- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- ชีวิต “พ่อหลวงสุแก้ว ฟุงฟู” ติดคุกเชิงสัญลักษณ์เพื่อที่ทำกิน
ชีวิต “พ่อหลวงสุแก้ว ฟุงฟู” ติดคุกเชิงสัญลักษณ์เพื่อที่ทำกิน
ถึงแม้ว่าขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) จะลาจากลานพระบรมรูปทรงม้าไปแล้ว แต่เรื่องราวของหลายชีวิตในกลุ่มชาวบ้านผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกันเหล่านั้น ยังคงดำเนินไปไม่หยุด พร้อมๆกับสะท้อนถึงปัญหาโครงสร้างที่ดินและความเป็นธรรมของไทยได้อย่างชัดเจน
ดังชีวิตของ “พ่อหลวงสุแก้ว ฟุงฟู”
หลังจากตกลงกันว่าจะไป “ร่วมรบ” กับขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม ณ ลานพระบรมรูปทรงม้าเพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรม ดังนั้นช่วงบ่ายของวันที่ 15 กุมภาพันธ์ชาวบ้านบ้านแพะใต้ ต.หนองล่อง อ.เวียงหนองล่อง จ.ลำพูน กว่า 32 คน จึงจัดข้าวของพร้อมกับข้าวสารอาหารแห้งสำหรับการค้างแรมที่ไม่รู้ว่างานนี้จะต้องปักหลักนานแค่ไหน
ก่อนออกเดินทางไกลจากเหนือสู่กลาง “ชาวบ้านแพะใต้” ทั้ง 32 คน เต็มไปด้วยความหวังว่า การปักหลักสู้ครั้งนี้จะทำให้รัฐบาลหันมามองปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชนและแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมเสียที!!
เพราะหลังจากปี 2541 ที่คนในชุมชนถูกฟ้องร้องด้วยข้อหาบุกรุกในที่ดินของเอกชนจำนวน 200 ไร่ ความสุขที่เคยมีตาม “วิถีคนเมือง” ของชาวบ้านแพะใต้ก็จางหายไปกับการเดินทางขึ้นโรงขึ้นศาล
โดยพื้นที่ดังกล่าวเป็นที่ดินสาธารณะ แต่มีกระบวนการออกเอกสิทธิที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายให้กับนายทุน และฟ้องร้องชาวบ้านที่เข้าไปทำกินในที่ดินบริเวณดังกล่าวจำนวน 10 คน แต่เสียชีวิตแล้ว 1 คน โดยมี “พ่อหลวงสุแก้ว ฟุงฟู” ที่เป็นผู้ใหญ่บ้านถูกฟ้องร้องมากที่สุด 43 คดี ในจำนวนนี้บางคดีสิ้นสุดแล้ว บางคดีศาลชั้นต้นยกฟ้องและคดีอยู่ในขั้นอุทธรณ์ฎีกา แต่มี 2 คดีที่อยู่ในชั้นการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 5
เมื่อชาวบ้านแพะใต้เดินทางมาถึงลานพระบรมรูปทรงม้าในเช้าวันที่ 16 กุมภาพันธ์ที่เป็นวันนัดรวมพล “คนทุกข์” ครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง เพราะเป็นการรวมตัวของคนที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาของรัฐและคนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากทั่วประเทศมารวมกัน แม้ทุกคนจะต่างมีปัญหา แต่เมื่อนำปัญหามารวมกันทำให้เกิดปรากฎการณ์แชร์ความทุกข์เกิดขึ้น
การปักชุมนุมผ่านไป 7 วัน ทว่าปัญหาของชาวบ้านแพะใต้ก็ไม่ได้ลดน้อยลงตามความหวัง เมื่อ “พ่อหลวงสุแก้ว” จะต้องกลับไปฟังคำพิพากษาของศาลข้อหาบุกรุกที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ตามนัด
“วันที่จะมาฟังคำตัดสินของศาล ผมก็นั่งรถไฟฟรีจากกรุงเทพฯ กลับลำพูน พร้อมกับเพื่อนอีก 1 คน เพราะตอนนั้นพวกเราไม่มีเงิน ส่วนคนที่ถูกฟ้องด้วยกันอีก 7 คนรออยู่ที่บ้านแล้ว ตอนไปขึ้นศาลพวกเราก็ได้แต่หวังว่าศาลท่านจะเมตตา แต่ท้ายสุดศาลก็ต้องยืนตามเอกสาร เพราะเห็นว่าที่ดินบริเวณนั้นมีเอกสิทธิครอบครองอยู่ พวกเราจึงถูกสั่งจำคุกคดีละ 1 ปี มี 2 คดี รวมกันก็ถือว่าติดคุกคนละ 2 ปี แต่ตอนนั้นพวกเราไม่มีเงินประกันตัวจึงต้องติดคุก”พ่อสุแก้ว เล่า
แม้ครั้งนั้นจะไม่ใช่การ “ติดคุก” ครั้งแรกของพ่อสุแก้วและชาวบ้านแพะใต้ แต่ใจลึกๆ ของพ่อสุแก้วนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัวกับการถูกกักขังอิสระภาพ แต่เขาก็ปลอบใจตัวเองและเพื่อนๆ ว่า “คราวนี้คงติดคุกไม่นาน”
และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึง....ช่วงเย็นวันที่ 8 มีนาคม พ่อสุแก้วพร้อมกับเพื่อนบ้านอีก 8 คนถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำลำพูนด้วยสภาพอิดโรย แต่ใจพวกเขากลับมีความหาญกล้าขึ้นมาก เพราะระหว่างที่ถูกจองจำ แม้พี่น้องชาว ขปส. จะไม่มีเงิน แต่ก็ยังเดินทางด้วยรถไฟฟรีมาเยี่ยมอย่างไม่ขาดสาย
“การติดคุกครั้งนั้นถือเป็นการติดคุกเชิงสัญลักษณ์ที่พวกเราอยากให้รัฐแก้ไขปัญหาด้วยการปฏิรูปที่ดินและจัดพื้นที่นั้นให้เป็นโฉนดชุมชนเสียที หากรัฐไม่รีบดำเนินการก็จะมีชาวบ้านตาดำๆ ถูกจับติดคุกอีกเป็นจำนวนมาก ดังนั้นพวกเราจึงภูมิใจที่การติดคุกของชาวแพะใต้ได้เป็นเครื่องตอกย้ำความไม่ยุติธรรมให้กับสังคมได้และหวังว่ารัฐบาลจะมองเห็นว่าไม่มีความยุติธรรมอยู่ในสังคมไทยอยู่เป็นจำนวนมาก”พ่อหลวงสุแก้ว กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
พ่อสุแก้วและเพื่อนบ้านใช้เวลาในเรือนจำ 14 วันเต็ม แต่ทุกวินาทีพวกเขาต่างนับวันเพื่อให้ได้ออกสถานที่นั้นให้เร็วที่สุด และก็เป็นดังหวังเมื่อทีมทนายความจากศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่นได้ประสานกับกองทุนยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม เพื่อขอยืมเงินจากกองทุนฯ เพื่อประกันตัวชาวบ้านทั้ง 9 คนสำเร็จ โดยต้องใช้เงินประกันคนละ 2 แสนบาท รวม 1.8 ล้าน
“สุมิตรชัย หัตถสาร” ทนายความจากศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น เล่าว่า ในทางคดีความ เรื่องนี้มีความซับซ้อนค่อนข้างมาก คงต้องสู้กันอีกรอบและช่วงที่ผ่านมากระทรวงมหาดไทยได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบแล้ว อย่างไรก็ตามทางทีมทนายความจะรีบดำเนินการทำคำแถลงข้อเท็จจริงเพิ่มเติมส่งให้ศาลฎีกาต่อไป
แม้วันนี้พี่น้อง ขปส.และชาวบ้านแพะใต้จะสลายการชุมนุม เพราะไม่สามารถรอคำตอบจากการแก้ไขปัญหาของรัฐ ณ ลานพระบรมรูปทรงม้าได้อีกต่อไป แต่ทุกคนก็หวังว่า การต่อสู้ครั้งนี้จะไม่สูญเปล่า โดยเฉพาะชาวบ้านแพะใต้ที่พวกเขาถือว่า “ได้ทำหน้าที่ที่ดีที่สุดแล้ว เพราะการรวมตัวครั้งนั้นถือเป็นการกู่ร้องไปถึงสังคมและรัฐบาลแล้วว่า พวกเราไม่ได้รับความยุติธรรมและรอการแก้ไขจากรัฐบาลตามคำมั่นสัญญา”
นายสุแก้ว ฟุงฟู ชาวบ้านบ้านแพะใต้ ต.หนองล่อง อ.เวียงหนองล่อง จ.ลำพูน ถือเป็นหนึ่งในชาวบ้านที่ตกเป็นผู้ต้องหาในข้อหาบุกรุก เนื่องจากเข้าทำประโยชน์ในที่ดินสาธารณะ แต่ต่อมาถูกนายทุนอ้างเอกสารสิทธิ์ครอบครองในที่ดินจนเกิดการฟ้องร้องขับไล่ การต่อสู้ของ “สุแก้ว” ก็ไม่แตกต่างจากชาวบ้านอีกหลายรายที่ถูกฟ้องร้อง เพราะด้วยยากจนจึงไม่มีเงินเดินทางไปขึ้นศาลและเมื่อถูกฟ้องร้องกล่าวโทษก็ไม่มีเงินจ่ายค่าประกันตัว พวกเขาจึงต้องติดคุกแทนการหาหลักทรัพย์มาประกันตัว ความขัดแย้งระหว่างรัฐกับประชาชนถือเป็นเรื่องใหญ่ที่รอวันสะสาง โดยปัจจุบันมีตัวเลขข้อพิพาทของการประกาศเขตป่าทับพื้นที่ทำกินและที่อยู่อาศัยทั่วประเทศจำนวน 262 กรณี การใช้ประโยชน์ที่ดินในสาธารณะจำนวน 119 ราย นโยบายรัฐส่งเสริมการปลูกป่ากระทบประชาชน 58 กรณี การใช้ประโยชน์ที่ดินของเอกชนจำนวน 48 กรณี การใช้ประโยชน์ที่ดินทหารจำนวน 40 กรณี การออกเอกสิทธิ์ที่ดินไม่ชอบด้วยกฎหมาย 22 กรณี โดยข้อพิพาทในที่ดินดังกล่าวนำมาซึ่งการฟ้องร้องดำเนินคดีจำนวน 361 รายและ “พ่อสุแก้ว” ก็เป็นหนึ่งในนั้น |