- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- “น้ำท่วม น้ำแล้ง” คิดอย่างไรให้เป็นเงินเป็นทอง
“น้ำท่วม น้ำแล้ง” คิดอย่างไรให้เป็นเงินเป็นทอง
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ... สภาพสิ่งแวดล้อมของโลกเรากำลังย่ำแย่ จนทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมด แค่ช่วงเวลาเพียงเดือนเศษ มหันตภัยธรรมชาติแผ่นดินไหว สึนามิถล่ม ที่ญี่ปุ่นเพิ่งเจอไปหมาดๆ จากนั้นไม่นาน เราก็ต้องมาลุ้นเหตุแผ่นดินไหวที่พม่า สร้างความสั่นสะเทือนกระทบถึงจังหวัดทางภาคเหนือของไทย
และแล้ว สภาพดินฟ้าอากาศที่ค่อนข้างวิปริต จู่ๆ ก็เกิดหนาวกลางฤดูร้อน เกิดฝนกลางฤดูแล้ง หลายจังหวัดในภาคใต้ต้องเผชิญกับอุทกภัยน้ำท่วมนอกฤดูกาล โดยน้ำป่าทะลักท่วมสร้างความเสียหายในวงกว้าง มีสภาพไม่ต่างจากเมืองใต้บาดาล บางหมู่บ้านถูกดินถล่มทับบ้านเรือนพังพาบ และถูกตัดขาดจากโลกภายนอก
เรื่อง “น้ำ” มีข้อมูลที่ชี้ชัดๆ ว่า สิ่งที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ มีทั้ง...
- พายุเริ่มเปลี่ยน เริ่มมาหนักหนาสาหัสในเดือนกันยายน ตุลาคม พฤศจิกายน สร้างความเสียหายใหญ่ขึ้นทุกวัน
- ปี 2552 มีพายุเข้าไทย 40 ลูก จากพายุเฉลี่ยในเอเชียแปซิฟิกมีอยู่ 31.6 ลูกต่อปี สร้างความเสียหายหมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ เช่นเดียวกับปี 2553 มีพายุเข้าไทย 32 ลูก สร้างความเสียหายกว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
- ปริมาณฝนจากเดิมอยู่ที่ 9% กระโดดขึ้นกว่า 10-12% ในปี 2551 และมากขึ้นมาตลอด
อีกทั้งยังมีตัวเลขการใช้จ่ายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งได้รับงบปีหนึ่งประมาณ 4 แสนกว่าล้านบาท กลับนำไปใช้จ่าย “พัฒนา” เรื่องน้ำ 2.17% ใช้จ่ายแก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้งถึง 7-8%
สิ่งเหล่านี้ สะท้อนว่า เราไม่เข้าใจธรรมชาติ เราใช้เงิน “แก้” ปัญหาเรื่องน้ำท่วม น้ำแล้ง มากกว่าใช้เงิน “สร้าง” ดร.รอยล จิตรดอน ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) (สสนก.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และคณะกรรมการจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อความเป็นธรรม ในคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป บอกว่า แต่ละปีเราใช้เงินพัฒนาเรื่องแหล่งน้ำประมาณ 3 – 4 หมื่นล้านบาท แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นเรื่องน้ำ ปี 2553 พุ่งขึ้น ประมาณ 2 แสนล้านบาท
ขณะเดียวกันแผนของชาติ ก็ถูกเขียนโดยมองว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทำให้ฝนในประเทศไทยน้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนเมือง ปี 2060 ก็ยังวางภาพไว้แบบนั้น
มองภาพว่า ไทยจะแล้งอย่างเดียว !!
ไทยแล้งอย่างไรก็มีน้ำ คอนเซ็ปเดิมใช้ไม่ได้
“ประเทศไทยแล้งอย่างไรก็มีน้ำ เพียงแต่อาจจะตกผิดที่ผิดเวลาบ้าง ซึ่งหากผิดที่ผิดเวลา เรากระจายถูกที่ ก็ไม่เกิดปัญหา” ดร.รอยล บอกอย่างนั้น
พร้อมกับยืนยันว่า การบริหารจัดการน้ำจะใช้ทฤษฎี หรือหลักการแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว วันนี้ ต้องมองโครงสร้างน้ำแบบครบวงจร
ขณะที่ปัญหามีว่า โครงสร้างน้ำของไทย สัดส่วนน้ำฝนที่กักเก็บไว้ได้ต่ำมาก โดยเฉพาะภาคอีสานและตะวันออก สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการสร้างเขื่อน อ่างเก็บน้ำ โดยไม่ได้คำนึงถึงปริมาณน้ำไหลเข้า เมื่อปริมาณฝนผันผวน และมีปริมาณมากขึ้น
ดร.รอยอล อธิบายเพิ่มเติมว่า ยิ่งเมื่อปริมาณฝนตกเหนืออ่าง 850 ล้านลูกบาศก์เมตร ท้ายอ่าง 1,518 ล้านลูกบาศก์เมตร ฝนท้ายอ่างเกือบ 2 เท่าแบบนี้ ปรากฏว่า เราไม่มีที่เก็บ
ฉะนั้น คอนเซ็ปการบริหารจัดการแบบ “ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ” ที่ผ่านมา ถือว่า ผิด
“ ฝนมาตกท้ายน้ำเยอะ ฉะนั้นต้องเปลี่ยนวิธีการบริหารจัดการน้ำเป็น “ระบบหลัก ระบบรอง และระบบฉุกเฉิน” ด้วยระบบฉุกเฉินกับระบบสำรอง จะรองรับได้บวกลบ 30% เราจะมั่นคงเรื่องน้ำ”
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขจากสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร ยังพบอีกว่า ในช่วงปี 2550 พื้นที่เกษตรทั้งหมดของประเทศไทย 154 ล้านไร่ ภาคเหนือเก็บน้ำไว้มหาศาล โดยมีพื้นที่ชลประทาน 13.2% หรือ 3.8 ล้านไร่ จากพื้นที่เกษตรทั้งหมด 28.7% ภาคอีสานมีพื้นที่เกษตรอยู่ 66.7 ล้านไร่ แต่เป็นพื้นที่ชลประทานแค่ 4 ล้านไร่
จึงเกิดคำถามว่า คนอีสานต้องการน้ำ คนภาคเหนือตอนล่างต้องการน้ำ ไม่มีน้ำให้เขา จะทำอย่างไร ยิ่งเมื่อพูดถึง น้ำกับความเป็นธรรม จะทำอย่างไรให้ “โครงสร้าง” ควรสร้างโอกาสให้กับคนทุกกลุ่ม
ปัญหาประเทศไทย “น้ำ” มีเกินพอ ไม่ใช่เป็นการแย่งน้ำ แต่อยู่ที่การบริหารจัดการน้ำมากกว่า ดร.รอยอล ย้ำ พร้อมกับเห็นว่า การจัดการน้ำระดับชุมชน เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
พัฒนาบ่อลูกรังเป็นธุรกิจน้ำ
ปัจจุบันรัฐบาลได้มอบภาระให้ท้องถิ่น ทั้งเรื่องสวัสดิการ เบี้ยยังชีพคนชรา ฯลฯ จนท้องถิ่นไม่เหลือเงิน กับการให้ท้องถิ่นหารายได้เป็นของตนเองเพิ่มขึ้น ซึ่งนอกเหนือจากสูตรสำเร็จ การคิดทำแผนที่เพื่อเก็บภาษีขึ้นมาแล้วนั้น
จริงๆ ยังมีอีกวิธีที่ท้องถิ่นจะได้ “เงิน”
เช่น ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สามารถเข้ามามีบทบาทบริหารน้ำ ให้ชุมชนเข้ามามีบทบาทในการจัดการน้ำชุมชน โดยเฉพาะพื้นที่นอกเขตชลประทานที่มีมากในภาคเหนือและภาคอีสาน
แม้แต่ “บ่อลูกรัง” ร้าง ที่ส่วนใหญ่มักเป็นที่สาธารณะ ก็สามารถนำมาบริหารจัดการในเชิงพาณิชย์ ทำเป็นธุรกิจน้ำ สร้างรายได้อีกทางให้กับท้องถิ่น
ในความเป็นจริง “บ่อลูกรัง” ตามกฎหมาย เมื่อเลิกทำแล้วต้องมีการฟื้นฟู พัฒนาพื้นที่ให้สวยงาม แต่ปัจจุบันมีการปล่อยให้เป็นขนมครก ซึ่งที่ผ่านมาในอดีตต้องของอนุญาตกรมทรัพยากรธรณีก่อน แต่ภายหลังการปฏิรูประบบราชการ อำนาจการกำกับกรมทรัพยากรธรณีถ่ายโอนอำนาจนี้ไปให้จังหวัด
โดยหน่วยงานที่จะทำหน้าที่เป็น “พี่เลี้ยง” เรื่องโครงสร้างน้ำในระดับท้องถิ่น ก็คือกรมทรัพยากรน้ำ ถามว่า ณ วันนี้ได้ทำหน้าที่นี้แล้วหรือยัง ?
ดร.รอยอล ตั้งข้อสังเกตถึงวันที่แล้ง สิ่งที่น่ากลัว คือ อปท.ไม่เคยรู้เลยว่า ตัวเองมีฝายกี่ตัวต้องดูแล หรือที่ต้องได้รับการถ่ายโอน มีน้ำเต็มเลย ที่มีการแอบขายกันให้วุ่น
"เรามีบ่อลูกรังเต็มไปหมด แล้วก็เกิดธุรกิจใหญ่โตมโหฬาร โดยสามารถเชื่อมต่อกับลำน้ำได้หมด แต่เราไม่เคยพัฒนาเป็นธุรกิจน้ำเลย พอถึงหน้าแล้งก็แอบขายน้ำกันที ลูกบาศก์เมตรละ 30 กว่าบาท โดยจะต้องมาสูบกันน้ำถึงที่"
บ่อลูกรังที่กระจัดกระจายเต็มไปหมด เป็นผลพวงจากการพัฒนาอีสเทิร์นซีบอร์ด หากเวสเทิร์นซีบอร์ดเห็นภาพนี้ แล้วเข้ามาบริหารจัดการ ขุดบ่อลูกรังให้เป็นที่เป็นทาง ต่อจากนั้นโอนไปให้อบจ. ทำให้เป็นธุรกิจน้ำ
บางที อบจ.อาจไม่ต้องการเงินจากใครอีกเลยก็เป็นได้
ตัวอย่างชัดๆ ที่จังหวัดสมุทรสาคร ที่อบจ.ใช้บ่อดินกักเก็บน้ำ และทำธุรกิจขายน้ำ ขายลูกบาศก์เมตรละ 12 บาท ขายน้ำแข่งกับการประปาส่วนภูมิภาค และขายได้ถูกอีกด้วย หรือกรณีของเกาะสมุย ที่มีศักยภาพสามารถทำได้
ดร.รอยอล ลองคิดคำนวณดูให้เล่นๆ อัตราการใช้น้ำจะอยู่ที่ 6 ล้านลูกบาศก์เมตร หากสามารถขายน้ำได้ลูกบาศก์เมตรละ 40 บาท ถูกกว่าเดิม น่าจะได้กำไร ยิ่งถ้ามีการจัดการน้ำได้ถูกวิธี ท้องถิ่นจะมีรายได้กว่า 100 ล้านบาท จากการขายน้ำเลยทีเดียว สิ่งที่น่าสนใจ ก็คือ หากมีการกำหนดจุดให้ดี บ่อลูกรังเหล่านี้ มันจะกลายเป็นแหล่งน้ำ...
จากนั้นถ่ายโอนให้อบจ.ปีไหนไม่แล้งก็ใช้น้ำเพื่อการเกษตร รวยด้วยกัน รวยภาคการเกษตร รวยภาคอุตสาหกรรม รวยเรื่องการท่องเที่ยว
สุดท้ายยังสามารถลดความเสี่ยงเรื่องน้ำได้อีกด้วย