- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- “กองทัพ”ในงานป้องกันน้ำท่วม “แผนงาน-กม.”ในหน้ากระดาษ
“กองทัพ”ในงานป้องกันน้ำท่วม “แผนงาน-กม.”ในหน้ากระดาษ
ข้อถกเถียงในการใช้ พรก.บริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน ฯ เพื่อแก้ไขสถานการณ์น้ำท่วมนับแต่แรกเริ่มแรก มีเสียงดังมาจากฟากของพรรคประชาธิปัตย์ว่า ในสภาวะที่เกิดความวุ่นวาย ไร้ระเบียบ จนรัฐไม่สามารถ จัดการปัญหาให้ลุล่วงไปได้โดยง่ายอย่างเช่นที่เกิดขึ้น แต่ การใช้ พระราชกำหนด ฯ เพื่อสั่งการให้หน่วยปฏิบัติมีอำนาจในการเข้าควบคุมจัดการนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
หากแต่ข้อเสนอดังกล่าว ไม่ตรงกับความต้องการของฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะจากฟากแกนใน “วอร์รูม”ของรัฐบาล ที่เห็นว่า กฎหมายพิเศษฉบับนี้ การยกอำนาจให้ทหารในการคุมสถานการณ์ทั้งหมด ทั้งที่หน้าที่ในการแก้ไขปัญหาอุทกภัย หรือ ภัยพิบัติขนาดใหญ่นั้น ควรมีทุกหน่วยงานที่ต้องได้รับการแบ่งสรรหน้าที่ในแต่ละสภาพปัญหา
ในนานาอารยประเทศ ที่ระบบเตือนภัยมีความสมบูรณ์แบบ เพราะมีการปรับปรุงแก้ไขจากประสบการณ์ครั้งก่อนๆ และ ประชาชนก็เคยเจอกับเหตุภัยพิบัติหลายครั้ง ทำให้รัฐวางระบบในการบรรเทาสถานการณ์ให้เกิดความสูญเสียในชีวิตน้อยลง
ประเทศเหล่านั้น มักจะพัฒนาระบบมาตรวัด การเตือนภัย แผนการอพยพ รวมไปถึง การฟื้นฟู และ เยียวยา อย่างชัดเจน ส่งผลให้ ความตื่นตระหนก และ ความไร้ระเบียบ ในช่วงเกิดเหตุน้อยลง
เมื่อประชาชนรับรู้ว่าสถานการณ์ตรงหน้าจะเกิดอะไร และ รู้ว่ารัฐจะดูแลทรัพย์สินที่เขาทิ้งไปอย่างสมน้ำสมน้ำ ทำให้กลุ่มที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากภัยนั้น ยินยอมพร้อมใจที่จะทิ้งถิ่นฐาน และ ที่พักอาศัย เพื่อไปอยู่ที่ปลอดภัย หรือ ศูนย์อพยพ ซึ่งง่ายต่อการดูแลของเจ้าหน้าที่ ลดภาระในการต้องกระจายสิ่งของเข้าไปในหลายพื้นที่ ซึ่งคนยังตกค้าง อพยพไม่ได้
กฎหมายพิเศษ ในกรณีประเทศที่มีความพร้อม จึงไม่จำเป็น หน่วยงานต่างๆ ต้องร่วมมือและแบ่งงาน ตามแผนที่รัฐได้เตรียมไว้อย่างเป็นระบบ ซึ่งการดำเนินการเป็นไปตาม กฎหมายปกติที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการบรรเทาภัยพิบัติแห่งชาติ ซึ่งผู้นำประเทศมีอำนาจเต็มในการสั่งการ และ ต้องรับผิดชอบ ในกรณีที่เกิดความผิดพลาด
ในกรณีของประเทศไทย แนวโน้มการเกิดสาธารณภัยจากธรรมชาติในห้วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน พบว่ามีโอกาสที่จะเกิดขึ้นด้วยความถี่รุนแรงมากขึ้น เนื่องจากสภาพภูมิอากาศของโลกมีความเปลี่ยนแปลง ดังนั้นเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงภัยที่เกิดขึ้นกับชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รัฐบาลจึงได้กำหนด พรบ.ป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 เพื่อเป็นกรอบและแนวทางในการดำเนินงานเกี่ยวกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยอำนาจอยู่ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งต้องสั่งการฝ่ายปกครอง รวมถึง ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ แต่หากต้องการใช้อำนาจนายกฯ ในการสั่งการทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยการแผนอย่างเบ็ดเสร็จ ก็ใช้อำนาจตาม ม.31 ในการลงนามในคำสั่งสำนักนายกฯ เพื่อสั่งการทุกกระทรวง ทบวง กรมได้โดยตรง
กระนั้น คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2552 อนุมัติแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยปี 2553 ถึง 2557 เพื่อเป็นกรอบให้ทุกหน่วยงานได้นำไปปฏิบัติ หน่วยงานที่มีการเตรียมพร้อมที่สุด ก็คือกระทรวงกลาโหม เพราะมีความพร้อมทั้งกำลังพล ยุทโธปกรณ์ และ เครื่องมือต่างๆ ที่จะไปสนับสนุนพลเรือน
ในเอกสารของ กระทรวงกลาโหม ระบุว่า สาธารณภัยนั้น อาจจะเกิดจากภัยธรรมชาติ หรือ น้ำมือมนุษย์ ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต และทรัพย์สิน ชองประชาชน หรือ รัฐ ได้แก่ อุทกภัย และ ดินโคลนถล่ม ภัยจากพายุหมุนเขตร้อน อัคคีภัย แผ่นดินไหว อาคารถล่ม ภัยแล้ง ภัยหนาว ภัยจากสารเคมี และ วัตถุอันตราย ภัยจากการคมนาคม และ ขนส่ง ภัยจากไฟป่า และหมอกควัน ภัยจากคลื่นสึนามิ ภัยจากโรคแมลง สัตว์ ศัตรูพืชระบาด ภัยจากโรคระบาดในมนุษย์ ได้แก่ ภัยจากการก่อวินาศกรรม ภัยจากทุ่นระเบิดกับระเบิด ภัยทางอากาศ และ ภัยจากการชุมนุมประท้วง และการก่อจลาจล ซึ่งตามแผนป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2553 ถึง 2557 กระทรวงกลาโหม มีฐานะเป็นหน่วยสนับสนุน โดยกำหนดหน้าที่ของกระทรวงกลาโหมในด้านต่างๆ ไว้หลายประการ
กระนั้น แผนดังกล่าว จะทำแบบเป็นระบบ เนื่องจากมียุทธศาสตร์ถึง 4 ขั้นตอน คือ ยุทธศาสตร์การป้องกันและลดผลกระทบ ยุทธศาสตร์ที่ 2 การเตรียมพร้อมยุทธศาสตร์ที่ 3 คือ การบริหารจัดการในภาวะฉุกเฉิน ยุทธศาสตร์ที่ 4 การจัดการหลังเกิดภัย
จะเห็นได้ว่าการจัดทำแผนในเรื่องดังกล่าวมีมานานแล้ว แต่การปฏิบัติตามแผน และ ยุทธศาสตร์ในการป้องกันนั้น ยังไม่มีการดำเนินการแต่อย่างใด เมื่อต้องเข้าสู่สถานการณ์ภัยพิบัติร้ายแรง ซึ่งนายกฯ ใช้อำนาจ ม.31 สั่งการทุกกระทรวง จึงกลายเป็นช่วงที่สถานการณ์ ลุลาม – บานปลาย เกิดความเสียหายขนาดใหญ่ขึ้นมาแล้ว
ถ้ามีมาตรวัด และ ระบบการเตือนภัยที่ดี จนนำไปสู่การอพยพ แจ้งเตือน และเข้าสู่ตามขั้นตอนของกฎหมายและแผนบรรเทาสาธารณภัย ความสูญเสีย ความวุ่นวายต่างๆ ที่เกิดขึ้นนี้อาจจะน้อยลง
เพียงแต่ว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่มีสัญญาณบอกเหตุ มาตรวัดทางการผิดพลาด ประกอบกับ วาระซ่อนเร้น เงื่อนไขปัจจัยอื่นทางการเมืองที่แทรกซ้อน ทำให้ประชาชนที่ต้องเจอกับอุทกภัยไม่ทันตั้งตัว จึงมีข้อเสนอ ในการใช้ พรก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เข้ามา เพื่อหวังว่า “ทหาร” ซึ่งมีกำลังพลจำนวนมากปูพรมเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในทุกพื้นที่ น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ในการจัดระเบียบมวลชนที่กำลังตื่นตระหนก และลดความขัดแย้งของกลุ่มชาวบ้าน ที่ขัดแย้งกันเรื่องการเปิดปิดประตูน้ำ เพราะมีคนที่ได้รับผลกระทบไม่เท่าเทียมกัน
การเสนอ พรก.บริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน ฯ จึงเป็นอีกแนวคิดหนึ่ง ที่จะช่วยให้ภาวะตื่นตระหนกไม่สร้างความสูญเสียมากนัก อีกทั้งกฎหมายพิเศษจะมอบให้กองทัพ ซึ่งมีทหารเป็นเจ้าหน้าร่วมเป็นเจ้าพนักงานในการดูแล ความปลอดภัย ในชีวิตและทรัพย์สินได้อีกทาง
ทว่า สถานการณ์ผ่านเลยช่วงความตื่นตระหนก เพราะสื่อได้สร้างความชุดความคิดกับสภาวการณ์น้ำท่วมโดยมีข้อมูลอย่างรอบด้านเพื่อให้ประชาชนตัดสินใจแล้ว
“กองทัพ” จึงไม่ได้อยู่ในสถานะที่ต้องเล่นการเมืองเช่นเดียวกับรัฐบาล แต่ก็รับบทหนักในฐานะที่เป็นหน่วยปฏิบัติโดยมีกำลังพลจากกองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ ซึ่งมีการจัดศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองบัญชาการกองทัพไทยส่วนหน้า มี พล.อ. วรพงษ์ สง่าเนตร เสธ.ทหาร เป็นผบ.ศูนย์ฯ ทำงานประสานระหว่าง ศปภ. กับ กองทัพ โดยที่รัฐบาลเองไม่ต้องสั่งตรงไปที่ทุกเหล่าทัพ จนงานทับซ้อนพื้นที่
ในขณะที่ นายกรัฐมนตรี จะมอบหมายงานในแต่ละพื้นที่ และ แต่ละภารกิจให้กองทัพ ผ่านกระทรวงกลาโหม และ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองบัญชาการกองทัพไทย ส่วนหน้าเข้าไปประสานงานในการแบ่งกำลังพล ในแต่ละภารกิจ โดยการทำหน้าที่นี้ได้ทั้งเนื้องาน และ ภาพให้กองทัพ ไม่ต้องเข้าไปมีอำนาจสั่งการหรือควบคุมบังคับบัญชาในการประกาศ พรก.ฉุกเฉินฯ แทน ศปภ. ซึ่งมีคนคิดและวางแผนแก้ไขสถานการณ์อยู่แล้ว
ในส่วนของ ผู้นำเหล่าทัพ อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ซึ่งคุมกำลังพลที่ลงไปในพื้นที่มากที่สุด ก็เชื่อว่ากฎหมายในสถานการณ์ที่เลยจุด “ช็อค” ก็ไม่จำเป็นต้องใช้กฎหมายพิเศษ ในการจัดการปัญหา บางทีการใช้กฎหมายอาจทำให้เจ้าหน้าที่กระทบกระทั่งกับประชาชนที่กำลังเครียดได้ง่ายขึ้น เพราะฉะนั้น สิ่งที่ทำได้ คือการพูดคุยทำความเข้าใจ
จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทำให้เห็นว่า กฎหมาย และ แผนงาน ที่มีการวางและเตรียมไว้ในหน้ากระดาษไม่ได้ถูกงัดมาใช้อย่างเต็มที่ การแก้ไขสถานการณ์เป็นไปอย่างเฉพาะหน้า วิธีการกระจายงาน โดยให้นายกฯ ควบคุมสั่งการ เป็นการออกแบบเพื่อให้เอื้อต่อการกระชับอำนาจทางการเมือง และอำนวยการแก้ไขปัญหากับหน่วยงานอื่น เพื่อกระจายให้ผู้รับผิดชอบแต่ละส่วนแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที
เป็นการแก้ไขแบบ “วัน ต่อ วัน” และ “ชั่วโมง ต่อ ชั่วโมง” ตามเครื่องมือที่มีอยู่!!
แต่ถ้ารัฐบาลฉุกใจถึงปัญหาน้ำที่กำลังจะถล่มเมือง และหยิบแผนงาน กฎหมาย มาดูว่า การเตรียมตัวในการป้องกันปัญหาจากหนักเป็นเบา โดยให้กระทรวงกลาโหม และ กองทัพ ที่มีศักยภาพเรื่องกำลังพล และ ยุทโธปกรณ์ เป็นฝ่ายสนับสนุนตั้งแต่เริ่มต้นอย่างเป็นระบบ สถานการณ์ก็คงไม่เลวร้าย และ สร้างความสูญเสีย เช่นที่ปรากฎมากมายเช่นนี้