- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- ได้เวลา "ภาษาไทย" ก้าวสู่เวทีอาเซียน!!
ได้เวลา "ภาษาไทย" ก้าวสู่เวทีอาเซียน!!
หากจะนับเวลาถอยหลังเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ.2558 ก็คงจะเหลือเวลาไม่ถึง 3 ปี สำหรับเตรียมความพร้อมของประเทศไทย
โดยในส่วนของ "การศึกษาไทย" นั้น การเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ยังมีปัญหาเรื่องความไม่พร้อมอีกมากมาย ไม่ว่าเป็นเรื่องของการเลื่อนเปิด-ปิดภาคเรียนให้สอดคล้องกับประเทศสากลทั่วโลก ที่แม้ว่าที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) จะมีมติให้เลื่อนการเปิดภาคเรียนที่ 1 ของทุกปี ให้ตรงกับประเทศสากล ตั้งแต่ปีการศึกษา 2557 เป็นต้นไป แต่ก็ยังมีฝ่ายที่คัดค้าน หรือการเตรียมความพร้อมในด้านภาษาให้กับคนไทย เพื่อใช้ในการสื่อสารกับผู้คนในกลุ่มประเทศอาเซียน และประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมถึง ปัญหาต่างๆ อีกมากมาย
อย่างไรก็ตาม ปัญหาด้าน "การสื่อสาร" ระหว่างคนไทยกับประเทศในกลุ่มอาเซียนนั้น "นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล" ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียน และศูนย์กลางการค้าโลก ในปี พ.ศ.2558 จึงได้จัดโครงการ "พ.ศ.2555 ปีแห่งการพูดภาษาอังกฤษ" หรือ "English Speaking Year 2012" เพื่อยกระดับความรู้ของประชาชนให้ได้มาตรฐานสากล โดยรณรงค์ให้เรียนรู้ "ภาษาอังกฤษ" เป็นภาษาหลักของประเทศ
โดยทุกโรงเรียนจะต้องส่งเสริมการสอนภาษาอังกฤษ คือใน 1 สัปดาห์ จะต้องมี 1 วัน ที่ครู และนักเรียนทั้งโรงเรียน "ใช้" ภาษาอังกฤษในการสื่อสารผ่านการจัดกิจกรรมต่างๆ รวมถึง "ผู้บริหาร ศธ." ก็จะต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารเช่นกัน
ซึ่งโครงการนี้เริ่มดีเดย์มาตั้งแต่สัปดาห์แรกของเดือนมกราคม 2555 โดยเริ่มในวันพุธที่ 4 มกราคม จากนั้น ให้ทุกโรงเรียนใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารในทุกวันจันทร์ของแต่ละสัปดาห์ ซึ่งเบื้องต้น นายวรวัจน์หวังแค่เพียงให้คนไทยมีความกล้า ส่วนจะพูดผิดพูดถูกไม่ใช่ปัญหา
อีกทั้ง เพื่อให้การดำเนินการตามโครงการดังกล่าวเป็นไปนโยบาย ศธ.จึงออกประกาศเรื่องนโยบายและแนวทางการดำเนินงานสำหรับโครงการ ดังนี้
1.ส่งเสริมให้สถานศึกษา และหน่วยงานต่างๆ ใน ศธ.กำหนดวันภาษาอังกฤษสัปดาห์ละ 1 วัน เพื่อใช้เป็นกิจกรรมภาษาอังกฤษ
2.ส่งเสริมให้สถานศึกษา และหน่วยงานต่างๆ ใน ศธ.จัดทำสื่อ และเผยแพร่ความรู้ภาษาอังกฤษที่มีความหลากหลายให้แก่ประชาชนมากขึ้น
3.ส่งเสริมการจัดอบรมเพื่อการพัฒนาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษให้แก่นักเรียน ครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา โดยร่วมมือกับสถาบันภาษา และหน่วยงานต่างๆ ในการจัดหลักสูตรฝึกอบรมภาษาอังกฤษให้
4.ส่งเสริมให้สถานทูต องค์กรระหว่างประเทศ สมาคมโรงเรียนนานาชาติ และหน่วยงานต่างๆ มีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร และกิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ
5.ส่งเสริมเสริมสร้างแรงจูงใจในการเรียนภาษาอังกฤษของประชาชน โดย ศธ.จะผนึกความร่วมมือกับสถานทูต องค์กรระหว่างประเทศ และเครือข่ายที่มีอยู่ จัดสรรทุนการศึกษา/ ฝึกอบรมให้นักเรียน ครู อาจารย์ รวมถึง การจัดโครงการกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างโอกาสการเรียนรู้ภาษาอังกฤษอย่างต่อเนื่อง
โดยนายวรวัจน์เห็นว่าปัจจุบันภาษาอังกฤษควรจะเป็นภาษาหลักของประเทศ เพราะมีคนทั่วโลกที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในการสื่อสารมาถึง 2,000 ล้านคน หรือมากถึง 1 ใน 3 ของประชากรทั้งโลก ฉะนั้น โครงการ English Speaking Year 2012 จึงถือเป็นการกระตุ้นให้คนไทยหันมาใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารมากขึ้น กล้าที่จะพูด โดยไม่จำเป็นต้องพูดสำเนียงภาษาอังกฤษ
โครงการนี้ได้รับความชื่นชมจาก "นายโทนี แบลร์" อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ ซึ่งได้เดินทางเข้าพบรัฐมนตรีว่าการ ศธ.เพื่อหารืองานด้านการศึกษา โดยให้การสนับสนุนโครงการ English Speaking Year 2012 ของ ศธ.เพราะมองว่าปัจจุบันโลกทั้งโลกกลายเป็นชุมชนเดียวกันมากขึ้น จึงจำเป็นต้องเรียนภาษาอังกฤษซึ่งเป็นภาษาสากล เพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสารระหว่างประเทศ และถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับประเทศไทยที่ระบบการศึกษาไทยมีโครงการพูดภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง
ขณะที่ "ดร.อดิศร เนาวนนท์" อาจารย์คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) นครราชสีมา เห็นว่าโครงการ English Speaking Year 2012 มีเจตนาที่ดี แต่สิ่งที่เป็นกังวลคือโครงการนี้อาจจะสร้างความกดดันให้กับโรงเรียน และครูที่ไม่มีความพร้อม ดังนั้น ควรเป็นเพียงแค่นโยบายเสริม แล้วมุ่งนำงบประมาณมาสนับสนุนการพัฒนาระบบการจัดการเรียนการสอนชั่วโมงเรียนภาษาอังกฤษในชั้นเรียนอย่างจริงจัง เช่น จัดให้มีการเรียนรู้จากสื่อภาพยนตร์ภาษาอังกฤษที่เหมาะสมกับนักเรียนในแต่ละระดับชั้น โดยครู และนักเรียนต้องเรียนรู้ไปด้วยกัน เป็นต้น
ส่วน "นายเกษม ศุภรานนท์" ผู้อำนวยการโรงเรียนสุขานารี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1 ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ได้เริ่มหลักสูตรอิงลิชโปรแกรม หรือ EP มาเป็นเวลา 2 ปีแล้ว โดยมีนักเรียน EP 2 ห้องเรียน มีนักเรียนหลักสูตร EP 53 คน จากนักเรียนทั้งหมด 3,100 คน
ผู้อำนวยการโรงเรียนสุขานารีบอกว่า แม้จะเก็บค่าเล่าเรียนสำหรับนักเรียนห้องเรียน EP เพิ่ม เพราะต้องจ้างครูชาวต่างประเทศมาสอน แต่ก็ได้รับความสนใจจากผู้ปกครอง ที่ต้องการให้ลูกหลานมีศักยภาพเกี่ยวกับภาษาแบบผสมผสานทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาจีนกลาง อย่างไรก็ตาม จากการประเมินพบว่าการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศในห้องเรียนเพียงอย่างเดียวไม่ค่อยได้ผลเท่าที่ควร จึงต้องปรับเปลี่ยนโดยให้ฝึกใช้ภาษาต่างประเทศนอกห้องเรียนด้วย โดยให้การบ้านนักเรียน ให้หัดพูด ท่อง และเขียน แล้วบอกเล่าให้เพื่อนๆ ฟังตอนเช้า
นอกจากนี้ "สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.)" ก็ออกมาขานรับทันทีหลังจาก ศธ.มีนโยบายดังกล่าว โดยได้ขยายกลุ่มเป้าหมายในการที่จะส่งเสริมการสอนภาษาอังกฤษออกไปยังประชาชนคนไทยในกลุ่มอาชีพต่างๆ ทั้งคนขับแท็กซี่ คนขับสามล้อเครื่อง และแม่ค้าหาบเร่ ให้สื่อสารโดยใช้ภาษาอังกฤษได้
โดย สกศ.ได้จัดโครงการ "ภาษาอังกฤษกินได้" เพื่อมุ่งส่งเสริมการพูด และการสื่อสารภาษาอังกฤษไปยังผู้ประกอบอาชีพต่างๆ ที่ต้องใช้ภาษากับชาวต่างชาติ ซึ่งถือเป็นโครงการต่อเนื่องจาก English Speaking Year 2012 ของ ศธ.
ประกอบกับ รัฐมนตรีว่าการ ศธ.คนใหม่อย่าง "นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช" ได้มอบนโยบายให้ ศธ.ไปจัดหางบประมาณเพื่อจัดหาครูต่างชาติสำหรับสอนภาษาอังกฤษ และภาษาจีน ให้กับโรงเรียนต่างๆ โดยพร้อมที่จะลดงบประมาณในการจัดอีเวนต์ต่างๆ ลดงบประมาณในการโฆษณาและประชาสัมพันธ์โครงการต่างๆ ของ ศธ.ลง รวมถึง งบประมาณที่ไม่จำเป็น เพื่อนำมาใช้จ้างครูต่างชาติให้กับนักเรียนในโรงเรียนทั่วประเทศ เพราะมองว่าภาษาอังกฤษ และภาษาจีน มีความจำเป็น และเด็กๆ ควรจะได้เรียนรู้กับเจ้าของภาษาโดยตรง
ทั้งนี้ การเตรียมความพร้อมทางด้านภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษให้กับเด็กไทย และคนไทยนั้น ถือเป็นเรื่องดี เพราะโลกเราทุกวันนี้ไร้พรมแดน ไร้เส้นแบ่งกันแล้ว
อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเกี่ยวกับการเตรียมบุคลากรเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ซึ่งน่าสนใจอย่างมาก โดยงานวิจัยของจุฬาฯ ชิ้นนี้มีชื่อว่า "การเตรียมบุคลากรเพื่อรองรับการเปิดตลาดอาเซียน" ระบุว่า "ภาษาไทย" เองจะมีความสำคัญอย่างยิ่ง และไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าภาษาอังกฤษ สำหรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ทั้งในการสื่อสาร และการมีงานทำ โดยจะเป็นภาษากลางของอาเซียนเทียบเท่ากับภาษาอังกฤษ เพราะต่อไปประเทศไทยจะกลายเป็นศูนย์กลางของอาเซียน จากการเปิดเสรีทางการศึกษา งานวิจัยของจุฬาฯ ชิ้นนี้ยังพบว่า ปัจจุบันประเทศเพื่อนบ้านอย่าง สปป.ลาว กัมพูชา และพม่า ก็หันมาสนใจเรียนภาษาไทยมากขึ้นเรื่อยๆ...
ฉะนั้น คำถามที่ตามมาคือ ทั้งๆ ที่ประเทศเพื่อนบ้านของเรายังเห็นถึงความสำคัญของภาษาไทย และหันมาเรียนภาษาไทยกันมากขึ้น แต่ทำไม ศธ.จึงไม่มีนโยบายส่งเสริมให้เด็กไทยพูด และใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องในการสื่อสาร เช่นเดียวกับการส่งเสริมให้เด็กไทยใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร
เพราะเป็นที่รู้ๆ กันว่า ปัจจุบันเด็กไทยรุ่นใหม่พูดภาษาไทยไม่ชัด อ่านภาษาไทยไม่ได้ก็มาก และเขียนภาษาไทยไม่ถูกต้องก็เยอะ ฉะนั้น ศธ.น่าจะถือโอกาสนี้ นอกจากจะส่งเสริมให้เด็กไทย และคนไทยหันมาใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารแล้ว ควรจะต้องถือเป็นนโยบายสำคัญที่จะส่งเสริมให้เด็กไทย และคนไทย หันมาใช้ภาษาไทยในการสื่อสารได้อย่างถูกต้อง
รวมทั้ง ถือโอกาสนี้รณรงค์ให้ "ภาษาไทย" กลายเป็นภาษากลางที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียน เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ในปี 2558