่น ถ้าอยากเข้มแข้งเรื่องการเงิน ก็ร่วมจัดทำธนาคารเพื่อสะสมทุนออมทรัพย์ หรือถ้าอยากสร้างความมั่นคงให้แก่ลูกหลาน ก็เข้าร่วมกับธนาคารต้นไม้ กระบวนการพัฒนาเช่นนี้จะช่วยสร้างความมั่นคงในระดับตัวเอง ครอบครัว กลุ่ม และระดับนโยบายสาธารณะ
“ไม่ต้องไปทำอะไรมาก เพียงแต่เปิดพื้นที่สาธารณะให้ผู้คนได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน” ถ้อยคำที่ผู้นำชุมชนบ้านจำรุง บอกเล่าถึงกระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์ ‘ทำไปเรียนรู้ไป’ จนเกิดเป็นชุดความรู้ ทำให้คนในชนบทมีความเชื่อมั่น และในที่สุดก็จะชี้ให้เห็นแนวทางพัฒนาที่ต้องเริ่มจากการพึ่งพาตนเอง ก่อนต่อยอดไปสู่การสร้างเครือข่าย และสุดท้ายค่อยกระแทรกให้เกิดเป็นนโยบาย
“ชาติชาย” กล่าวถึงฐานคิดคำว่า “พอเพียง” หรือ “พอสมควร”ว่า ในแต่ละคนก็มีไม่เท่ากัน ซึ่งต่างก็ต้องไปหาจุดพอดีและจุดสมดุลในชีวิตกันเอง แต่สิ่งที่ชาวชุมชนบ้านจำรุงน้อมนำมาใช้เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของคนในชุมชน คือ แนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งมีการแปลความหมายหลักปรัชญา ออกมาว่า คือการพึ่งพาตัวเอง โดยแตก 3 คำสำคัญ “ปรัชญา” หมายถึงความเชื่อ “เศรษฐกิจ” ให้ความหมาย ทั้งเศรษฐกิจขนาดเล็กไปจนถึงเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ทั้งๆ ที่มีผู้คนจำนวนมากไปแปลความเพียงว่า เศรษฐกิจพอเพียง ได้แก่ การเลี้ยงไก่ เลี้ยงหมู เลี้ยงปลาดุก ซึ่งความจริงแล้ว เศรษฐกิจพอเพียงพูดถึงการค้าทั้งระบบ การเชื่อมโยง อุตสาหกรรมสะอาด ข้อมูลที่มีความสมดุล หรือแม้กระทั้งงานวิชาการที่ไม่เอาเปรียบคน จนสุดท้ายพูดถึงความสมดุลในชีวิต
นอกจากนี้ชุมชนบ้านจำรุงยังมีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยบ้านนอกเพื่อเปิดโอกาสให้คนในชนบทเข้าถึงการศึกษามากขึ้น รวมทั้งส่งเสริมการถ่ายเทความรู้จากรุ่นสู่รุ่น เนื่องจากเชื่อว่าเป็นชุดประสบการณ์ที่กินได้ พร้อมทั้งชี้ให้เห็นคุณค่าของวิถีวัฒนธรรมท้องถิ่น เพื่อการพึ่งพาตนเองที่มากขึ้นตามลำดับ
พร้อมกันนั้น ชาวบ้านจำรุงยังทำเกษตรอินทรีย์ 100 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากพบว่ามีรายได้ที่มั่นคง โดยที่ไม่ต้องวิ่งหาตลาด เพราะตลาดจะวิ่งเข้ามาหาเอง
“ชีวิตเกษตรกร ขี้เกียจก็นอน ขยันก็ทำ แดดร้อนก็ทำ ถ้ามีอารมณ์ก็ทำ นั่นคือชีวิตที่มีความสุขตามวิถี แม้ไม่มีเงินมาก แต่ก็เป็นอาชีพที่มีความมั่นคงไม่แพ้อาชีพอื่นใด ชีวิตที่ได้เป็นตัวของตัวเองเช่นนี้ จึงเป็นชีวิตที่มีความสุขมากที่สุด ซึ่งทิศทางการพัฒนาประเทศไทย จะเอาอุตสาหกรรม หรือจะเอาอะไรไปก็แล้วแต่ ถ้าไม่โยงเรื่องการมองโลกอย่างมีความสุข คนก็จะมีแต่ความทุกข์” คำยืนยันที่ออกจากปาก ผู้นำชุมชนที่นำพาชุมชนของตนเองดำเนินตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
วิพากษ์จีดีพี ฉบับชาวบ้าน
ส่วนหนึ่งจากหนังสือวิพากษ์จีดีพี ฉบับชาวบ้าน เขียนโดย สฤณี อาชวานันทกุล ที่มีตัวอย่างให้เราได้ลองคิดเล่นๆ ดูว่า หากเรามีเพื่อนสนิทสองคน ชื่อ “สมบัติ”กับ “สมพงษ์” สมบัติมีรายได้ปีละ 240,000 บาท ส่วนสมพงษ์มีรายได้ปีละ 600,000 บาท
มีคนมาถามเราว่าระหว่างสองคนนี้
1.ใครอยู่ดีกินดีกว่ากัน
2.ใครมีคุณภาพชีวิตดีกว่ากัน
3.ลูกหลานของใครน่าจะมีคุณภาพชีวิตดีกว่ากันในอนาคต
เราจะตอบคำถามสามข้อนี้ได้อย่างไร
ตัวเลขรายได้อาจชี้ว่า สมพงษ์น่าจะอยู่ดีกินดีกว่าสมบัติ แต่เรารู้ว่า ไม่จริง เพราะภรรยาของเขาไม่ทำงาน อยู่บ้านเลี้ยงลูกวัยกำลังซน 2 คน บิดามารดาของสมพงษ์ รวมทั้งพ่อตาและแม่ยายของเขาก็อายุมากและมีฐานะยากจน มีเงินเก็บออมน้อยมาก สมพงษ์เป็นคนเดียวในบ้านที่หาเลี้ยงครอบครัว รายได้ 600,000 บาทของเขาต้องเลี้ยงดูปากท้องอีก 7 ชีวิต แถมยังมีหนี้สิ้นอีก 100,000 บาท
ส่วนสมบัติยังเป็นโสด พ่อแม่มีฐานะค่อนข้างดี อาศัยลูกชายเป็นที่พึ่งทางใจเท่านั้น ไม่ต้องพึ่งพาทางการเงิน ถึงแม้เขาจะมีรายได้น้อยกว่าสมบัติ แต่เขาก็อยู่ดีกินดีกว่า
ทีนี้มาดูเรื่องคุณภาพชีวิต
สมพงษ์ไม่ได้อยู่ดีกินดีเท่าสมบัติก็จริง แต่เขาก็หมั่นดูแลตัวเองและครอบครัวอย่างสุดความสามรถ โชคดีที่อาศัยอยู่ในอำเภอที่ยังมีอากาศบริสุทธ์ ตกเย็นยังมีเวลาเล่นกับลูกและสังสรรค์กับเพื่อนฝูง ส่วนสมบัติอาศัยอยู่ในเขตที่มีมลพิษทางอากาศและทางเสียงเข้าขีดอันตราย หงุดหงิดอารมณ์เสียกับรถติด ขณะเดินทางไป-กลับระหว่างบ้านกับที่ทำงานวันละหลายชั่วโมง บ้างานจนไม่มีเวลาออกกำลังกาย เป็นโรคเครียดกับที่ทำงานจนลงกระเพาะ
ถ้าเป็นแบบนี้เราคงพูดไม่ได้ว่าสมบัติมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าสมพงษ์
คำถามสุดท้ายเรื่องคุณภาพชีวิตของลูกหลานสมบัติและสมพงษ์ในอนาคตนั้นตอบยากกว่าสองข้อแรกมาก
สมพงษ์พยายามดูแลครอบครัวของเขาอย่างดีที่สุดก็จริง แต่รายได้ที่จำกัดเมื่อเทียบกับขนาดของครอบครัว อาจทำให้เขาไม่มีเงินเก็บหรือสินทรัพย์อื่นมากพอที่จะยกเป็นมรดกให้ลูก แต่อย่างน้อยถ้าลูกๆ ของเขาไม่ย้ายออก ก็จะสามารถเลี้ยงชีพอยู่ในบ้านที่มีสภาพแวดล้อมค่อนข้างบริสุทธิ์
ส่วนสมบัติยังไม่แต่งงานก็จริง แต่ถ้าเขาแต่งงานและภรรยาที่ทำงานมีรายได้พอๆ กัน มีลูกคนเดียว ก็อาจสะสมสินทรัพย์พอที่จะให้ลูกนำไปต่อยอดประกอบอาชีพ แต่ลูกของเขาก็จะต้องทนทุกข์ทรมานจากมลพิษทางอากาศและทางเสียงที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ ถ้าไม่ย้ายออกไปอยู่ที่อื่น
ตัวเลขรายได้ตัวเดียวบอกระดับความอยู่ดีกินดี คุณภาพชีวิต และแนวโน้มคุณภาพชีวิตของลูกหลานคนเราไม่ได้ฉันใด ตัวเลขรายได้ทั้งประเทศที่เรียกว่า จีดีพี ก็บอกระดับความอยู่ดีกินดี คุณภาพชีวิต และแนวโน้มคุณภาพชีวิตของลูกหลานทั้งประเทศไม่ได้ฉันนั้น