- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- “เทศบาลนครศรีฯ” กับกระจายอำนาจที่ก้าวนำ “ดูแลทั่วถึงทุกชีวิต”
“เทศบาลนครศรีฯ” กับกระจายอำนาจที่ก้าวนำ “ดูแลทั่วถึงทุกชีวิต”
ผ่านมาแล้วเกือบ 20 ปีของการกระจายอำนาจในประเทศไทย ท่ามกลางความสงสัยกันว่าการกระจายอำนาจที่ผ่านมา มีความก้าวหน้าหรือมีอะไรที่ต่างจากรัฐบาลส่วนกลางทำบ้างหรือไม่อย่างไร น่าจะหาคำตอบกันในเรื่องนี้
เทศบาลก็เรียนนานาชาติได้
“ที่เทศบาลของเรามีโรงเรียนนานาชาติที่สร้างด้วยเงินของเทศบาลเก็บค่าเทอมถูกมากเมื่อเทียบกับโรงเรียนนานาชาติที่ทำโดยเอกชน เพราะเราไม่ได้เอากำไร นอกจากนี้ยังมีโรงพยาบาล 2 หมื่นเตียงด้วย” ดร.กณพ เกตุชาติ ที่ปรึกษานายกเทศบาลนครศรีธรรมราช บอกถึงการกระจายอำนาจที่ทำให้เทศบาลนครมีความเจริญและความมั่นคงเรื่องคุณภาพชีวิตประชาชนมากขึ้น
ดร. กณพ เล่าให้ฟังถึงรายละเอียดว่า หลังจากได้ปักหลังทำงานในพื้นที่มากว่า 20 ปี โดยการทำงานของเราเน้นวางรากฐานเรื่องการศึกษาและเรื่องสาธารณะสุข โดยปรัชญาการทำงานเรื่องการศึกษานั้น ได้พยายามจัดการศึกษาให้ครบตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่ที่มีความต้องการไม่เหมือนกัน ทางเทศบาลจึงจัดรูปแบบโรงเรียนที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่โรงเรียนเด็กเล็ก โรงเรียนชั้นประถม โรงเรียนมัธยม โรงเรียนนานาชาติ และโรงเรียนการศึกษานอกระบบ
เขาขยายความว่า นอกจากจะมีโรงเรียนต่างๆแล้ว ยังมีโครงการพิเศษที่แทรกเข้าไปเพื่อให้เด็กมาเรียนให้มากที่สุดด้วย โดยเฉพาะเด็กเร่ร่อนและเด็กที่ไม่ไปโรงเรียน ที่เราลงพื้นที่ไปดูว่าเกิดจากอะไร และพบว่าเป็นเพราะเด็กเหล่านี้มีฐานะยากจน ต้องช่วยพ่อแม่ทำงาน และบางส่วนต้องอยู่กับคนแก่เช่น ปู่ย่า ตายาย เพราะพ่อแม่ทิ้ง ทำให้เด็กเหล่านี้ขาดโอกาสในการศึกษา ต้องทำงานเพื่อหาเลี้ยงตัวเองแทนที่จะได้ไปโรงเรียน
ทางเทศบาลจึงแก้ปัญหานี้ด้วยการนำรถนักเรียนไปรับเด็กเหล่านี้ตามจุดต่างๆ ให้เขามาเรียนหนังสือ โดยให้มากินอาหารเช้าและเที่ยงที่โรงเรียนเพราะต้องการให้เด็กกินอิ่มก่อน จากนั้นก็จะมีเสื้อผ้า หนังสือ ก่อนกลับบ้านก็เอาอาหารใส่ถุงกลับไปด้วยและให้เงินคนละ 40 บาท และนำรถไปส่งตามจุดต่างๆ โดยจ่ายเป็นรายวันไปเลย เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับเด็กที่ฐานะยากจน
บางทีผู้ปกครองอยากให้ลูกมาเรียน แต่ต้องให้ลูกไปช่วยทำงาน เพราะไม่มีเงิน พอมีระบบนี้เด็กก็มาเรียนกันเยอะเพราะพ่อแม่ก็อยากให้ลูกมาเรียนอยู่แล้ว
ทั้งนี้ในส่วนของเด็กที่จบ ป. 6 แล้วต้องทำงานเพื่อหาเลี้ยงครอบตัวทั้งๆที่เขาอยากเรียนต่อ ทางเทศบาลก็จัดการศึกษานอกระบบ (กศน.)ในชั้นมัธยมศึกษาให้เด็กเหล่านี้ โดยให้มาเรียนภาคค่ำ มาถึงก็ให้รับประทานอาหารเย็นกันก่อน โดยจัดให้มีบรรยากาศการเรียนการสอนเป็นอย่างดีเรียนให้ห้องแอร์ และเอาอาจารย์ดีๆ มาสอน และเมื่อเด็กจบ ม.6 ก็สามารถมารับทุนจากเทศบาลเพื่อไปราชภัฎได้
นอกจากนี้ยังมีโครงการจัดการศึกษาเพื่อเด็กออทิสติกโดยผู้ปกครองมาฝากเรียนที่เทศบาล ทั้งระบบการศึกษาที่กล่าวมานี้ทางเทศบาลนครดูแลอยู่ประมาณ 1. 1 หมื่นคน จากประชากรที่เรามีทั้งหมดประมาณ 1 แสนคน
“ที่เราจัดการศึกษาได้และเป็นที่ยอมรับ เพราะเรามีความใกล้ชิดกับประชาชนตลอดเวลา ซึ่งเป็นผลมาจากการกระจายอำนาจให้กับท้องถิ่น ที่ทำให้เราสามารถจัดรูปแบบการศึกษาที่เหมาะสมกับที่ประชาชนต้องการ และทำได้ดีและล้ำหน้ากว่ากระทรวงศึกษามาก งบที่ได้ปีละ 600 ล้าน แต่ถ้าบริหารดีๆ ไม่มีคอรัปชั่นก็พออยู่แล้ว แบ่งเป็นเรื่องการศึกษา 50% รองลงมาเป็นเรื่องสาธารณสุข ที่เหลือเป็นเรื่องสาธารณูปโภค ทั้งนี้ปัญหาอุปสรรคก็มีบ้าง แต่ก็แก้กันได้เพราะส่วนใหญ่เป็นเรื่องกฎระเบียบที่ยังไม่ทันสมัย เพราะเทศบาลของเราก้าวหน้าไปมากกว่าเยอะ ” ดร.กณพ กล่าว
โดยความเป็นเลิศทางวิชาการนั้น โรงเรียนเทศบาลวัดเสนาเมือง ที่เทศบาลดูแลสามารถสอบได้ที่ 1 ของประเทศทุกปี นอกจากนี้ยังมีการสร้าง “โรงเรียนนานาชาติเทศบาลนคร นครศรีธรรมราช” เพราะเราพบว่าคนในเขตเทศบาล 50% เป็นคนยากจน 40% เป็นคนชั้นกลาง 10% เป็นคนรวย โดยที่นครศรีธรรมราชไม่ว่าจะรวยหรือจนคนจะนิยมเรื่องการศึกษามาก โดยหากเป็นคนรวยและคนชั้นกลางจะส่งลูกไปเรียนที่หาดใหญ่ ที่ภูเก็ต เพราะมีมาตรฐานที่ดีกว่า แต่พ่อแม่เด็กก็จะมาบอกว่ารู้สึกไม่สบายใจเพราะลูกต้องไปเรียนตั้งแต่เด็กหรือไม่ก็เป็นวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ อยากให้อยู่ที่บ้านมากกว่า
อีกทั้งยังพบด้วยว่า เด็กที่อยู่ในกลุ่มคนรวยถ้าไปเรียนที่อื่น ตั้งแต่เด็กๆ พอจบแล้ว ส่วนใหญ่จะไม่กลับบ้าน เพราะเขาไม่มีเพื่อน ไม่มีความสัมพันธ์ในพื้นที่ ดังนั้นเป็นโจทย์ให้เราคิดว่าต้องทำการศึกษาให้มีมาตรฐานเหมือนกับที่เรียนที่กรุงเทพฯ จึงตัดสินใจสร้างโรงเรียนนานาชาติขึ้นมา เพื่อเพราะให้เด็กๆเหล่านี้ พอจบไปก็สามารถเคียงบ่าเคียงไหล่ฝรั่งได้ โดยมีสโลแกนว่า “มีรากเป็นชาวนคร แต่เป็นประชากรของโลก” เพื่อให้เขาไปที่ไหนก็ได้ในโลกนี้ เพราะจะให้เรียนเหมือนฝรั่งทุกอย่าง ใช้หลักสูตรของอเมริกัน เด็กที่จบจากที่นี่สามารถไปต่อมหาวิทยาลัยในต่างประเทศได้เลย เพราะเราใช้ข้อสอบเดียวกับอเมริกัน ทั้งนี้โรงเรียนนานาชาติที่นี่รับปีละ 50 คน ค่าเรียนเทอมละ 6 หมื่นบาท ถือว่าถูกที่สุดในประเทศไทย โดยสามารถให้ผู้ปกครองที่เป็นคนชั้นกลางผ่อนเดือนละ 1 หมื่นบาทได้ด้วย
เมื่อได้สอบถามโครงการโรงพยาบาล 2 หมื่นเตียง ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร โรงพยาบาลอะไรจะใหญ่โตได้ขนาดนั้น ดร.กณพ เฉลยให้ฟังว่า ความจริงแล้วโรงพยาบาลของเรามีเตียงเพียงแค่ 70 เตียงเท่านั้น แต่มีคนมารักษาพยาบาลถึงวันละ 600- 700 คน ถือว่าเยอะมาก เราเห็นปัญหานี้และพบว่าคนที่มีฐานะยากจนมาโรงพยาบาลมีข้อจำกัดหลายอย่าง ดังนั้น การ “เอาหมอไปหาคนไข้” ดีกว่า “ให้คนไข้มาหาหมอ” ทางเทศบาลตัดสินใจให้คนที่ป่วยไม่สบายให้อยู่ที่บ้านดีกว่าเพราะมีญาติคอยดูแล โดยเราจะจัดเตียงเหล็ก เครื่องดูดเสมหะ ออกซิเจน รวมถึงอุปกรณ์ต่างๆที่จำเป็น นำไปใช้ที่บ้าน
“ดังนั้นจำนวน 2 หมื่นเตียง จึงอยู่ที่บ้านของชาวบ้านเอง โดยเมื่อจัดอุปกรณ์สำหรับผู้ป่วยเสร็จเรียบร้อยแล้ว หมอก็จะไปเยี่ยมที่บ้าน ตอนนี้มีสมาชิกประมาณ 6,000 คน ซึ่งตรงนี้ไม่ได้ใช้งบมากนัก เพราะเราใช้งบจากสำนักงานประกันสุขภาพแห่งชาติ(สป.สช.) ที่จ่ายเป็นรายหัวแต่เรานำมาบริหารจัดการเอง และโครงการที่จะทำต่อไปคือ การเพิ่มหมอ เพิ่มพยาบาล การป้องกันโรคหัวใจ เพราะมีประชาชนเสียชีวิตโรคนี้จำนวนมาก โดยเรามีโครงการป้องกันโรคอ้วน โดยมีสมาชิกประมาณ 1,800 คน โดยให้ชาวบ้านมาเจาะเลือด ตรวจไขมัน และน้ำตาล จากนั้นให้ชาวบ้านไปออกกำลังกาย อย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 วัน โดยมีคูปองให้ครั้งละ 20 บาท เพื่อนำไปแลกซื้อสินค้าที่ร้านค้าของเทศบาล หลังจากนั้น 3 เดือนจะนัดมาเจาะเลือดอีกที ใครที่ไขมันลดลงก็จะมีโบนัสเป็นรางวัลให้ด้วย” ดร.กณพ ปิดท้ายให้ฟังด้วยความภาคภูมิใจ
ต้องปฏิรูปพลเมือง ให้รู้สึกเป็นเจ้าของภาษี
เชื่อแน่ว่าภาพการทำงานอย่างจริงจังจนอำนาจไปอยู่ที่มือของท้องถิ่นแบบ “เทศบาลนคร นครศรีธรรมราช” ใครๆก็อยากให้เกิดขึ้นในท้องถิ่นตัวเองและท้องถิ่นต่างๆ ทั่วไปประเทศ แต่เหตุใดจึงยังไม่เป็นเช่นนั้น
รศ.ดร. โกวิทย์ พวงงาม อาจารย์ประจำคณะสังคมสงเคราะห์และมนุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการกระจายอำนาจ ระบุว่า การกระจายอำนาจที่เกิดขึ้น 10 ปีที่ผ่านมา ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้วางนัก เพราะเราต้องการให้ประชาชนสามารถจัดการทรัพยากรท้องถิ่นและสามารถกำหนดความต้องการเชิงนโยบายของตัวเองได้ในพื้นที่ แต่ประชาธิปไตยกระจายอำนาจแบบไทยๆ ยังถูกกำหนดจากบนลงล่าง ทำให้สิ่งที่รัชกาลที่ 5 ,6,7 และ 9 ต้องการให้ประชาธิปไตยมาจากรากฐานท้องถิ่นยังไม่มีความเป็นจริง อำนาจในการจัดสรรทรัพยากรยังอยู่ในมือของกลุ่มทุนและผู้มีอำนาจเป็นส่วนใหญ่ และอำนาจส่วนกลางยังมีมากเกินไป
อีกทั้งประชาชนยังถูกครอบงำแบบอุปถัมภ์นิยมจากส่วนกลางมากกว่าท้องถิ่น ยังไม่มีความสึกนึกเป็นเจ้าของทรัพยากรท้องถิ่นหรือจิตสำนึกสาธารณะในท้องถิ่น การกระจายอำนาจที่เกิดจึงเป็นเพียงรูปแบบแต่ยังไม่มีการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมจากประชาชนอย่างแท้จริง เป็นการมีส่วนร่วมแบบเกรงใจ ไม่ได้เกิดจากจิตสำนึกอย่างแท้จริง
นอกจากนี้สื่อสารมวลชนยังไม่เข้าใจเรื่องการกระจายอำนาจเท่าที่ควร ทั้งที่เราอยู่ในยุคการกระจายอำนาจ ดังนั้น สื่อต่างๆ ควรทำให้ประชาชนเห็นว่าประชาชนคือเจ้าของอำนาจ การสร้างประชาธิปไตยของเราที่ผ่านมากว่า 70 ปี จึงล้มเหลว เพราะไม่สร้างประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นรากฐานและไม่ได้สร้างประชาธิปไตยจากท้องถิ่น
ดังนั้น ควรมีการปฏิรูปสื่อมวลชนรวมถึงปฏิรูประบบการศึกษาไทย เพื่อตอบสนองการกระจายอำจาจ ด้วยการสร้างการศึกษาเพื่อพลเมือง ให้มาร่วมรับผิดขอบชุมชนท้องถิ่นของตัวเอง ให้รู้จักรากเหง้าของตัวเอง ดังนั้น วิชาที่เกี่ยวกับท้องถิ่นต้องมีการปลูกฝังตั้งแต่เล็กๆจนถึง อุดมศึกษา
เพราะการกระจายอำนาจคือการสร้างอำนาจประชาชนให้มีอำนาจ ให้มีความคิด มีความเป็นพลเมือง ที่รู้จักสิทธิและหน้าที่ มีความรับผิดชอบและมีความรู้สึกเป็นเจ้าของชุมชนของตัวเอง นอกจากนี้ต้องมีการปฏิรูประบบภาษีอากร โดยต้องทำให้ประชาชนรู้ว่าเขาเป็นเจ้าของภาษีและภาษีที่จ่ายให้ท้องถิ่น ต้องนำมาพัฒนาท้องถิ่น เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบท้องถิ่นเอาภาษีไปทำอะไร ต้องทำให้เกิดความรู้สึกมีส่วนร่วมกับเงินทุกบาททุกสตางค์ที่จ่ายภาษีไป
ดังนั้น ต้องมีการปฏิรูปพลเมือง ปฏิรูปการศึกษา ปฏิรูปภาษีอากร ปฏิรูปเรื่องรายได้ท้องถิ่น ทั้งนี้การที่คณะกรรมการปฏิรูป มีหลักเรื่อง “การลดอำนาจรัฐ สร้างอำนาจท้องถิ่นถือว่าถูกต้องแล้ว แต่ต้องสร้างกระบวนการ โดยแก้กฎหมายต่างๆที่ลิดรอนอำนาจของท้องถิ่น อีกทั้งส่วนราชการ พลเมืองต้องมีความรู้ความเข้าใจเรื่องท้องถิ่น
ที่มากไปกว่านั้นต้องสร้างมาตรฐานการทำงานของท้องถิ่น ระบบการจัดสรรเงินอุดหนุนต่างๆ ต้องไปตามระบบความสามารถของท้องถิ่น เพราะฉะนั้น ท้องถิ่นใดที่ไม่สามารถสร้างมาตรฐานได้ ควรมีการประเมินและมีการลงโทษด้วยการปรับลดเงินอุดหนุน และต้องทลายระบบอุปถัมภ์ในระบบท้องถิ่นที่ผู้บริหาร ที่กลายมาเป็นเครือข่ายนักเลือกตั้ง ดังนั้น พลเมืองต้องตรวจสอบผู้บริหารท้องถิ่นของตัวเอง ทั้งนี้การกระจายอำนาจยังมีความหวัง เพราะประเทศที่เจริญแล้ว ทั้ง ญี่ปุ่น อเมริกา เกาหลี เยอรมัน ยิ่งใหญได้ เพราะมีการสร้างคน สร้างพลเมือง และปฏิรูปให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นของพลเมืองอย่างแท้จริง
ทั้งหมดนี้เป็นการสะท้อนภาพการกระจายอำนาจของเมืองไทยที่ผ่านมา จากนี้ไปเป็นหน้าที่ของพลเมืองไทยที่จะต้องคิดกันเองแล้วว่า การกระจายที่มีอยู่เป็นที่น่าพอใจแล้วหรือไม่ และเราจะไปถึงฝั่งฝันนั้นได้อย่างไร