- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- ปรับแนวคิดการจัดหาอาวุธยุคใหม่ “งบฯน้อย-คุ้มค่า” มากกว่าซื้อเหล็ก
ปรับแนวคิดการจัดหาอาวุธยุคใหม่ “งบฯน้อย-คุ้มค่า” มากกว่าซื้อเหล็ก
โครงการจัดหาอาวุธของกองทัพที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในห้วงเวลานี้ อาจถูกตั้งคำถามจากสังคมโดยทั่วไปว่า กองทัพกำลังผลาญงบประมาณ ผ่านการสนับสนุนของรัฐบาลอย่างออกนอกหน้า ด้วยความเกรงใจที่ช่วงจัดตั้งรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ มีกลุ่มทหารที่มีอำนาจในขณะนั้นให้การสนับสนุนในการจัดขั้วทางการเมือง ตั้งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล
ในความเป็นจริง “แนวคิด” เรื่องการจัดหาอาวุธ เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเมื่อประเทศต้องจัดสรรงบประมาณตอบสนองความต้องการด้านอื่นเช่น การศึกษา และ สาธารณสุข เป็นลำดับต้นๆ แต่ขณะเดียวกัน งบประมาณด้านการทหารในหมวดของความมั่นคงเริ่มขยับตัวขึ้น จากการยอมรับในข้อกังวลจากหลายฝ่าย ที่เห็นสภาพอาวุธ ยุทโธปกรณ์ที่มีประจำการในแต่ละเหล่าทัพ เก่าเกินกว่าที่ซ่อมแซมไหว
ช่วง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เคยเสนอให้กองทัพจัดรายการอาวุธ ที่จำเป็นเสนอขึ้นไปเพื่อพิจารณาในการสนับสนุนงบประมาณ อีกทั้งใช้วิธีบาร์เตอร์เทรดหรือซื้ออาวุธแลกข้าว แต่โครงการต่างๆ กลายเป็นเพียงยาหอม และ การให้ความหวังลมๆ แล้งๆ ขายฝันให้เหล่าบรรดาบิ๊กทหาร ในขณะที่งบประมาณส่วนใหญ่ของรัฐบาลช่วงนั้น ใช้ไปโครงการประชานิยมเป็นหลัก เพราะถือเป็นการตอบสนองทางการเมืองที่เห็นผลเป็นคะแนนเสียง โดยไม่ต้องคำนึงถึงกองทัพว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร เพราะรัฐบาลคุมอำนาจเบ็ดเสร็จ
แต่เมื่อมีการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้น รัฐบาลต่อจากนั้นเริ่มให้ความสนใจในการตอบสนองกองทัพมากกว่าที่ผ่านมา ท่ามกลางการจับตามอง เรื่อง การเอื้อประโยชน์ และ ต่างตอบแทน ในการอุ้มชู สนับสนุน รัฐบาลชุดต่างๆ ให้อยู่ในอำนาจได้ในระยะยาว
กระนั้น การจัดหาอาวุธของกองทัพยุคนี้ มีความเปลี่ยนแปลงจากยุคอดีต ตรงที่ “เปิดเผย” และ ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากสาธารณชนอย่างเต็มที่ ยิ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่มีเทคโนโลยีขั้นสูง ฃ ใช้งบประมาณจำนวนมาก ความพยายามในการชี้แจง รายละเอียด ของเหล่าทัพที่จัดซื้อยิ่งมีความจำเป็นและละเอียดลออมากขึ้น
โครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่ Gripen ของกองทัพอากาศ อาจนับได้ว่าเป็นโครงการตัวอย่างที่สามารถหยิบยกมาอธิบาย “โมเดล”การจัดหาอาวุธในทศวรรษนี้ได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะการจัดหาที่ไม่ใช่แค่ "เหล็กบินได้” ฃ หากแต่เป็นการซื้อ “รหัส” ในการไขเข้าสู่การพัฒนาวิจัย เพื่อให้ทหารไทยของเราสามารถ ซ่อม และ ผลิต หรือ เรียนรู้ระบบที่ทันสมัยได้ โดยไม่ต้องพึ่งประเทศผู้ขายไปตลอดเวลา
“การจัดซื้ออาวุธของกองทัพอากาศเริ่มมาตั้งแต่หลักนิยม การจัดกำลังทางอากาศ ในระดับต่ำสุด แต่สามารถปฏิบัติการทางอากาศได้ จากนั้นก็กำหนดเป็นยุทธศาสตร์ และภัยคุกคาม เป้าหมายของเราคือ การเป็น One of The best Asian ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเป็นที่หนึ่งที่สุด แต่เป็นหนึ่งเทียบเคียงหลายประเทศในภูมิภาคนี้ได้ ซึ่งการจัดหาอาวุธยุคนี้ยืนอยู่บนข้อมูล มีงานวิจัยรองรับ เมื่อกองทัพจะซื้ออะไรเข้ามา ก็ให้ทาง รร.เสนาธิการทหาร รร.เสนาธิการทหารอากาศไปศึกษาว่า เราต้องการอะไร ไม่ใช่ตั้งโจทย์ว่าจะซื้อรุ่นไหน ประเทศอะไร เพราะฉะนั้น ช่วงการดำเนินการ ใครถามอะไรเราก็ตอบได้หมด เพราะมีงานวิจัยรองรับ” คำกล่าวของ นาวาอากาศเอก ประภาส สอนใจดี อาจารย์สอนวิชาวางแผนยุทธวิธีทางอากาศ โรงเรียนเสนาธิการทหารอากาศ ตำแหน่งในกองทัพ คือ รองผู้อำนวยการกองประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกองทัพอากาศ
อาจารย์ โรงเรียนเสนาธิการทหารอากาศผู้นี้ ระบุว่า สิ่งที่เราพบในงานวิจัย คือ การจัดหาฝูงบินขับไล่เข้าประจำการในพื้นที่ภาคใต้ สามารถเป็นศูนย์กลางของเครือข่าย มีการต่อยอดองค์ความรู้ หรือ เทคโนโลยีการบิน อีกทั้งให้กำลังพลของเราได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี ฝึกในการซ่อมบำรุง หรือ ให้กองทัพอากาศเป็นฝ่ายต่อยอดเองได้ในอนาคต ที่เราได้คือ source code มีระบบเชื่อมโยงข้อมูลทางยุทธวิธีหรือ Tactical Data Link ซึ่งเป็นยุคแรกของระบบปฏิบัติการที่ใช้เครือข่ายเป็นศูนย์กลางหรือ Network Centric Operation:NCO (ซึ่งเป็นขีดความสามารถของเครื่องบินรบในยุคที่ 4.5 และยุคที่ 5 โดยสามารถส่งข้อมูลในหมู่บินเดียวกันได้โดยไม่ต้องติดต่อวิทยุ)
“ถือเป็นการจัดซื้อทางยุทธศาสตร์ เพราะการจัดซื้อจัดจ้างยุคใหม่ กองทัพอากาศจะทุบโต๊ะเอาเลยไม่ได้ เมื่อมี เครื่องบิน Gripenแล้ว ก็ต้องมียาน UAV การพัฒนาคน การฝึกศึกษาที่สำคัญ ทอ. กำลังขับเคลื่อน Network centric ไปยัง กองทัพเรือ และ กองทัพบก หรือ ในชื่อที่ว่า “ไทยแลนด์ ลิงค์” กำลังอยู่ระหว่างการศึกษา และ คิดแนวทางในการพัฒนา ก่อนที่จะดำเนินการในเร็วๆ นี้ โดยเฉพาะการเชื่อมโยงกับเรือปราบเรือดำน้ำ ซึ่งขณะนี้เราสามารถป้องกันในการตรวจจับการโจมตีได้ในระยะที่ไกลกว่าที่เป็นอยู่” นอ.ประภาส กล่าว
เขาบอกว่า การวิจัย และ พัฒนาเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2546 เป็นระยะเวลาประมาณ 10 ซึ่งในต่างประเทศก็ทำในลักษณะนี้ โดยจัดหาภายใต้งานวิจัยเป็นหลัก ในส่วนของโครงการจัดซื้อเครื่องบิน Gripen มีงานวิจัย ซึ่งเราแยกมาทำเป็นสมุดปกขาว เพื่ออธิบายความเป็นมาต่างๆ และผลงานวิจัยเหล่านี้ จะนำไปหาข้อสรุปและพิจารณาร่วมกับฝ่ายอำนวยการของกองทัพอากาศ ผลจะบอกเลยว่า ภายใต้ข้อจำกัดเรื่องงบประมาณแค่นี้ เราต้องการได้เครื่องบินแบบไหน มีแพคเกจอย่างไร โดยมีหลักการที่ชัดเจนว่าประเทศเราไม่ได้รุกรานใคร เน้นที่การป้องกันประเทศ และ มีอำนาจต่อรองในการเจรจา
ต้องยอมรับว่า ที่ผ่านมา การจัดหาอาวุธที่ผ่านมาจากค่ายมหาอำนาจ หรือ สหรัฐอเมริกา ในรูปของโครงการ เอฟเอ็มเอส หรือความช่วยเหลือทางด้านการทหาร แม้จะมีค่าดำเนินการที่ตายตัว หรือที่เรียกว่า ค่าคอมมิชชั่น 2-3 % แต่ด้วยคุณภาพการผลิตที่ดีเยี่ยม ราคาสูง ทำให้เงินค่านายหน้าเหล่านี้อยู่ในวงเงินที่สูง แต่มีระเบียบรองรับ เมื่อเทียบกับการจัดหาอาวุธในฝั่งยุโรป ที่แม้ราคาต่ำ ค่าคอมมิชชั่นไม่ตายตัว จนถูกตั้งคำถามเรื่องเปอร์เซ็นต์ค่านายหน้าที่มากถึง 20-30% แต่การให้ส่วนควบในแพคเกจเป็นสิ่งที่ผู้ซื้อต่อรองได้ จึงไม่แปลกที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ โดยใช้วิธีเปรียบเทียบราคาซื้อ-ขาย กับประเทศอื่น ทั้งที่เป็นรุ่นเดียวกับที่ไทยจัดหา แต่กลับราคาถูกกว่า หรือแม้กระทั่งการวิ่งเต้นของนายหน้า ที่มีผลต่อการตัดสินใจของผู้บังคับบัญชาในการเลือกแบบ
นอ.ประภาส มองว่า ปฏิเสธไม่ได้ว่าระบบนายหน้ายังมีอยู่ แต่กลุ่มคนเหล่านี้ก็ต้องปรับให้เข้ามาอยู่ใน Concept นี้ สิ่งที่นายหน้ามาเสนอก็ต้องตอบโจทย์ที่กองทัพได้วิจัยไว้ได้หรือไม่ การเสนอขายของในยุคนี้ไม่ใช่การเสนอผลประโยชน์ แต่เป็นการเสนอสินค้าที่ ต้องอยู่ในสิ่งที่เราตั้งไว้ สิ่งที่สำคัญคือการประชาสัมพันธ์ และ พร้อมที่จะตอบทุกคำถาม อย่าปกปิด ซ่อนเร้น จงใช้ IO : Information operation หรือ ปฏิบัติการด้านข่าวสาร ในการทำความเข้าใจ อธิบายเรื่องที่เป็นเทคนิคในประชาชนทั่วไปเข้าใจ เพื่อสร้างความยอมรับร่วมกัน อย่างกรณีของ เครื่องบิน Gripen ที่บอกว่าซื้อแพงเพราะ คอมมิชชั่นสูง เมื่อเทียบกับราคาในประเทศอื่น ซึ่งหากไปดูในข้อเท็จจริงจะเห็นว่า ออปชั่น ที่เราได้แตกต่างจากที่ อินโดนีเซียที่ราคาถูกกว่าเราได้ สิ่งที่ไทยได้และมีมูลค่ามากก็คือ Source code และ ระบบต่างๆ ที่บอกมา ซึ่งอินโดนีเซียเขาก็อยากได้ แต่ยังไม่ได้
“เทรนด์ในศตวรรษนี้คือ การซื้อที่มากกว่าตัวอาวุธ แต่หมายถึงการซื้อที่เรามาต่อยอดของเราเองได้ ไม่ต้องกังวลว่าในวันข้างหน้า จะพัฒนา เปลี่ยนแปลง ซ่อมแซมแล้วต้องคอยง้อประเทศมหาอำนาจ เขาไม่ให้ซื้อ ไม่ให้ซ่อม ไม่ให้อาวุธ ไม่ยอมเชื่อมโยงกับระบบอื่น ก็ทำไม่ได้ ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับการกำหนดของประเทศใหญ่ประเทศเดียว เราก็จะกลายเป็นทาส และ ไม่มีการเฉลี่ยหรือถ่วงดุลอาวุธเลย ในวันข้างหน้ากองทัพเราก็จะมีความเสี่ยงเหมือนกัน ถ้าเป็นเหมือนเดิม”
ท้ายสุด อาจารย์ รร.เสนาธิการทหารอากาศ ยังมองว่า เมื่อรัฐธรรมนูญ กำหนดให้กองทัพทำหน้าที่ป้องกันประเทศ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่ทุกเหล่าทัพต้องเตรียมความพร้อมอย่างดีที่สุด เพราะเกิดอะไรขึ้นหรือผิดพลาดขึ้นมามาทหารจะไปแก้ตัวไม่ได้ เพราะเป็นหน้าที่ตามกฎหมาย ส่วนภารกิจอื่นกองทัพต้องรับไปเพิ่มเติม ทั้งภารกิจที่นอกเหนือการรบ การช่วยเหลือประชาชน ก็เป็นงานที่ทหารต้องทำ เนื่องจากมีเครื่องไม้ เครื่องมือ อุปกรณ์ที่มีศักยภาพพอ การเตรียมความพร้อมของกองทัพในทุกด้านจึงต้องทำหน้าที่อย่างเต็มที่
จะเห็นได้ว่า แนวทางการจัดหาเครื่องบิน Gripen ที่มีมูลค่ามากที่สุดโครงการหนึ่ง สามารถผ่านการพิจารณาจากทุกฝ่ายได้ในลักษณะที่ถูกโจมตีน้อยที่สุด เพราะการปรับแนวคิดการเลือกทางสายกลาง คือ ไม่จำเป็นต้องเป็นของดีเลอเลิศ แต่นำไปใช้ต่อยอดการพัฒนา ลดความสิ้นเปลืองในอนาคต ที่สำคัญคือ เปิดเผย โปร่งใส อธิบายให้คนเข้าใจได้ ภายใต้ข้อมูลที่มีการศึกษาวิจัย อย่างรอบด้าน ซึ่งเชื่อว่าโครงการอื่นๆ ของแต่ละเหล่าทัพอาจต้องปรับตัวเองให้เดินตามแนวทางนี้ ถ้าแน่ใจว่าสิ่งที่ตัวเองเลือกซื้อดีจริง อ้างอิงงานวิจัย ไม่มีหมกเหม็ดเหมือนหลายโครงการที่ทำกันอยู่ในขณะนี้