- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- แรงหวังความปรองดองจากเหยื่อ ถึงว่าที่...ส.ส.
แรงหวังความปรองดองจากเหยื่อ ถึงว่าที่...ส.ส.
ไม่ว่าการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 กรกฎาคมนี้จะเป็นหนทางนำไปสู่ความปรองดองอย่างที่นักเลือกตั้งทั้งหลายออกมาจุดพลุต่อสังคมจริงหรือไม่ แต่วันนี้กระแสเสียงของคนไทยที่ต้องการเห็นสังคมสงบสุข ไร้ความขัดแย้งได้เกิดขึ้นแล้ว...ทุกหย่อมหญ้า
ทว่าจังหวะที่นักการเมืองออกมาป่าวประกาศให้สังคมขานรับแนวทางการสร้างความสมานฉันท์ด้วยแนวทาง “นิรโทษกรรม” ให้กับทุกค่าย ทุกฝ่าย ทุกสีนั้น กลับไม่มีนักเลือกตั้งรายใดเปิดอกคุยกับผู้เคราะห์ร้ายที่กลายเป็น “เหยื่อทางการเมือง” ทั้งจากการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ว่า ผู้สูญเสียและญาติผู้สูญเสียเห็นด้วยกับแนวทางนั้นหรือไม่
ทีมงาน “ไทยรีฟอร์ม” จึงขอนำเสนอแนวทางการสร้างความสมานฉันท์ตามแบบฉบับของผู้เคราะห์ร้ายทางการเมือง เริ่มจากแนวคิดของ “ณัทพัช อัคฮาด” หรือ “กัน” เด็กหนุ่มวัย 22 ที่นับจากสูญเสีญพี่สาว “น.ส.กมลเกด อัคฮาด” อดีตพยาบาลอาสาในเหตุการณ์สลายการชุมนุมวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ทำให้เขากลายเป็นเด็กหนุ่มที่โตเกินวัย เพราะต้องรับภาระทุกอย่างแทนพี่สาว โดยหน้าที่ที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ต้องทำ คือ การดูแลและเยียวยาจิตใจแม่ผู้สูญเสียลูกสาวสุดรักไป ทั้งที่ไม่มีความผิด
ก่อนหน้านี้ครอบครัว “อัคฮาด” ไม่ได้เลือกยืนข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ความสูญเสียคนในครอบครัวทำให้วันนี้ทั้งเขาและแม่กลายเป็นหัวหอกคนสำคัญในศูนย์ข้อมูลรับเรื่องร้องเรียนคนหาย จากกรณีการชุมนุมทางการเมือง ซึ่งเป็นศูนย์ประสานความช่วยเหลือผู้เคราะห์ร้ายอื่นๆ จากการชุมนุม โดยขณะนั้มีญาติผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 2 พันคน ญาติผู้เสียชีวิตอีก 40 คน และญาติผู้ถูกจับกุมคุมขังจากเหตุการณ์อีก 136 คนเข้ามาขอความช่วยเหลือ
วันนี้ “ณัทพัช” เสนอแนวทางการสร้างความสมานฉันท์ในฐานะผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงว่า ก่อนจะพูดถึงแนวทางการนิรโทษกรรมหรือการยกโทษความผิดให้กับคนใดคนหนึ่งจะต้องทำให้ทุกฝ่ายยอมรับกฎเกณฑ์หรือกติกาของบ้านเมือง โดยเฉพาะจะต้องมีการค้นหาความจริงและคนผิดต้องได้รับโทษก่อน ประเด็นใดที่ยังไม่มีความกระจ่างก็ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อทำให้เกิดความถูกต้องตามกฎหมายอย่างเสมอภาคกัน
“แนวทางการสร้างความสมานฉันท์จะเกิดขึ้นได้ หากทุกฝ่ายปล่อยให้กลไกของบ้านเมืองทำงาน แต่ทุกวันนี้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองและนักการเมืองบางคนก็ออกมาเรียกร้องให้สังคมร่วมมือกันสร้างความปรองดอง แต่ก็ยังมีการสาดโคลนใส่กันเข้าทำนองปากปรองดองแต่ใจปองร้าย ซึ่งทำให้ประชาชนเกิดความไม่มั่นใจว่า ความปรองดองจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ ทุกวันนี้ผมในฐานะประชาชนก็รู้สึกเอือมระอากับนักการเมืองเหล่านี้ เพราะเห็นได้ชัดว่าพวกคุณออกมาเรียกร้องให้เกิดความปรองดอง แต่ขณะเดียวก็มีกลเกมการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองซ่อนอยู่”ณัทพัช กล่าว
เขายังเสนอแนวทางการสร้างความปรองดองอีกว่า เมื่อปรับเข้าสู่โหมดเลือกตั้งทุกฝ่ายต้องยอมรับกติกาและไม่ควรมีการโกงเลือกตั้ง หากผลการเลือกตั้งออกมาอย่างไรก็ควรเคารพเสียงของประชาชนและไม่ควรกระบวนการขี้แพ้ชวนตีด้วยการก่อม็อบหลังจากแพ้เลือกตั้ง ถ้าเป็นเช่นนี้ความขัดแย้งก็จะไม่มีวันจบและแน่นอนประชาชนที่เข้ามาร่วมขบวนการการชุมนุมก็จะกลายเป็นเหยื่ออีก
“ผมในฐานะผู้สูญเสียไม่อยากเห็นญาติของใครต้องเสียคนในครอบครัวอีกแล้ว เพราะจากประวัติศาสตร์การเมืองไทย ประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงก็ไม่มีใครนามสกุลเดียวกับแกนนำการชุมนุมและนักการเมืองแม้แต่คนเดียว ดังนั้นหลังการเลือกตั้งหากนักการเมืองอยากจะเห็นบ้านเมืองสงบสุข ผมจึงเสนอว่า พวกคุณควรไปบอกนักการเมืองด้วยกันเองว่า เลิกเอาประชาชนเป็นเครื่องมือเสียทีและพวกคุณต่างหากเป็นต้นเหตุของความขัดแย้ง ไม่ใช่ประชาชน”ณัทพัช กล่าวด้วยความคับข้องใจ
ขณะที่ “ประพันธ์ หลิ่มเกลื้อ” ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและวันนี้เขาเป็นผู้หนึ่งที่ทำหน้าที่บำบัดผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมในบทบาท “วิทยากรกระบวนการจากกลุ่มคนต้นฝัน” โดย “ประพันธ์” บอกถึงทัศนะในการสร้างความปรองว่า เห็นความพยายามของหลายฝ่ายที่ต้องการเห็นความปรองดองเกิดขึ้นในสังคม แต่ไม่ทราบขั้นตอนของฝ่ายการเมืองว่าต้องการให้เกิดความปรองดองจริงหรือไม่ เพราะคนที่ต้องการให้เกิดความปรองดองในวันนี้ล้วนแต่มีส่วนทำให้เกิดความขัดแย้งในสังคมทั้งนั้น
“สิ่งสำคัญที่จะทำให้เกิดการปรองดองในสังคมได้จะต้องเปลี่ยนทัศนะคติของนักการเมือง โดยนักการเมืองจะต้องลดการเอาผลประโยชน์เข้าข้างตัวเองและลดการเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง จากนั้นก็ร่วมกันสร้างบรรยากาศเห็นต่างไม่ใช่ฝ่ายตรงกันข้าม เมื่อนั้นทุกฝ่ายก็ถอยกันคนละก้าว เพียงเท่านี้สังคมไทยก็จะเกิดความปรองดองได้แล้ว ซึ่งผมก็ได้แต่หวังว่า หลังการเลือกตั้งสังคมไทยจะกลับมาสู่ความสงบสุขอีกครั้ง”ประพันธ์ กล่าวอย่างมีความหวัง
อย่างไรก็ตามเขายังมองอีกว่า หากภายหลังการเลือกตั้ง นักการเมืองโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยผลักดันนโยบายนิรโทษกรรมความผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ความขัดแย้งก็จะเกิดขึ้นในสังคมไทยอีกครั้ง เพราะก่อนหน้านี้รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และ รัฐบาลนายสมชาย วงษ์สวัสดิ์ ก็เคยเสนอมาแล้ว ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่ามีประชาชนที่ไม่เห็นด้วยค่อนข้างมากจนเกิดการรวมตัวต่อต้าน ครั้งนี้ก็คงเช่นเดียวกัน
“รัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศไม่ควรเดินซ้ำรอยอีกและควรควรปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมเดินไปตามระบบ อย่าออกกฎหมายมาลบล้างความผิดหรือช่วยเหลือกลุ่มคนเพียงไม่กี่กลุ่ม เพราะจะเท่ากับว่า กฎหมายที่ควรออกมาเพื่อช่วยควบคุมกติกาของสังคม ไม่ได้ออกมาเพื่อช่วยเหลือคนส่วนใหญ่แต่ออกมาเพื่อช่วยพวกพ้อง หากเป็นเช่นนี้การปรองดองก็จะเดินต่อไปไม่ได้ เมื่อผู้มีอำนาจเลือกเดินเช่นนี้แล้ว หากประชาชนตาดำๆ จะขอว่า ถ้ามีการกระทำความผิดเล็กๆ น้อยๆ บ้าง แล้วจะขอนิรโทษกรรมบ้างได้หรือไม่”วิทยากรกระบวนการจากกลุ่มคนต้นฝัน กล่าว
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ “ประพันธ์” ค้านการนิรโทษกรรมนั้นเป็นเพราะวันนี้เขาเห็นผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมพบผลพวงจากความขัดแย้งจนทำให้บางครอบครัวไม่เป็นครอบครัว เพราะภรรยาไม่อาจยอมรับสภาพของสามีที่กลายเป็นคนทุพลภาพได้ อีกทั้งบางครอบครัวก็ตกอยู่ในสภาพของผู้ได้รับผลกระทบกระเทือนทางจิตใจที่ยากต่อการบำบัดรักษา
“เหล่านี้เป็นผลพวงจากการชุมนุมที่ใช้ความรุนแรงทั้งสิ้น ซึ่งสังคมไทยไม่ควรให้เกิดกรณีแบบนี้ขึ้นอีก ดังนั้นเพื่อทำให้เกิดบรรยากาศที่ดี คู่ขัดแย้งควรหันหน้ามาคุยกัน ทั้งแกนนำการชุมนุม ผู้นำรัฐบาล หากมีทางออกร่วมกันก็จะช่วยลดอุณหภูมิความขัดแย้งไปได้และประชาชนก็จะไม่ตกเป็นเหยื่อของความขัดแย้งของนักการเมืองอีก”ประพันธ์ กล่าว
จากการชุมนุมร่วมกับกลุ่มพันธมิตรฯ มาช่วงเวลาหนึ่งและได้สังเกตการณ์ในการชุมนุมของกลุ่มนปช.นั้น “ประพันธ์” สรุปได้ว่า คนทั้งสองกลุ่มต่างเรียกร้องในประเด็นที่ไม่แตกต่างกัน พันธมิตรฯ เรียกร้องให้มีการตรวจสอบนักการเมืองที่ทุจริตคอรัปชั่น ส่วนกลุ่มนปช.ก็เรียกร้องความเป็นธรรม
ทั้งสองประเด็นล้วนแล้วแต่ควรอยู่ในโลกของสังคมที่มีประชาธิปไตย แต่วันนี้ผู้คนกลับต้อง บาดเจ็บล้มตายและตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงจากการเรียกร้องในสิ่งที่เขาควรได้และควรมี