- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- วันที่กฎหมาย ไม่ได้เป็นไปเพื่อคนจน !!
วันที่กฎหมาย ไม่ได้เป็นไปเพื่อคนจน !!
เหตุการณ์บ้านเมืองช่วงที่ผ่านมา หากจะเปรียบไป ก็เป็นเสมือนห้องเรียนราคาแสนแพง ที่ทำให้คนไทยได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง หนึ่งในนั้นมีประเด็นปัญหาของคนจน ที่เกิดจากกระบวนการทางกฎหมาย และความยุติธรรม
ณ วันนี้ เราคงต้องกลับมาหาสาเหตุของปัญหาที่แท้จริงให้พบกันเสียก่อน แล้วถึงจะสามารถแก้ไขได้ตรงจุด ที่ผ่านมาจะเห็นว่า ไม่ว่ารัฐบาลยุคใด หรือสมัยใด ก็ตาม ออกนโยบายหาเสียงอะไรออกมา ปัญหาของคนจนก็ยังแก้ไม่ตกสักที เพราะอะไร ผศ.ดร. ปริญญา เทวานฤมิตรกุล. คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยเปรียบเทียบให้เห็นภาพไว้ ในงานวันสัญญา ธรรมศักดิ์ ประจำปี 2554 ที่จัดผ่านพ้นไปเมื่อต้นเดือนเมษายน เหมือนการให้อาหารปลา
ที่เวลาเราโยนอาหารลงไป ถามว่า ปลาตัวเล็กได้กินอาหารเลยหรือไม่ คำตอบ คือ ไม่ จนกว่าปลาตัวใหญ่จะอิ่ม ซึ่งไม่ต่างกับปัญหาของคนจน ที่ปลาตัวใหญ่ไม่เคยอิ่ม ดังนั้น หากแก้ปัญหาคนจน ก็ต้องมาดูเรื่อง “กติกา” กันได้แล้ว
ตัดสินมะม่วงริมรั้ว รวงข้าวในที่นา ให้ยุติธรรม
ขั้นแรกเพื่อให้เข้าใจตรงกันว่า ความยุติธรรมคืออะไร ก่อนจะมาคิดแก้ปัญหาคนจน เราลองมาช่วยกันตอบโจทย์เหล่านี้ ...
สมมติ...ที่บ้านของท่าน มีต้นมะม่วงอยู่ริมรั้่ว แล้วมีกิ่งมะม่วงกิ่งหนึ่ง ยื่นเข้าไปในที่ดินของเพื่อนบ้าน มีมะม่วงผลหนึ่งได้ตกลงไปในที่ของเพื่อนบ้าน ลองใช้ความยุติธรรมในตัวท่านตัดสิน มะม่วงลูกนั้น ควรจะเป็นของใคร ถึงจะเป็นธรรม
คำตอบมีให้เลือกระหว่าง 1.เป็นของเพื่อนบ้าน หรือ 2. เป็นของเราที่เป็นเจ้าของต่อไป ?
บางทรรศนะบอกข้อ 1 บ้างบอกข้อ 2 หรือหากตกลงกันได้..ก็จบ เพื่อนบ้านนำมะม่วงมาคืน..ก็จบ หรือเจ้าของมะม่วงบอกเอาไปเลย เรื่องก็จบ
สาระสำคัญอยู่ตรงที่หากตกลงกันไม่ได้ จะทำอย่างไร เราจะใช้กำลังตัดสินหรือไม่ กรณีมะม่วงริมรั้วตกไปในที่ของเพื่อนบ้าน เปรียบไปก็เป็นเรื่องเดียวกันกับเขาพระวิหาร ที่ต้องใช้ "กติกา" ตัดสิน !!
อาจารย์ปริญญา บอกว่า เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างก็ใช้ความยุติธรรมตัดสิน กลับกลายเป็นว่า ความยุติธรรมอยู่ที่ใครตัดสิน ดังนั้น เราจึงต้องการอะไรที่มากกว่า คำว่า “สามัญสำนึก” พร้อมยกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1348 มาอรรถาธิบาย
“ดอกผล แห่งต้นไม้ ที่หล่นตามธรรมดา ลงในที่ดินติดต่อแปลงใด ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า เป็นดอกผล ของที่ดินแปลงนั้น การที่กฎหมายสันนิษฐานว่า เป็นของเพื่อนบ้าน โดยกฎหมายเขียนว่า สันนิษฐานไว้ก่อน สมมติว่าเพื่อนบ้านไม่มีต้นมะม่วงอยู่เลย มะม่วงจะเป็นของเพื่อนบ้านได้อย่างไร
หากใช้ความยุติธรรมในใจของแต่ละคน ก็จะมีปัญหาแล้ว เพราะแต่ละคนตัดสินไม่เหมือนกัน อีกทั้งความเป็นธรรมแต่ละคนไม่เหมือนกัน ตัวอย่างนี้กฎหมายก็ไม่ได้ชี้ทันทีว่า เป็นของใคร แค่สันนิษฐาน ซึ่งสามารถหักล้างได้” นักวิชาการด้านนิติศาสตร์ กล่าวย้ำ
เพราะฉะนั้น กฎหมายจึงเกิดขึ้นมาเพื่อหาหลักที่คิดว่า เป็นธรรมที่สุด
อีกกรณี หากท่านไปซื้อที่นาจากชาวนาคนหนึ่ง ในที่ดินแปลงนั้นมีต้นข้าวออกรวง ถามว่า รวงข้าวในที่นาจะตกเป็นของเรา หรือเป็นของชาวนาคนนั้นต่อไป ..?
หากไปเปิดดูกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 145 ระบุว่า “ไม้ยืนต้นเป็นส่วนควบกับที่ดินที่ไม้นั้นขึ้นอยู่ (หมายถึงซื้อที่ก็ได้ต้นไม้ด้วย) แต่ไม้ล้มลุกหรือธัญชาติอันจะเก็บเกี่ยวรวงผลได้คราวหนึ่งหรือหลายคราวต่อปี ไม่เป็นส่วนควบกับที่ดิน (แปลว่า ซื้อไปได้แต่ที่ รวงข้าวเป็นของเจ้าของเดิม )”
นี่คือกติกา …เพราะหากนำแค่ความยุติธรรมในใจ มาแก้ปัญหา ก็จะไม่สามารถสร้างความยุติธรรมอย่างแท้จริงให้เกิดขึ้นในสังคมไทยได้
ทำผิดจริงต้องติดคุก แล้วเป็นธรรมหรือไม่
อีกมุมหนึ่ง ปัญหาของชาวมอแกน ที่หมู่เกาะเภตรา จังหวัดสตูล อาศัยอยู่ตรงนี้มากว่า 300 ปี ทำอาชีพประมงพื้นบ้าน ซึ่งอยู่มาก่อนการประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติ ปัจจุบัน ปรากฎว่า ชาวมอแกนที่เคยจับปลาหาเลี้ยงชีพ วันหนึ่งรัฐประกาศให้เป็นเขตอุทยานแห่งชาติ ชาวมอแกนกลายเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายทันที
ถามว่า หากท่านเป็นผู้พิพากษา เมื่อเจ้าหน้าที่อุทยานจับชาวมอแกนมาส่งอัยการ ส่งต่อศาล คดีถึงมือจะตัดสินคดีนี้อย่างไร
ทำผิดจริงต้องติดคุก ตัดสินอย่างไรให้เป็นธรรม เมื่อพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 มาตรา 16 ระบุ ภายในเขตอุทยานแหงชาติ ห้ามมิให้บุคคลใด นำสัตว์ออกไป หรือทำด้วยประการใดๆ ให้เป็นอันตรายแก่สัตว์ กำหนดโทษ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
คดีนี้ ชาวมอแกนบุกรุกอุทยานแห่งชาติหรือไม่ …? หากเจาะลึกลงไปดูที่เป้าหมายของกฎหมาย คือ ความยุติธรรม ซึ่งในมุมคิดของนักวิชาการด้านนิติศาสตร์ มธ. มีคำตอบสั้นๆ ว่า ไม่
หมายถึง..ชาวมอแกนไม่ได้บุกรุกเขตอุทยาน
พร้อมยกพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 และพระราชบัญญัติป่าสงวน พ.ศ.2507 ขึ้นมาเปรียบเทียบว่า หลังจากมีพรบ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 ก็มีพรบ.ป่าสงวน พ.ศ.2507 ออกมาในช่วงเวลาเดียวกัน พรบ.2 ฉบับดังกล่าว ออกมาขณะที่ประเทศไทยไม่ได้อยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย เพราะจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจ พ.ศ.2501 และมีสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่มาจากการแต่งตั้ง
พรบ.ป่าสงวน พ.ศ.2507 หลักก็คือ ป่าสงวนที่มีมาก่อนแล้วก็ให้ถือเป็นป่าสงวนต่อไป หากรัฐมนตรีเห็นสมควรกำหนดที่ใดเป็นป่าสงวนเพิ่มก็ให้ออกกฎกระทรวง ขณะที่มาตรา12 โดยวางเป็นหลักยกเว้นไว้ว่า “บุคคลใดอ้างว่า มีสิทธิ หรือได้ทำประโยชน์ในเขต ป่าสงวนแห่งชาติใดอยู่ก่อนวันที่กฎกระทรวงกำหนดป่าสงวนแห่งชาตินั้นใช้ บังคับ ให้ยื่นคำร้องเป็นหนังสือต่อนายอำเภอหรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้า ประจำกิ่งอำเภอท้องที่ภายในกำหนดเก้าสิบวัน นับแต่วันที่กฎกระทรวงนั้น ใช้บังคับ ถ้าไม่ยื่นคำร้องภายในกำหนดดังกล่าว ให้ถือว่าสละสิทธิหรือ ประโยชน์นั้น”
ฟังๆ ดูเหมือนจะดี และให้โอกาสประชาชนในการร้องว่า ตัวเขาอยู่ในเขตป่าสงวน แต่ถามว่า ชาวบ้านจะรู้หรือไม่ มิเช่นนั้นแล้วชาวบ้านต้องไปเปิดดูในราชกิจจานุเบกษา ฉะนั้น จากวันวานถึงวันนี้กลายเป็นว่า 90 วันผ่านไป ชาวบ้านยอมรับโดยปริยาย สิ่งนี้ใช่หรือไม่ ทำให้ชาวบ้านกลายเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายทันที
นี่แหละ คือ ที่มาของปัญหา กฎหมายไม่ได้เป็นไปเพื่อคนจน !!
กฎหมาย-ความยุติธรรมอะไรสำคัญกว่า
แล้วระหว่างกฎหมายกับความยุติธรรมอะไรสำคัญกว่า อาจารย์ปริญญา ตั้งคำถาม พร้อมกับชี้ว่า เป็นเรื่องสำคัญมากของนักกฎหมาย การมาบอกว่า มีกฎหมายแล้ว กฎหมายมาก่อนอย่างเดียว ได้ก่อให้เกิดการตีความกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย
“ หากพรบ.ป่าสงวนฯ ออกมาตามวิถีทางประชาธิปไตย ผู้แทนฯ ยุคนี้สมัยนี้ คงต้องลุกขึ้นคัดค้านในชั้นแปรญัตติอย่างแน่นอน” อาจารย์ปริญญา เชื่ออย่างนั้น และว่า อย่างไรเสียการมีสภาฯ ที่มีจากประชาชนก็จะมีการท้วง มีการค้าน แต่ในเมื่อพรบ.ป่าสงวนฯ มาจากยุคสมัยเผด็จการ สาเหตุนี้ใช่หรือไม่ ที่ทำให้คนกว่า 2 ล้านคนอย่างน้อย เดือดร้อน กลายเป็นผู้บุกรุกป่าทันที ปมปัญหานี้ จนบัดนี้ก็ยังแก้กันไม่เสร็จ
ที่สำคัญ การตรากฎหมาย อาจารย์ปริญญา เสนอว่า เราต้องพยายามตรากฎหมาย โดยให้ผู้แทนราษฎร มีความคิดเรื่อง “คนจน” ให้มากขึ้น เพราะกฎหมายของเราหลายข้อ หากได้รับการแก้ไขจะสามารถแก้ปัญหาคนจนให้ดีขึ้นได้ ไม่ว่า ฝ่ายผู้บังคับใช้กฎหมาย กฎหมายเป็นอย่างไร ก็ต้องตีความโดยคำนึงถึงความยุติธรรม ฝ่ายตุลาการก็เช่นเดียวกัน กับดุลยพินิจในการตีความให้เกิดความยุติธรรมได้ ไม่ใช่ทำผิดมาแล้วสั่งจำคุกเพียงอย่างเดียว
ทั้งนี้ เราก็ต้องไม่ลืมด้วยว่า จุดเปลี่ยนกฎหมายไทย ในรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด ได้รับรองสิทธิของประชาชนและคนจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิชุมชน ในมาตรา 66 "หลักการ" มีอยู่แล้ว เหลือเพียงการบังคับใช้รัฐธรรมนูญ ก็จะแก้ปัญหาเรื่องคนจนไปได้มาก
รวมทั้งมีตัวช่วยอย่างเช่น การจะทำโครงการที่กระทบต่อชุมชนและสุขภาพ นอกจากต้องมีการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) แล้ว ก็มีการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ (HIA) หรือ รัฐธรรมนูญ มาตรา 27 บอกว่า สิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้โดยชัดแจ้ง โดยปริยาย หรือโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ย่อมได้รับความคุ้มครองและผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐโดยตรงในการตรากฎหมาย การใช้บังคับกฎหมาย และการตีความกฎหมายทั้งปวง
อาจารย์ปริญญา ทิ้งท้ายไว้ว่า นี่เป็นเบื้องต้น ตั้งแต่รัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา ต่อด้วย 2550 ได้รับรองสิทธิชุมชน สิทธิคนจน ไว้มากมายสำคัญ เหลือเพียงแค่ “รอ” การปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น...