- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- ปฏิรูปการเมือง จาก “ดิเรก” ถึง “สมบัติ” รอส.ส.ร.รื้อกติกา หลังรัฐบาลใหม่
ปฏิรูปการเมือง จาก “ดิเรก” ถึง “สมบัติ” รอส.ส.ร.รื้อกติกา หลังรัฐบาลใหม่
จากวิกฤตความขัดแย้งที่ดำเนินมาร่วม 5 ปีนับแต่เกิดการรัฐประหารขับไล่รัฐบาลทักษิณ
ทางออกที่สังคมได้ร่วมกัน เรียกร้องคือ การเร่งสร้างความสมานฉันท์ของขั้วต่างๆ ไม่ว่า เสื้อเหลือง เสื้อแดง ทักษิณ รัฐบาล กองทัพ เพื่อเดินหน้าสู่ความปรองดองของคนในชาติ
แต่ระหว่างการต่อสู้ของขั้วการเมืองยังดำเนินอย่างเข้มข้นนับแต่รัฐบาลสมัคร-สมชาย-อภิสิทธิ์ ผ่านการชุมนุมของคนเสื้อแดง เสื้อเหลือง และการบังคับใช้กฎหมายที่มีทั้ง ยืดหยุ่นและขึงตึงตามภาวะการณ์ในแต่ละช่วง
แรงกดดันเพื่อให้มีการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ ยกร่างกติกาประเทศใหม่ ให้เกิดความเป็นธรรมและ เกิดการจัดสรรอำนาจของกลุ่มผลประโยชน์ในประเทศนี้ในยุคที่เข้าสู่การเปลี่ยนผ่านก็หนักหน่วงตลอด 3 ปีที่ผ่านมาเช่นกัน
โดยยกเหตุผลว่า รธน.2550 เป็นผลผลิตของคมช. ที่เขียนกติกาให้ฝ่ายตัวเองได้เปรียบผ่าน กลไกที่สร้างขึ้นโดยใช้ “ตุลาการภิวัฒน์” มาขจัดระบอบทักษิณ
เป็นเสียงโจมตีที่เราได้ยินในเวทีคนเสื้อแดง พรรคเพื่อไทย และนักวิชากากลุ่มสีแดง
ทุกครั้งจึงมีข้อเสนอให้ผ่าทางตัน โดยให้ยกร่างรธน.ใหม่ทั้งฉบับ ผ่านกลไกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) แต่ไฟความขัดแย้งที่ยังคุกกรุ่นอยู่ ทำให้การปลุกกระแสแก้รธน.2550 ถูกต่อต้านเพราะไม่ไว้วางใจว่า กระบวนการแก้ไข จะเป็นอิสระ ปราศจากการครอบงำของฝ่ายที่มีอำนาจขณะนั้นหรือไม่
พลังความขัดแย้งที่กำลังดุล ยันกันทั้งสองฝ่าย ไม่มีใครได้อำนาจเด็ดขาด ทำให้ไม่สามารถรื้อรธน.2550 ทั้งฉบับได้ ทว่า ก็มีผลผลิต กับข้อเสนอให้แก้ไขผ่าน “คณะกรรมการระดับชาติ” ถึง 2 ชุด
หนึ่ง คือ คณะกรรมการสมานฉันท์ เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มีดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี เป็นประธาน ตั้งขึ้นเมื่อเดือนเม.ย. 2552 ในรัฐสภาชุดอภิสิทธิ์ เป็นนายกฯ
สอง “คณะกรรมการพิจารณาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ” ที่มี ศ.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ เป็นประธาน ตั้งโดยรัฐบาลอภิสิทธิ์อีกเช่นกัน เมื่อเดือนมิ.ย. 2553 หลังเกิดเหตุ “ม็อบเลือดราชประสงค์” ซึ่งเพิ่งเป็นข่าวเกรียวกราวกับข้อเสนอที่ร้อนฉ่าในการปรับโครงสร้างทางการเมือง
โดยเฉพาะการเสนอให้หัวหน้าพรรคการเมืองที่ได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์เป็นอันดับ 1 ได้เป็นนายกรัฐมนตรี รวมถึง การปรับรูปแบบการอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยไม่ต้องมีการลงมติ โดยมีเสียงโจมตีว่าเป็นข้อเสนอที่เอื้อต่อพรรคประชาธิปัตย์เต็มๆ
ไม่ว่า ฝ่ายไหนจะคิดอย่างไรว่า ช่วยพรรคประชาธิปัตย์ หรือลึกๆเข้าทางพรรคเพื่อไทยเพราะมีแนวโน้มจะได้ที่1 ในการเลือกตั้ง ก็สุดแท้จริงเพราะเป็นข้อเสนอที่ใช่ว่า จะแก้ได้ในวันนี้ แต่ทิ้งเชื้อให้สังคมได้คิดถึงทางออกต่อโครงสร้างการเมืองที่เป็นปัญหาขณะนี้ ผลสรุปของคณะกรรมการฯทั้งสองชุด ต่อการปฏิรูปการเมืองไทยเพื่อคลายความขัดแย้ง มีทั้งระยะสั้น ระยะยาว ซึ่งก็คงเป็นหน้าที่ของ ส.ส.ร.ที่จะเกิดขึ้นในรัฐบาลชุดหน้าที่อาจใช้พิมพ์เขียวนี้ ยกร่าง เขียนกติการธน.ใหม่ หาฉันทามติเดียวกันของทุกกลุ่มการเมืองที่ขัดแย้งกันอยู่
พิมพ์เขียวกก.ชุดดิเรก
สำหรับข้อเสนอของคณะกรรมการฯชุดดิเรกมีระยะสั้น และระยะยาว รวมถึง ระยะเร่งด่วนสุดเพื่อแก้วิกฤตม็อบแดงที่มี 6 ข้อ
1.ประเด็นยุบพรรคการเมือง และการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรค (มาตรา 237) โดยให้ยกเลิกโทษการยุบพรรคการเมือง ส่วนการเพิกถอนสิทธิ ให้เพิกถอนสิทธิเฉพาะตัวผู้สมัครที่ทำความผิด ส่วนถ้าบุคคลนั้นเป็นหัวหน้าพรรคหรือกรรมการบริหาร ก็ควรได้รับโทษที่สูงกว่าสมาชิกปกติ
2.ที่มาของสส. (มาตรา 93-98) ให้ใช้ระบบปี 2540 โดยไม่กำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำของสส.ระบบบัญชีรายชื่อ และให้มีระบบเลือกตั้งแบบเขตเดียวคนเดียว
3.ที่มาของสว. (มาตรา 111-121) ให้ใช้ระบบแบบปี 2540 ผ่านการเลือกตั้งทั้งหมด200 คน เพื่อให้เกิดความยึดโยงกับประชาชน
4.การทำหนังสือสัญญาที่ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา (มาตรา 190) ให้คงหลักการเดิมแต่เพิ่มเติมข้อความในวรรคห้าให้กำหนดประเภทของหนังสือสัญญาที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา
5.การดำรงตำแหน่งทางการเมืองของสส. (มาตรา 265) ให้สส. สามารถดำรงตำแหน่งทางการเมือง อาทิ เลขาหรือที่ปรึกษารัฐมนตรีได้เพื่อให้สส. มีโอกาสตอบสนองความต้องการของประชาชน
6.การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนของสส. และสว. (มาตรา 266) เพื่อให้สส. และสว. ช่วยเข้าไปแก้ปัญหาของประชาชนผ่านส่วนราชการได้
ขณะที่แนวทางในการปฏิรูปการเมือง คณะกรรมการฯ เห็นควรทำเป็น 3 ระยะ คือระยะสั้น 1 ปี ระยะกลาง 3 ปี และระยะยาว 5 ปี มีแนวทางดังนี้
1.ระยะสั้นและระยะกลางควรจัดตั้งคณะทำงานของรัฐสภาเพื่อศึกษาโครงสร้างของรัฐธรรมนูญและกฎหมายในประเด็นที่ไม่เป็นประชาธิปไตยและไม่เป็นธรรม
2.ระยะกลางและระยะยาว ให้มีองค์กรทางวิชาการที่รับผิดชอบและประสานงานด้านการสร้างองค์ความรู้และการเผยแพร่ความรู้ด้านประชาธิปไตย
3.ระยะยาว ให้มีการตั้งองค์กรพิเศษเพื่อพิจารณาปฏิรูปการเมืองของรัฐสภา เป็นองค์กรเอกเทศที่เชื่อมโยงกับรัฐสภา โดยทำหน้าที่ประสานให้แผนงานปฏิรูปการเมืองไปสู่การปฏิบัติ
4.ในกรณีที่ต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญควรให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือส.ส.ร.3 เพื่อปรับปรุงแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งระยะสั้น กลาง และยาว โดยควรปรับปรุงรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ เพื่อสร้างความยั่งยืน โดยยึดแนวทางของกรรมการฯ ที่เสนอ
ในรายงานของคณะกรรมการฯ ยังระบุถึงแนวทางการสร้างความสมานฉันท์ ในบ้านเมือง ระยะเร่งด่วน คือ การคืนสิทธิและความเป็นธรรมให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้รัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น กรรมการบริหารพรรคที่ถูกยุบและถูกตัดสิทธิทางการเมือง นอกจากนี้ ให้ทุกฝ่ายลดวิวาทะ ลดทิฐิ อคติ การตอบโต้ใส่ร้ายทางการเมือง โดยเฉพาะ รัฐบาลและฝ่ายค้าน ควรใช้กลไกสภา เป็นเวทีแก้ปัญหา โดยโฆษกประจำตัวหัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (เทพไท เสนพงศ์) แกนนำรัฐบาล โฆษกพรรคฝ่ายค้าน (พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์) ควรลดคำพูดที่กล่าวหา ใส่ร้ายประชดประชัน ให้สื่อมวลชนทุกแขนงเข้ามาเป็นเครือข่ายสร้างพื้นที่สมานฉันท์
ขณะเดียวกันควรจัดให้มีกระบวนการเจรจาเพื่อสันติ แนวทางการปฏิบัติคือ ให้รัฐสภาเป็นเจ้าภาพจัดให้มีกระบวนการเจรจาระหว่างผู้ขัดแย้งทั้งการเปิดเผยบนโต๊ะเจรจาและการประสานงานอย่างไม่เป็นทางการ รวมถึง การตั้งสมัชชาสมานฉันท์ส่วนภูมิภาค โดยให้รัฐสภาเป็นเจ้าภาพประสานกับ หน่วยงานในท้องถิ่น ทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์การบริหารส่วนตำบล สถาบันการศึกษา องค์กรเอกชน และสภาพัฒนาการเมือง เพื่อจัดเวทีสมัชชา 4 ภาค รับฟังข้อเสนอของประชาชนในเรื่องสมานฉันท์
ชุด “สมบัติ” ยกเครื่องการเมือง รื้อใหญ่ยุติธรรม
หันมาดู ผลสรุปของคณะกรรมการชุด ศ.สมบัติ ซึ่งรัฐบาลเด็ดยอดไปแก้แล้ว 2 จาก 6 ประเด็นกรรมการฯได้ ศึกษาจากข้อสรุปของกรรมการสมานฉันท์ฯ คือ การเปลี่ยนระบบเลือกตั้ง ส.ส.เป็นแบบเขตเดียวคนเดียว และ แก้มาตรา 190 เรื่องการลงนามในสนธิสัญญาระหว่างประเทศ
ส่วน 4 ข้อที่ให้สังคมขบคิดคือ ระบบวุฒิสภา ควรมีทั้ง ส.ว.เลือกตั้ง และส.ว.สรรหา ห้ามส.ส. และส.ว. เป็นที่ปรึกษา และเลขานุการรัฐมนตรี . ห้ามส.ส. ส.ว. แทรกแซงการทำงานฝ่ายบริหาร แต่สามารถแจ้งความเดือดร้อนของประชาชนเป็นลายลักษณ์อักษรไปยังหน่วยงานรัฐได้ และ ยกเลิกการยุบพรรค แต่ขยายเวลาตัดสิทธิ์กรรมการบริหารและหัวหน้าพรรค เป็น 10 และ 15 ปี
นั่นเป็นข้อเสนอแบบไวไวควิกให้ทำภายในรัฐบาลนี้ ส่วนผลสรุประยะยาวต่อการปรับปรุง โครงสร้างทางการเมืองและกระบวนการยุติธรรมที่แถลงไว้ล่าสุดเมื่อกลางเดือนก.พ. 2554 มีหลายประเด็นน่าสนใจ ทีมงานไทยรีฟอร์มขอคัดมาลงละเอียดอีกครั้ง
1. โครงสร้างของสถาบันการเมือง
1.1 ประมุขของประเทศ
ประมุขของประเทศ ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
1.2 ฝ่ายบริหาร
(1) หัวหน้าฝ่ายบริหาร ให้หัวหน้าของพรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนเสียงสูงสุดจากระบบบัญชีรายชื่อมีสิทธิในการจัดตั้งรัฐบาลและดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
(2) ฝ่ายบริหารมีอำนาจยับยั้งกฎหมายที่กระทบกับการบริหารงานของรัฐบาลที่เสนอโดยฝ่ายนิติบัญญัติ
1.3 ความเป็นอิสระระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ
(1) รัฐบาลไม่มีสิทธิยุบสภาผู้แทนราษฎรในขณะเดียวกันสภาผู้แทนราษฎรก็ไม่มีสิทธิอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี แต่สามารถอภิปรายทั่วไปได้ ทั้งนี้ กระบวนการตรวจสอบโดย
ฝ่ายนิติบัญญัติยังคงอยู่เช่นเดิม เช่น การตรวจสอบโดยตัวแทนของประชาชนโดยคณะกรรมาธิการ และการตั้งกระทู้ถามในสภา
(2) กระบวนการถอดถอนฝ่ายบริหาร อาจเกิดจากกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดทางอาญา หรือกรณีที่เป็นความผิดทางกฎหมายที่ไม่ใช่คดีอาญา ข้อกล่าวหาดังกล่าวให้ ป.ป.ช. ไต่สวน ถ้ามีมูลให้ส่งเรื่องให้วุฒิสภาเพื่อพิจารณาถอดถอนต่อไป
1.4 สถาบันนิติบัญญัติ
รัฐสภาประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา โดยให้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
1.5 สภาผู้แทนราษฎร
(1) การลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส.ไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง
(2) ฝ่ายบริหารและข้าราชการการเมืองต้องไม่เป็นสมาชิกรัฐสภา
(3) การเลือกตั้ง ส.ส. ให้ใช้การเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อและการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง โดยให้เขตเลือกตั้ง 1 เขต เลือกสมาชิกสภาผู้แทนฯ ได้ 1 คน และให้มีสมาชิกสภาผู้แทนฯ แบบบัญชีรายชื่อครึ่งหนึ่งของสมาชิกสภาทั้งหมด
(4) สภาผู้แทนราษฎร มีอำนาจหน้าที่หลัก 3 ประการ คือ ตรากฎหมาย ควบคุมงบประมาณแผ่นดิน และตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล
1.6 วุฒิสภา
(1) ส.ว.ให้มาจากการเลือกตั้งทางตรงโดยอาจแบ่งจังหวัดออกเป็น 3 กลุ่ม จังหวัดขนาดใหญ่มีส.ว.3 คน จังหวัดขนาดกลาง 2 คน และจังหวัดขนาดเล็ก 1 คน โดยผู้สมัครรับเลือกตั้งจะต้องไม่สังกัดพรรคการเมือง
(2) ให้วุฒิสภา มีอำนาจเสนอร่างกฎหมาย ถอดถอนฝ่ายบริหารกรณีที่ส่อว่าใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง และการไต่สวนมูลเหตุของการถอดถอนในขั้นตอนของ ป.ป.ช. ก่อนเสนอวุฒิสภา ให้ดำเนินการภายในระยะเวลาไม่เกิน 30 วัน เว้นแต่กรณีที่เป็นเรื่องที่มีความยุ่งยากซับซ้อนอาจขยายระยะเวลาได้ไม่เกินสองครั้ง ๆ ละไม่เกิน 30วัน
2. พรรคการเมือง
2.1 กำหนดให้การจัดตั้งพรรคการเมืองมีความเป็นอิสระ การบริหารจัดการพรรคการเมืองและการดำเนินกิจกรรมพรรคการเมืองต้องสะท้อนหลักประชาธิปไตย
2.2 การเสนอนโยบายของพรรคการเมือง ควรมีรายละเอียดเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่านโยบายดังกล่าวเมื่อดำเนินการแล้วจะสามารถทำให้ประชาชน สังคม หรือประเทศได้ประโยชน์จากนโยบายนั้นอย่างไร
2.3 การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง รัฐต้องสนับสนุนให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งเข้าถึงประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งอย่างเท่าเทียมกัน
2.4 ให้ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลสามารถบริจาคภาษีของตน โดยเปิดโอกาสด้วยความสมัครใจ ให้สนับสนุนพรรคการเมืองได้ไม่เกินร้อยละหนึ่งของภาษีที่บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลนั้นจะต้องจ่ายให้รัฐ
3. องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ
3.1 ควรกำหนดให้มีองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญเพียง 3 องค์กร คือ คณะกรรมการการเลือกตั้ง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ส่วนองค์กรอื่นยังคงอยู่แต่ไม่จำเป็นต้องบัญญัติรายละเอียดไว้ในรัฐธรรมนูญ
3.2 องค์ประกอบของคณะกรรมการสรรหา ควรประกอบด้วย ฝ่ายตุลาการ ฝ่ายการเมือง ผู้ทรงคุณวุฒิ และ/หรือผู้เชี่ยวชาญจากสายวิชาชีพ
3.3 กระบวนการสรรหา ควรมีการกำหนดให้ชัดเจนและอย่างน้อยจะต้องมีสาระสำคัญดังต่อไปนี้
3.3.1 กำหนดหลักเกณฑ์การสรรหาที่จะต้องนำประสบการณ์หรือผลงานมาเป็นพื้นฐานในการพิจารณาความเหมาะสมกับตำแหน่งนั้น ๆ
3.3.2 กระบวนการสรรหาจะต้องมีความโปร่งใส เปิดโอกาสให้สาธารณชนสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ได้รับการสรรหาได้
3.4 ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจในการจัดการการเลือกตั้งและการวินิจฉัยเบื้องต้น
การอุทธรณ์คำวินิจฉัยให้โต้แย้งไปยังศาลเลือกตั้ง โดยกำหนดให้มีศาลเลือกตั้งซึ่งประกอบด้วยผู้พิพากษาประจำศาลจังหวัดและ/หรือตุลาการศาลปกครองในเขตเลือกตั้งนั้น การพิจารณาของศาลเลือกตั้งให้ใช้กระบวนการพิจารณาตามหลักไต่สวน โดยศาลจะต้องดำเนินการพิจารณาโดยเร่งด่วน
3.5 ปัจจุบันมีเรื่องกล่าวหาเกี่ยวกับการทุจริตเป็นจำนวนมากในขณะที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่สามารถตรวจสอบไต่สวนเรื่องได้ทัน เห็นควรให้มีการแก้ไขปรับปรุง ดังนี้
3.5.1 ในกรณีที่มีข้อกล่าวหาว่ามีการกระทำทุจริตโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ ให้หน่วยงาน ต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นรายงานให้สำนักงาน ป.ป.ช. ทราบและดำเนินการตรวจสอบไต่สวน เมื่อสรุปผล
ได้แล้วให้รายงานผลไปยังสำนักงาน ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป กรณีที่มีการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการทุจริต ให้พนักงานสอบสวนดำเนินการสอบสวน สรุปผลเป็นประการใดให้แจ้งสำนักงาน ป.ป.ช. หากเป็นหัวหน้าส่วนราชการหรือรองหัวหน้าส่วนราชการถูกร้องเรียนให้ส่งเรื่องไปให้สำนักงาน ป.ป.ช. โดยให้ ป.ป.ช. เป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบไต่สวน
3.5.2 ควรมีการกำหนดเงื่อนเวลาในการไต่สวนในเรื่องที่มีความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประเทศ
3.5.3 ให้ ป.ป.ช. สามารถเปิดเผยข้อมูลของข้าราชการ นักการเมืองและบุคคลสาธารณะได้ ทั้งนี้ เพื่อวัตถุประสงค์ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตหรือเพื่อประโยชน์สาธารณะ
3.5.4 ปรับปรุงกฎหมายให้ ป.ป.ช. มีอำนาจในการแสวงหาข้อเท็จจริงรวมทั้งมีอำนาจในการสืบสวนสอบสวนเพิ่มขึ้น
4. ความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายการเมืองกับฝ่ายประจำ
การแต่งตั้งหัวหน้าส่วนราชการ เช่น ปลัดกระทรวงหรืออธิบดีให้ฝ่ายบริหารเป็นผู้เสนอชื่อต่อสมาชิกวุฒิสภาผ่านกระบวนการไต่สวนประวัติโดยเปิดเผยต่อสาธารณะ
5. การกระจายอำนาจ
5.1 การแบ่งอำนาจหน้าที่ระหว่างรัฐบาลกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ควรยกประเด็นเรื่องการแบ่งอำนาจหน้าที่ระหว่างรัฐบาลกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยกันเองขึ้นเป็นวาระแห่งชาติ และเร่งกำหนดมาตรการเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือกับกระบวนการกระจายอำนาจอย่างจริงจัง โดยรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐบาลทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคควรทำหน้าที่หลักในการเป็นผู้กำหนดนโยบาย มาตรฐานทำงานและการบริการสาธารณะ กรอบแนวทางปฏิบัติ รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สามารถบริหารจัดการภารกิจตามอำนาจหน้าที่ของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ควรทำหน้าที่เป็นผู้ปฏิบัติ หรือผู้จัดบริการสาธารณะเสียเอง ยกเว้นเรื่องที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่สามารถทำได้ หรือเรื่องที่เป็นเรื่องระดับชาติ เช่น การทหาร การทูต เป็นต้น
5.2 การปฏิรูปองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ควรปรับปรุงรูปแบบ โครงสร้าง รายได้ และจำนวนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเพิ่มขนาดให้ใหญ่ขึ้น และลดจำนวนลงเพื่อให้สอดคล้องกับศักยภาพในการบริหารงานของแต่ละองค์กร รวมทั้งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอิสระในการจัดหารายได้และการบริหารงานภายในหน่วยงานของตนเอง (Home Rules) มากขึ้น
5.3 การปฏิรูประบบภาษี
ควรปฏิรูประบบภาษีใหม่ทั้งระบบ โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีรายได้จากภาษีที่มีฐานภาษีอยู่ในท้องถิ่น และสามารถจัดเก็บภาษีเหล่านั้นได้เองมากขึ้น ภาษีดังกล่าวควรมีจำนวนมากเพียงพอที่จะสามารถดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และตามภารกิจที่ได้รับการถ่ายโอนจากราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5.4 การมีส่วนร่วมของประชาชน
ควรส่งเสริมบทบาทของชุมชนและผู้นำชุมชนให้เข้ามามีบทบาทในการตรวจสอบการบริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เป็นไปด้วยความโปร่งใส โดยทบทวนที่มาของสมาชิกสภาท้องถิ่นให้มีที่มาโดยวิธีการอื่น นอกเหนือจากการเลือกตั้ง เช่น วิธีการสรรหา หรือการขอฉันทานุมัติของประชาชน เป็นต้น
6. การปรับระบบกระบวนการยุติธรรม
6.1 ตำรวจ
โครงสร้างตำรวจยังมีการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลาง การจัดวางระบบอำนาจหน้าที่ของตำรวจยังไม่มีความเหมาะสม ยังขาดแคลนเครื่องมือเครื่องใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ให้เกิดประสิทธิภาพเงินเดือน ค่าตอบแทน สิทธิประโยชน์ที่ตำรวจได้รับไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ และยังขาดการพัฒนาศักยภาพ เป็นผลให้ไม่สนองตอบต่อการให้บริการและการให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชน จึงมีข้อเสนอในการปฏิรูปองค์กร ดังนี้
(1) การแยกงานสอบสวนออกจากงานของตำรวจ ออกมาเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมโดยมีหลักการสอบสวนเช่นเดียวกับอัยการและศาล โดยกำหนดให้คดีอาญาแผ่นดินให้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวน สำหรับคดีลหุโทษ และคดีที่ยอมความได้ให้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของตำรวจและให้ตำรวจรับผิดชอบคดีอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในอำนาจของพนักงานสอบสวน
(2) กระจายอำนาจตำรวจจากส่วนกลางสู่ระดับจังหวัด โดยมีคณะกรรมการบริหารงานตำรวจระดับจังหวัดโดยเฉพาะ ซึ่งประกอบด้วยประชาชน อัยการ ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการคุมประพฤติ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงานสามารถรับรู้ปัญหาในพื้นที่ได้อย่างแท้จริงและเป็นที่ยอมรับของประชาชน
(3) การเพิ่มบุคลากรในการปฏิบัติหน้าที่ โดยจัดให้มีตำรวจอาสาสมัครให้มาช่วยเหลือการปฏิบัติงานของตำรวจ เปิดรับสมัครจากคนในท้องที่ รวมทั้งการเพิ่มจำนวนตำรวจและพนักงานสอบสวนหญิง
ในการทำงานเพื่อปฏิบัติงานในคดีเกี่ยวกับเพศ ความรุนแรง เด็ก เยาวชน และการค้ามนุษย์
(4) การปรับเงินเดือนค่าตอบแทน และจัดหาทรัพยากรที่เหมาะสมในการปฏิบัติงาน โดยการปรับฐานเงินเดือน ค่าตอบแทน สวัสดิการ สิทธิประโยชน์ให้เหมาะสม
(5) การพัฒนาความรู้ความสามารถของตำรวจ โดยมีสถาบันทางวิชาการของตำรวจ (Police Academy) โดยรวมหน่วยทางการศึกษาของตำรวจทั้งหมดไว้เพียงหน่วยเดียว และยกระดับหลักสูตรการเรียนการสอนให้ตำรวจมีความรู้ความสามารถในการบังคับใช้กฎหมายและทันต่อรูปแบบของอาชญากรรมที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง และเพื่อให้วิทยาการของตำรวจได้มีการศึกษาเรียนรู้อย่างแพร่หลาย สมควรให้สถาบันการศึกษาอื่น ๆ สามารถเปิดหลักสูตรการเรียนการสอนในวิชาการตำรวจ และผู้จบหลักสูตรดังกล่าวสามารถเข้ารับการบรรจุ การเลื่อนตำแหน่งข้าราชการตำรวจได้
(6) กำหนดให้ตำรวจมีงบประมาณปฏิบัติหน้าที่อย่างเพียงพอ โดยมิให้กำหนดค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานรวมไว้ในเงินเพิ่มประจำตำแหน่ง และ/หรืองาน จัดให้มีกองทุนประเภทต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ และกำหนดให้รัฐอุดหนุนงบประมาณรายจ่ายให้เพียงพอต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ
6.2 อัยการ
โครงสร้างอัยการในปัจจุบันเป็นเช่นเดียวกับตำรวจ คือ มีการรวมศูนย์อำนาจ อำนาจหน้าที่ของพนักงานอัยการยังไม่มีความเหมาะสมในการอำนวยความยุติธรรม การเกิดผลประโยชน์ขัดกันกับการปฏิบัติหน้าที่ เช่น การเข้าไปดำรงตำแหน่งกรรมการ ที่ปรึกษาในรัฐวิสาหกิจ หรือองค์กรอื่น จึงมีข้อเสนอในการปฏิรูปอัยการ ดังนี้
(1) ห้ามมิให้พนักงานอัยการไปดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจหรือกิจการอื่นของรัฐ โดยไม่มีข้อยกเว้น
(2) ให้มีองค์กรที่ทำหน้าที่ในการพิจารณาสั่งฟ้องคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นการเฉพาะ ซึ่งอาจเรียกชื่อว่า "คณะกรรมการอัยการพิเศษ" เป็นคณะกรรมการเฉพาะกิจสำหรับแต่ละคดี
(3) ห้ามมิให้พนักงานอัยการไปดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษากฎหมายในรัฐวิสาหกิจหรือกิจการอื่นของรัฐ
(4) ให้การบริหารงานบุคคลของอัยการมีคณะกรรมการอัยการโดยมีโครงสร้างในแนวทางเดียวกับคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม โดยกำหนดให้อัยการสูงสุดเป็นประธานกรรมการ และกำหนดให้มีตัวแทนของข้าราชการอัยการในแต่ละระดับชั้น (ยกเว้นข้าราชการอัยการชั้นหนึ่งและชั้นสอง) ทำหน้าที่เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการอัยการ
(5) การให้คำปรึกษา ตรวจร่างสัญญาหรือเอกสารทางกฎหมายที่อาจส่งผลกระทบต่อการบริการสาธารณะ หรือเกี่ยวกับโครงการที่มีวงเงินหรือทรัพย์สินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป สำนักงานอัยการสูงสุดต้องพิจารณาในลักษณะเป็นองค์คณะ โดยจะต้องจัดตั้งเป็นคณะกรรมการเฉพาะกิจให้สำนักงานอัยการสูงสุดมีหน้าที่ต้องรายงานข้อมูลการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวแก่ ป.ป.ช. สตง. และรัฐสภา รวมทั้งจัดทำรายงานประจำปีเสนอต่อสาธารณชน
(6) ในคดีที่มีโทษอุกฉกรรจ์ กำหนดให้พนักงานอัยการมีอำนาจหน้าที่สอบสวนร่วมกับพนักงานสอบสวน เพื่อให้คำแนะนำและร่วมตรวจสอบพยานหลักฐานตั้งแต่ชั้นเริ่มสอบสวน
6.3 ศาล
การพิจารณาคดีของศาล นอกจากจะต้องดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว ยังต้องคำนึงถึงความยุติธรรม และยึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรมด้วย จึงมีข้อเสนอในการปฏิรูปดังนี้
(1) กำหนดให้การพิจารณาคดีของศาล นอกจากจะต้องดำเนินการไปตามกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญ และในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์แล้ว ยังต้องคำนึงถึงความยุติธรรมด้วย
(2) ปรับบทบาทการพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา โดยให้ศาลอุทธรณ์สามารถสืบพยานเพิ่มเติมได้หากมีข้อสงสัยในข้อเท็จจริงเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม และให้ศาลฎีการับฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายหรือเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
(3) กำหนดคุณสมบัติของผู้สอบผู้พิพากษา ต้องมีอายุ 30 ปี และให้ผู้ทรงคุณวุฒิทางกฎหมายมาทำหน้าที่ผู้พิพากษาในชั้นอุทธรณ์และฎีกาได้ และให้ผู้ประกอบอาชีพอื่นมาทำหน้าที่ผู้พิพากษาสมทบ
(4) ให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณเพื่อการดำเนินงานของศาล โดยกำหนดอัตรา ไม่ต่ำกว่าร้อยละของงบประมาณรายจ่ายประจำปี
…. ทั้งหมดเป็นพิมพ์เขียวของคณะกรรมการฯทั้งสองคณะที่ชงให้ ส.ส.ร. 3 พิจารณา โดยคาดว่า จะเกิดขึ้นในปี 2555 หลังการเลือกตั้งได้รัฐบาลใหม่