- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- เมื่อ“คุรุสภา”เผชิญวิกฤต!! “คนใน”เอี่ยวซื้อ-ขาย ป.บัณฑิต ม.อีสาน(เสียเอง)
เมื่อ“คุรุสภา”เผชิญวิกฤต!! “คนใน”เอี่ยวซื้อ-ขาย ป.บัณฑิต ม.อีสาน(เสียเอง)
กลายเป็น “มหากาพย์” ไปเรียบร้อย (มหาวิทยาลัยอีสาน) แล้ว สำหรับปัญหาการซื้อ-ขาย ประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู (ป.บัณฑิต) ของ "มหาวิทยาลัยอีสาน (มอส.)" ที่มีแต่ความสับสน วุ่นวาย ไร้วี่แววว่าจะจบลงอย่างไร จบเมื่อไหร่ และจบแบบไหน
เพราะแม้ว่าผลสอบของ "คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง" ของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) จะระบุว่า มหาวิทยาลัยอีสานมีการซื้อ-ขาย ป.บัณฑิต จริง ทำให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) “นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ” ลงนามในคำสั่งแต่งตั้ง "คณะกรรมการควบคุมการดำเนินการมหาวิทยาลัยอีสาน" โดยมี "นายสมนึก พิมลเสถียร" อดีตรองผู้อำนวยการสำนักงานประมาณ เป็นประธาน เข้าไปควบคุมการบริหารงานในทุกๆ ด้าน ทั้งด้านการบริหารงาน บริหารเงิน บริหารบุคลากร รวมถึง ทำหน้าที่แทนสภามหาวิทยาลัย
ซึ่งคณะกรรมการควบคุมการดำเนินการ มอส.ได้แต่งตั้ง “รศ.สุมนต์ สกลไชย” อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น และกรรมการควบคุมการดำเนินการ มอส.ให้เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยอีสาน แทน “นายอัษฎางค์ แสวงการ” อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยอีสาน ที่พ้นเก้าอี้ไป
เพื่อเข้าไป “สะสาง” ปัญหาต่างๆ ภายในมหาวิทยาลัย และช่วยเยียวยาบัณฑิตหลักสูตร ป.บัณฑิตวิชาชีพครู มอส.ที่ได้เรียน สอบ ฝึกปฏิบัติการสอน และสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยอีสานจริงๆ
ไม่ใช่ได้ประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครูมาด้วยการซื้อ!!
ขณะเดียวกัน ที่ประชุม “คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ (กมว.)” ที่มี “นายนิยม ศรีวิเศษ” ประธานคณะกรรมการ กมว.ได้มีมติให้ “เพิกถอน” ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูของ 749 บัณฑิตหลักสูตร ป.บัณฑิต วิชาชีพครูของมหาวิทยาลัยอีสาน ที่สำเร็จการศึกษาในรุ่นปีการศึกษา 2551-2553 ซึ่งคุรุสภาได้ออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพให้ไปแล้ว หลังจากได้เลื่อนการพิจารณามาแล้วครั้งหนึ่ง
ทั้งนี้ กรณีที่คณะกรรมการ กมว.มีมติเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู เพราะบัณฑิตเหล่านี้ขาดคุณสมบัติในการขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู กรณีไม่มีวุฒิปริญญาทางการศึกษา หรือเทียบเท่า ตามบทบัญญัติในมาตร 49 แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางการปกครอง พ.ศ.2539 ซึ่งบัณฑิตทั้ง 794 ราย อยู่ในกลุ่มรายชื่อบัณฑิต 1,387 ราย ที่มหาวิทยาลัยอีสานเสนอรายชื่อให้คุรุสภา และได้ขอถอนการรับรองประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู เนื่องจากรายชื่อทั้งหมดยังไม่ผ่านการอนุมัติจากสภามหาวิทยาลัยอีสาน
โดยบัณฑิตคนใดที่ยังต้องการใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูอยู่ จะต้องไปติดต่อที่มหาวิทยาลัยอีสาน เพื่อเริ่มต้นกระบวนการใหม่ และเพื่อรับการตรวจสอบว่าได้สมัครเข้าเรียนจริง สอบจริง ฝึกปฏิบัติการสอนจริง และสำเร็จการศึกษาจริง ก่อนที่จะเสนอขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูไปยังคุรุสภาใหม่อีกครั้ง โดยคุรุสภาจะตรวจสอบ และพิจารณาให้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูเป็นรายบุคคล
ล่าสุด อธิการบดีมหาวิทยาลัยอีสานได้แบ่งกลุ่มบัณฑิตหลักสูตร ป.บัณฑิตวิชาชีพครู ที่มาร้องยังศูนย์รับเรื่องร้องเรียนที่มหาวิทยาลัยอีสาน และมหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู กลุ่มที่มหาวิทยาลัยแจ้งยกเลิกบ ป.บัณฑิตวิชาชีพครู ทั้งที่เรียนจริง และกลุ่มที่เรียนจริง แต่ยังไม่จบ
โดยข้อมูลทั้งหมดที่ได้ จะนำมาใส่ไว้ในโปรแกรมการวิเคราะห์ประเภทปัญหาและสถานะต่างๆ ของผู้ร้องเรียน ที่ศูนย์คอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ทำขึ้น เพื่อให้การประมวลผลเป็นไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นคณะทำงานตรวจสอบกิจกรรมการเรียนการสอนจะตรวจสอบข้อมูลก่อนส่งให้ “คณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อแก้ไขปัญหาบัณฑิตหลักสูตร ป.บัณฑิตวิชาชีพครู” ที่มี “นายอานนท์ เที่ยงตรง” เป็นประธาน
เบื้องต้นคาดว่า บัณฑิตหลักสูตร ป.บัณฑิตวิชาชีพครู 120 ราย ที่เรียนในศูนย์ที่ตั้ง หรือที่เรียนในมหาวิทยาลัยอีสาน และถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู จะได้รับการเยียวยาก่อน เนื่องจากสามารถหาเอกสาร และหลักฐานมาตรวจสอบได้ง่ายกว่าบัณฑิตที่เรียนในศูนย์การศึกษานอกที่ตั้งของมหาวิทยาลัยอีสาน โดยบัณฑิตกลุ่มนี้ จะได้สิทธิในการยื่นขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูก่อน
ทั้งหลายทั้งปวงนี้ จะต้องเสนอให้คณะกรรมการควบคุมการดำเนินการของมหาวิทยาลัยอีสาน พิจารณาในวันที่ 25 พฤษภาคม รวมถึง การคลอดมาตรการเยียวยาบัณฑิตเหล่านี้ด้วย
ความพยายาม และแนวทางการแก้ปัญหาของคณะกรรมการควบคุมการดำเนินการของมหาวิทยาลัยอีสาน และผู้บริหารชุดใหม่ของมหาวิทยาลัยอีสาน ทำให้ดูเหมือนว่าปัญหาต่างๆ กำลังจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี
แต่ความจริงแล้วปัญหาใหม่ และเป็นปัญหาใหญ่ ที่กำลังรอรัฐมนตรีว่าการ ศธ.จะต้องใช้ “ความกล้าหาญ” เพื่อเข้าไป “สะสาง” คือปัญหาที่เกิดจาก “คนใน” คุรุสภาด้วยกันเอง ที่ “หากิน” กับการเปิดหลักสูตร ป.บัณฑิตวิชาชีพครู ในศูนย์การศึกษานอกสถานที่ตั้งของมหาวิทยาลัยอีสานเสียเอง
ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม และมีผลประโยชน์ทับซ้อน เนื่องจากคุรุสภามีหน้าที่รับรองหลักสูตร ป.บัณฑิตวิชาชีพครู และเป็นผู้ออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู แต่กลับหาผลประโยชน์จากอำนาจหน้าที่ที่มีนี้เสียเอง
เมื่อยิ่งสาวลึกลงไปในประเด็นนี้ กลับยิ่งพบความไม่ชอบมาพากล เมื่อมี “ผู้บริหาร” และ “กรรมการ” คุรุสภาหลายคน เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างเห็นได้ชัดเจน
อย่างผู้บริหารคุรุสภา 2 ราย ที่มีส่วนในการเปิดศูนยการศึกษานอกที่ตั้งของมหาวิทยาลัยอีสาน ที่ จ.เลย และ จ.มุกดาหาร ส่วนกรรมการคุรุสภาอีก 2 ราย ไปเปิดศูนย์การศึกษานอกสถานที่ตั้งของมหาวิทยาลัยอีสานที่ จ.ขอนแก่น
ขณะเดียวกัน ผู้บริหารคุรุสภาบางคนเคยมีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับอดีตผู้บริหารมหาวิทยาลัยอีสาน แต่เกิดปัญหาความขัดแย้งในภายหลัง
นอกจากนี้ ยังเกิดความขัดแย้งระหว่างผู้บริหารคุรุสภา และกรรมการคุรุสภาบางคน ทั้งในเรื่องการประเมินผลงาน การฟ้องร้องเกี่ยวกบการปลอมแปลงเอกสารของคุรุสภา เป็นต้น จนทำให้เกิดการเอาคืนระหว่าง 2 ฝ่าย
ล่าสุด มีกรรมการคุรุสภากลุ่มหนึ่ง ที่มีส่วนร่วมในการเปิดศูนย์การศึกษานอกสถานที่ตั้งของมหาวิทยาลัยอีสาน พยายามทำหน้าที่ “คนกลาง” แทนอดีตผู้บริหารมหาวิทยาลัยอีสาน ขอเจรจาไกล่เกลี่ยกับผู้บริหารคุรุสภา เพื่อขอให้ยุติการดำเนินการกับมหาวิทยาลัยอีสานในการซื้อขาย ป.บัณฑิตวิชาชีพครู
โดยเบื้องต้นกรรมการคุรุสภากลุ่มนี้พยายามยื้อไม่ให้ที่ประชุม “คณะกรรมการคุรุสภา” เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ที่ผ่านมา มีมติฟ้องมหาวิทยาลัยอีสาน และอดีตผู้บริหารมหาวิทยาลัยอีสาน โดยอ้างว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และเกี่ยวกับการดำเนินคดีอาญาและแพ่ง จึงต้องมอบให้ “คณะอนุกรรมการด้านกฎหมายของคุรุสภา” ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายจากหน่วยงานต่างๆ มาร่วมพิจารณา แล้วค่อยเสนอคณะกรรมการคุรุสภาอีกครั้งในวันที่ 3 มิถุนายน
กรรมการคุรุสภากลุ่มนี้ จึงอาศัยช่วงเวลานี้ พยายามเจรจาต่อรองกับผู้บริหารคุรุสภาบางราย เพื่อให้หยุดดำเนินการกับมหาวิทยาลัยอีสาน
ซึ่งการกระทำเช่นนี้ ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมอย่างรุนแรง และจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ที่รับผิดชอบ ศธ.จะต้องเข้ามาดูแล และดำเนินการกับคนกลุ่มนี้อย่างเด็ดขาด ทั้งในส่วนของผู้ที่ไปหาผลประโยชน์จาก การเปิดศูนย์การศึกษานอกสถานที่ตั้งของมหาวิทยาลัยอีสาน และผู้ที่พยายามสกัดไม่ให้มีการฟ้องร้อง หรือลงโทษผู้ที่กระทำผิดในการซื้อขาย ป.บัณฑิตวิชาชีพครู
เพราะคนที่ผู้บริหาร และกรรมการคุรุสภา ควรจะปกป้องอย่างถึงที่สุดคือ “บัณฑิต” หลักสูตร ป.บัณฑิตวิชาชีพครู ของมหาวิทยาลัยอีสาน ที่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนอย่างจริงจัง และต้องตกเป็น “เหยื่อ” ของผู้ที่ต้องการแสวงหาผลประโยชน์ ทั้งในส่วนของมหาวิทยาลัยอีสาน และผู้บริหาร หรือกรรมการคุรุสภาบางรายเอง
ฉะนั้น หากทั้งรัฐมนตรี ศธ., คณะกรรมการคุรุสภา หรือผู้ที่มีส่วนต้องรับผิดชอบกับปัญหาดังกล่าว “ละเลย” และไม่ดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อเอาคนผิดมาลงโทษ เพราะเห็นแก่ “พวกพ้อง” และ “ประโยชน์” ที่ตนเองจะได้รับ
ก็จะต้องถูกลงโทษเสียเองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
ที่สำคัญ ผู้เกี่ยวข้องจำเป็นต้องเร่งกู้วิกฤตศรัทธาที่กำลังเกิดขึ้นกับคุรุสภาในขณะนี้ เพราะถ้ายิ่งปล่อยไว้ ไม่เฉพาะคุรุสภาที่จะไม่ได้รับการยอมรับ แต่จะเกิดวิกฤตกับวงการแม่พิมพ์พ่อพิมพ์ทั่วทั้งประเทศด้วย
ส่วนบัณฑิตหลักสูตร ป.บัณฑิตวิชาชีพ ที่ต้องตกเป็นเหยื่อของกลุ่มคนเหล่านี้ ก็จำเป็นที่ต้องรักษาสิทธิของตนเอง และรวมตัวกันเพื่อฟ้องร้องผู้ที่กระทำความผิด เพื่อไม่ให้คนเหล่านี้ไปหลอกลวงผู้อื่นอีกต่อไป ขณะเดียวกัน “สังคม” ก็จำเป็นที่จะต้องช่วยกันตรวจสอบ และเอาผู้ที่กระทำความผิดมาลงโทษให้จงได้
เรื่องนี้ “นายไชยยศ จิรเมธากร” รัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ.ระบุว่า แม้จะไม่ได้เป็นผู้กำกับดูแลคุรุสภา แต่ถ้าพบว่ามีผู้บริหาร หรือกรรมการคุรุสภาคนใดกระทำผิดจริง ก็สามารถเสนอรัฐมนตรีว่าการ ศธ.และนายกรัฐมนตรี หรือคณะรัฐมนตรี ให้ "ลงโทษ" ได้
สอดรับกับ “คณะกรรมาธิการการศึกษาวุฒิสภา” ที่ให้ความสำคัญกับปัญหาการซื้อขายปริญญาบัตร และ ป.บัณฑิตวิชาชีพครูของมหาวิทยาลัยอีสาน เตรียมจะหยิบยกเรื่องนี้เข้าหารือในการประชุม เพราะถือเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อวงการศึกษาไทย
และหากพบว่ามีผู้บริหาร หรือกรรมการสภาคุรุสภาคนใดเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ก็จะใช้อำนาจตามกรอบของวุฒิสภาในการ “ถอดถอน” ผู้ที่กระทำความผิดให้ออกจากตำแหน่งบริหารได้
ก็ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่า “จุดจบ” ของผู้ที่กระทำความผิดทั้งหลาย ทั้งอดีตผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยอีสาน รวมถึง ผู้บริหาร และกรรมการคุรุสภาบางราย ที่ไปหาผลประโยชน์จากการเปิดหลักสูตร ป.บัณฑิตวิชาชีพครู มหาวิทยาลัยอีสาน จะเป็นอย่างไร
โดยเฉพาะผู้ที่มีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ของบัณฑิตที่ตกเป็นเหยื่อ กลับไม่เอาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ แต่ปล่อยให้บุคคลเหล่านั้นลอยนวล เพราะแม้สุดท้ายจะหนีรอดจากการถูกลงโทษทางอาญา และทางแพ่งได้ก็ตาม
แต่ “ตราบาป” ที่ได้กระทำเอาไว้ จะติดตัวไปจนชั่วลูกชั่วหลาน!!