- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- มหากาพย์ทวงคืนค่ารักษา ผู้ประกันตน-สปส.
มหากาพย์ทวงคืนค่ารักษา ผู้ประกันตน-สปส.
การขับเคลื่อนเพื่อกดดันให้ระบบประกันสังคมภายใต้การดูแลของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ปฏิรูปตัวเองด้วยการเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ประกันตน 9.4 ล้านคน และหาช่องทางบริการจัดการเพื่อลดความเหลื่อมล้ำด้านการจ่ายเงินสมทบค่ารักษาพยาบาล มีอยู่ต่อเนื่องและเข้มข้นขึ้นทุกขณะ
แม้ว่าคณะกรรมการการแพทย์ สปส.จะชงเรื่องเข้าสู่คณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ดสปส.) ให้อนุมัติสิทธิประโยชน์เพิ่มอีก 7 ประการใหญ่ แต่การประชุมบอร์ดสปส.ครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 26 เม.ย.ที่ผ่านมา กลับมีการเคาะเพิ่มเพียง 5 รายการเท่านั้น ส่วนอีก 2 รายงานที่ยังไม่ปรับเพิ่ม บอร์ดสปส.ให้เหตุผลว่ายังไม่มีความชัดเจนเรื่องงบประมาณว่าจะกระทบต่อกองทุนสปส.หรือไม่
อย่างไรก็ตามจะมีการนำสิทธิประโยชน์อีก 2 รายการเข้าสู่การประชุมบอร์ดสปส.ครั้งหน้าช่วงกลางเดือนพ.ค.นี้ ซึ่งคาดว่าบอร์ดสปส.จะอนุมัติให้ปรับเพิ่ม ที่น่าสนใจคือขณะนี้ระบบประกันสังคมพยายามเร่งเครื่องผลักดันสิทธิประโยชน์บางรายการให้เหนือสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) ซึ่งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เป็นผู้ดูแล อย่างชัดเจน
แน่นอนว่า ไม่ว่าใครจะให้สิทธิประโยชน์เหนือกว่าใคร ท้ายที่สุดแล้วผลพลอยได้ย่อมตกอยู่กับประชาชน โดยเฉพาะผู้ประกันตน 9.4 ล้านคน
ในขณะที่การแข่งขันเพื่อปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์กำลังดำเนินไป ประเด็นความเหลื่อมล้ำเรื่องการจ่ายสมทบค่ารักษาพยาบาลยังไม่สามารถผลักดัน เพื่อแก้ไขได้อย่างเป็นรูปธรรม
ช่องทางการต่อสู้พุ่งเป้าไปยังกระบวนการศาลยุติธรรม มีการประเมินว่าประเด็นความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นสามารถต่อสู้ได้ทั้งศาลแรง งาน ศาลปกครอง และศาลรัฐธรรมนูญ โดยสถานการณ์ปัจจุบันมีความพยายามจะเข็นเรื่องนี้เข้าสู่ชั้นศาลในหลายช่อง ทาง แต่ทว่าจนถึงที่สุดแล้วยังไม่มีเรื่องเข้าสู่ชั้นศาลแม้แต่เรื่องเดียว
ช่วงปลายเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา วันที่ 28 เม.ย. ชมรมพิทักษ์สิทธิผู้ประกันตน เข้า ยื่นคำฟ้องต่อศาลแรงงานเป็นครั้งแรก สังคมเฝ้าจับตาด้วยความระทึกเนื่องจากหากศาลรับเรื่องไว้พิจารณนับเป็นหน้า ใหม่ของประวัติศาสตร์ โดยชมรมพิทักษ์สิทธิฯ ยื่นฟ้องสปส. ประเด็นการเก็บเงินสมทบค่ารักษาพยาบาลอัตรา 0.88% ต่อเดือนจากผู้ประกันตน ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 30
รัฐธรรมนูญมาตรา 30 ระบุว่า “บุคคล ย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับบริการทางสาธารณสุขที่เหมาะสมและได้มาตรฐาน และผู้ยากไร้ มีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลจากสถานบริการสาธารณสุขของรัฐ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ...” ชมรมพิทักษ์สิทธิฯ จึงเดินหน้าเรียกร้องให้สปส.คืนเงินสมทบค่ารักษาพยาบาลพร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.2549 เป็นต้นมา รวมทั้งสิ้น 24,300 บาท
ทว่า ศาลแรงงานไม่รับฟ้อง! ด้วยเหตุผลการยื่นฟ้องของชมรมพิทักษ์สิทธิฯ ไม่สามารถเป็นโจทก์ร่วมฟ้องพร้อมกัน 3 คนได้ และเห็นว่าชมรมพิทักษ์สิทธิฯ ควรไปเจรจากับสปส.เพื่อขอเงินคืนเอง
คำร้องที่ยื่นต่อศาลแรงงานแบ่งออกเป็น 5 ข้อ ลำดับความเป็นมาของสาเหตุการดำเนินการของสปส.ที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายสูงสุดโดยละเอียด ได้แก่ 1.ยืนยันว่าโจทก์เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 แห่งพ.ร.บ.ประกันสังคม 2533 2.จำเลยได้เสนอให้รมว.แรงงานในขณะนั้นออกกฎกระทรวงเก็บเงินสมทบ
3.รัฐบาลได้ผ่าน พ.ร.บ.ประกันสังคม 2533 โดยกำหนดให้ 3 ฝ่ายร่วมจ่ายสมทบ ได้แก่นายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐบาล ในอัตรา 1.5% ของค่าจ้าง ต่อมารัฐธรรมนูญปี 2540 กำหนดให้ประชาชนได้รับบริการสุขภาพอย่างเท่าเทียม (บทบัญญัติเดียวกับ มาตรา 30 รัฐธรรมนูญ 2550) และช่วงปี 2545 มี พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติเกิดขึ้น (30 บาทรักษาทุกโรค) หลังจากนั้น นพ.มงคล ณ สงขลา รมว.สาธารณสุขขณะนั้นได้ยกเลิกการเก็บ 30 บาท ในวันที่ 31 ต.ค.2549
“การที่จำเลยเรียกเก็บเงินสมทบในส่วนนี้จากโจทก์จึงขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ นับแต่วันที่ 31 ต.ค.2549เป็นต้นมา” เอกสารคำฟ้องระบุ
4.โจทก์ได้ทำจดหมายเรียกร้องให้จำเลยหยุดเก็บเงินสมทบด้านสุขภาพตั้งแต่ในวันที่ 9 มี.ค.และ 4 เม.ย.ที่ผ่านมา แต่ก็ถูกเพิกเฉย 5.การจัดเก็บเงินเงินตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.2549 ถึงปัจจุบัน รวม 54 เดือน ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ด้วยไม่มีอำนาจบังคับคดีเองจึงต้องนำคดีมาฟ้องต่อศาลเพื่อเป็นที่พึ่ง
มุมมองทางกฎหมายจากคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก อธิบายว่า ศาลจะรับคำฟ้องหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับขอบเขตและอำนาจของศาล กรณีคำฟ้องเรื่องการเก็บเงินของสปส.น่าจะเป็นการกระทำด้านปกครองซึ่งควรฟ้องที่ศาลปกครอง แต่หากมองปัญหาเกิดจากนโยบายรัฐก็ควรใช้ช่องทางของรัฐสภา หรือส่งเรื่องผ่านผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า เป็นเพราะกฎหมายขัดรัฐธรรมนูญ นโยบายรัฐจึงไม่ชอบหรือไม่ สำหรับอำนาจของศาลปกครอง ส่วนใหญ่เป็นการวินิจฉัยข้อพิพาทระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง สิทธิการจ้างงาน รวมถึงวิธีการ รายละเอียด หรือข้อกำหนดข้อบังคับต่างๆ เกี่ยวกับการจ้างงาน
ขณะที่ ดร.ภูมิ มูลศิลป์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ วิเคราะห์ว่า คำฟ้องของชมรมพิทักษ์สิทธิฯ ยังสามารถใช้ได้ แต่ต้องยื่นให้ถูกช่องทางคือศาลปกครอง เนื่องจากเป็นประเด็นความล่าช้าในการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานรัฐ และมาตรา 10 แห่งพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 2545 อาศัยอำนาจตามมาตรา 9 พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2542 โดยศาลมีอำนาจในการบังคับให้หน่วยงานรัฐดำเนินการตามคำฟ้องได้
อาจารย์ ภูมิ มองว่า เหตุที่ศาลแรงงานไม่รับคำฟ้องเนื่องจากไม่มีอำนาจในการตัดสิน ส่วนช่องทางศาลรัฐธรรมนูญก็อาจจะยังไม่ชัดเจน เพราะหากมองว่าพ.ร.บ.ประกันสังคม 2533 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เนื่องจากพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 2545 เลิกเก็บเงินจากประชาชน ก็ต้องเข้าใจพื้นฐานของกฎหมายทั้ง 2 ฉบับก่อนว่ามีที่มาและวัตถุประสงค์ต่างกัน อย่างไรก็ตามถึงแม้ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยว่าขัดจริงก็มีอำนาจเพียงแก้ไขบท บัญญัติ ซึ่งจะทำให้ไม่ตรงตามจุดมุ่งหมายของการยื่นฟ้อง
น.ส.สารี อ๋องสมหวัง โฆษก ชมรมพิทักษ์สิทธิฯ ยืนยันว่า แม้ศาลแรงงานจะไม่รับคำฟ้อง จะเดินหน้ากดดันเพื่อลดความเหลื่อมล้ำจากการเป็นคนกลุ่มเดียวที่ต้องจ่ายค่า รักษาพยาบาลให้กับตัวเอง โดยจะออกมาตรการอารยะขัดขืน 3 แนวทาง ได้แก่ 1.รณรงค์ให้ผู้ประกันตนขอคืนเงินจากสปส.โดยมีแบบฟอร์มสำเร็จรูปให้ดาวน์โหลด ผู้ประกันตนเพียงเซ็นชื่อก็สามารถส่งไปถึงสปส.ได้ทันที 2.ดื้อแพ่งด้วยการหยุดจ่ายเงินสมทบเพื่อแสดงอารยะขัดขืน 3.ยื่นเรื่องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน หวังให้ส่งเรื่องต่อสู่ศาลรัฐธรรมนูญ
นายนิมิตร์ เทียนอุดม เลขาธิการชมรมพิทักษ์สิทธิฯ ขยายความว่า เตรียมรณรงค์จะเชิญชวนผู้ประกันตนทำจดหมายขอเงินสมทบคืน โดยดาวน์โหลดจาก facebook/ชมรมพิทักษ์สิทธิ์ผู้ประกันตน หรือ www.access.com หรือ www.consumerthai.org และ จัดส่งมาที่ ชมรมพิทักษ์สิทธิผู้ประกันตน เลขที่ 4/2 ซ.วัฒนโยธิน แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กทม. 10400 จากนั้นชมรมพิทักษ์สิทธิฯ จะรวบรวมเพื่อส่งไปยังสปส.ต่อไป
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ นายประสิทธิ์ จงอัศญากุล บอร์ดสปส. ฝ่ายนายจ้าง ได้เข้ายื่นเรื่องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินแล้ว ในประเด็นการเก็บเงินสมทบของสปส.ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เนื่องจากรัฐธรรมนูญระบุว่ารัฐต้องให้บริการด้านสุขภาพอย่างเท่าเทียมเสมอ หน้า และผู้ตรวจการแผ่นดินได้แทงความเห็นกลับมายังสปส.โดยเห็นตรงกับคำร้องว่าการ เก็บเงินสมทบขัดต่อรัฐธรรมนูญจริง พร้อมกันนี้ยังให้เวลาสปส. 30 วัน เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ
ทว่าถึงขณะนี้ ล่วงเลยเกิน 30 วันตามที่ผู้ตรวจการกำหนดแล้ว มีความเห็นจาก นายเฉลิมศักดิ์ จันทรทิม เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ระบุว่า เบื้องต้นสปส.ได้ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว อาทิ เพิ่มสิทธิประโยชน์ หรือตั้งทีมเจรจาตามมาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 อย่างไรก็ตามต้องสอบถามความเห็นจากผู้ร้อง (นายประสิทธิ์) อีกครั้งว่า การดำเนินการดังกล่าวตรงตามคำร้องหรือไม่ ซึ่งนายประสิทธิ์ ได้แสดงความคิดเห็นล่าสุดว่า จะเข้าร้องผู้ตรวจอีกครั้ง เนื่องจากการกระทำของสปส.ยังไม่ตรงตามเป้าประสงค์ คือยังไม่มีการหารือเพื่อลดความเหลื่อมล้ำด้านการจัดเก็บเงินสมทบจากผู้ ประกันตน
จึงต้องเฝ้ารอว่าหลังจากนี้จะมีการดำเนินการใดๆ ในชั้นศาลอีกหรือไม่ เนื่องจากนักกฎหมายเสนอว่าช่องทาง “ศาลปกครอง” มีความเป็นไปได้มากที่สุด ในขณะที่เรื่องซึ่งอยู่ในชั้นของผู้ตรวจการแผ่นดินกำลังจะจ่อเข้าสู่การพิจารณาของ “ศาลรัฐธรรมนูญ”
ในฐานะผู้ประกันตนนอกจากจะต้องติดตามความเหลื่อนไหวที่เกิดขึ้นแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องร่วมมือรวมพลังกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อสิทธิของตัวเอง
เพราะโจทย์คือ เหตุใดผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม 9.4 ล้านคน จึงเป็นคนกลุ่มเดียวที่ต้องจ่ายเงินเพื่อรักษาพยาบาลตัวเอง ในขณะที่ประชาชนผู้ใช้สิทธิบัตรทองและผู้ใช้สิทธิสวัสดิการข้าราชการ รัฐบาลเป็นผู้ดูแลอุดหนุนแทบทั้งสิ้น