- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- ปรับฐานแรกเข้าราชการ 1.5 หมื่นบาท เพิ่มค่าครองชีพคือทางออกลั่กลั่น?
ปรับฐานแรกเข้าราชการ 1.5 หมื่นบาท เพิ่มค่าครองชีพคือทางออกลั่กลั่น?
ใช่หรือไม่ว่าหลากหลายนโยบายของพรรคการเมืองล้วนแล้วแต่ถูกปั้นแต่งขึ้นเพียงเพื่อใช้ในกลยุทธ์หาเสียงโฆษณาชวนเชื่อ นั่นเพราะจนถึงขณะนี้ปรากฏข้อเท็จจริงประการหนึ่งว่า “พรรคเพื่อไทย” ในฐานะพรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนเสียงเป็นอันดับหนึ่ง ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องการสานต่อลมปากเหล่านั้นให้สามารถจับต้องได้
ย้อนกลับไปช่วงก่อนการเลือกตั้งไม่นาน พรรคเพื่อไทยระดมสมองเร่งผลิตนโยบายประชานิยมชนิด “แจกไม่อั้น” หวังให้โดนใจประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายคือคนชั้นล่าง ทว่าเมื่อเสนอนโยบายเหล่านั้นออกสู่สังคม-สาธารณะ กลับถูก “สับ” และได้รับคำปรามาสจนแทบพลิกตัวเปลี่ยนท่าทีแทบไม่ทัน
ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากและเป็นเรื่องใกล้ตัวประชาชนมากที่สุดแบ่งออกเป็น 2 นโยบาย ได้แก่ 1.ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วประทศ ซึ่ง นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เคยให้สัมภาษณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า เป็นเพียงนโยบายหาเสียงของพรรคเท่านั้น อาจทำได้แค่เมืองใหญ่ กทม.- ภูเก็ต อย่างไรก็ตามได้กลับลำคำให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า จะเร่งดำเนินนโยบายทันที โดยค่าแรงระหว่างเมืองใหญ่และเมืองเล็กจำเป็นต้องมีความเท่ากัน ไม่เหลื่อมล้ำ มิเช่นนั้นจะประสบปัญหาความแออันในการเคลื่อนย้ายที่ทำกินจากชนบทสู่เมืองได้
ขณะที่ นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ยืนยันว่านโยบายนี้เป็นไปได้ พรรคเพื่อไทยได้คำนวณงบประมาณทั้งหมดแล้ว โดยจะไม่กระทบต่อสถานะการเงินการคลัง เพราะใช้เพียง 3,000 – 4,000 ล้านบาท
อีกหนึ่งนโยบายที่พรรคเพื่อไทยแสดงความชัดเจนว่าจะเดินหน้าทันที ในขณะที่มีเสียงท้วงติงจากองคาพยพที่เกี่ยวข้องอย่างหนาหูแล้วก็คือ “การขึ้นเงินเดือน” ข้าราชการแรกเข้า 1.5 หมื่นล้านบาท
นายจารุพงษ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย และอดีตปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะตัวเตร็งควบเก้าอี้รมว.แรงงาน ประกาศชัด ภายในต.ค.นี้ รัฐบาลใหม่จะเริ่มการปรับฐานเงินเดือนข้าราชการและรัฐวิสาหกิจให้ไม่ต่ำกว่าเดือนละ1.5 หมื่นบาททันที
ข้อกังวลจากนโยบายนี้สรุปประเด็นหลักได้คือ ระบบเงินเดือนจะล่มโดยเฉพาะการได้เงินเดือนข้ามหัว
อธิบายจากข้อมูลของ กรมบัญชีกลาง แสดงให้เห็นอัตราเงินเดือนข้าราชการปริญญาตรีอยู่ที่ 8,700 บาท/เดือน บวกค่าครองชีพอีก 1,500 บาท รวมกันอยู่ที่ 1.02 หมื่นบาท ขณะที่คนจบระดับปริญญาโทอยู่ที่ 1.1 - 1.2 หมื่นบาทต่อเดือน ส่วนปริญญาเอกอยู่ที่ 1.6 หมื่นบาทต่อเดือน
หากปรับฐานเงินเดือนคนจบปริญญาตรีพรวดเดียวเดือนละ 1.5 หมื่นบาท แต่คนจบปริญญาโทและปริญญาเอกไม่ได้รับการปรับขึ้นด้วยตามสัดส่วน พรรคเพื่อไทยย่อมสุ่มเสี่ยงต่อการถูกต่อต้านอย่างรุนแรง
ดังนั้นการปรับขึ้นเงินเดือนแบบ “ข้ามหัว” ย่อมกระทบโครงสร้างเงินเดือนทั้งระบบราชการ แต่หากเลือกที่จะปรับเงินขึ้นแบบ “หน้ากระดาน” ขึ้นเท่าๆ กันหมด ก็จะต้องใช้เงินมหาศาล เพราะลำพังแค่ปรับเงินของข้าราชการปริญญาตรีจาก 1.02 หมื่นบาท เป็น 1.5 หมื่นบาท ก็ต้องควักเนื้อเพิ่มร่วม 50%
หากพิจารณาข้อมูลงบประมาณรายจ่ายปี2554 พบว่างบประมาณรายจ่ายเงินเดือนข้าราชการทั้งระบบจะอยู่ที่ 5 แสนล้านบาท ถ้าพิเคราะห์จากตรรกะนี้ คือปรับเพิ่มอีก 50% เท่ากับว่ารัฐบาลต้องมีรายจ่ายค่าเงินเดือนเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 2.5 แสนล้านบาท ส่งผลให้รายจ่ายเงินเดือนข้าราชการจะถีบตัวสูงขึ้นถึงปีละ 7.5 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ การปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการยังเกี่ยวโยงกับเงินเดือนรัฐวิสาหกิจ เนื่องจากทั้ง 2 ระบบจะใช้หลักการอ้างอิงซึ่งกันและกัน ปัจจุบันทั่วประเทศมีพนักงานรัฐวิสาหกิจประมาณ 2.94 แสนคน ในจำนวนนี้มีรายได้ต่ำกว่า 1.5 หมื่นบาทและจำเป็นต้องได้รับการปรับขึ้นทั้งสิ้น 6.4 หมื่นคน ตรงนี้ก็จะเป็นปัญหาให้ระบบเงินเดือนอีกคำรบหนึ่ง
คำถามคือ จะแก้ได้ความลักลั่นในระบบอย่างไร?
ทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยเสนอ 3 แนวทางให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรีเคาะ ได้แก่ 1.ปรับเพิ่มเงินเดือนข้าราชการเป็น 1.5 หมื่นบาทครั้งเดียว 2.ปรับเพิ่ม ภายใน 2 ปี และ 3.ปรับเพิ่ม ภายใน 4 ปี อย่างไรก็ตามจนถึงขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนใดๆ จาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ แต่ผู้สันทัดกรณีประเมินตรงกันว่าแนวทางการปรับขึ้นใน 2 ปีมีความเป็นไปได้มากที่สุด
สำหรับผู้ที่มีสิทธิได้รับการปรับขึ้นเงินเดือนจะต้องบรรจุเข้ารับราชการในวันที่ 1 ม.ค. 2555 เป็นต้นไป ตกปีละไม่เกิน 1 หมื่นคน จะได้ปรับเพิ่มจากอัตราเงินเดือนแรกเข้าที่ 9,140 บาทเป็น 1.5 หมื่นบาททันที คิดเป็นอัตราเพิ่ม 64%
ด้าน นายจาดุร อภิชาตบุตร นายกสมาคมข้าราชการพลเรือน แสดงท่าทีสนับสนุนนโยบายขึ้นเงินเดือนข้าราชการ แต่ยังต้องขอศึกษารายละเอียดที่จะแถลงต่อรัฐสภาก่อนว่าหมายถึงการ “ปรับฐานเงินเดือน” หรือเป็นเพียงการ “เพิ่มค่าครองชีพ”
นายกสมาคมข้าราชการพลเรือน บอกว่า สิ่งที่กังวลคือการปรับตัวสูงขึ้นของดัชนีค่าครองชีพและอัตราเงินเฟ้อเพราะหากปรับขึ้นฐานเงินเดือนแต่ต้องรอปีหน้า หรือผลักดันนโยบายนี้ไม่สำเร็จจะกลายเป็นมหันตภัยของข้าราชการ เพราะเงินเฟ้อและราคาสินค้าปรับขึ้นไปก่อนแล้ว
ขณะนี้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เริ่มศึกษาผลกระทบการปรับขึ้นเงินเดือนว่าจะส่งผลกระทบกับอัตราเงินเฟ้อและเสถียรภาพเศรษฐกิจมากน้อยแค่ไหน โดย นายโฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการธนาคารกรุงเทพ เชื่อว่า เศรษฐกิจจะขับเคลื่อนต่อไปได้ และมีอัตราการขยายตัวได้ 4% ของจีดีพี ส่วนเงินเฟ้อเป็นเรื่องที่น่าห่วง แต่เชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะดูแลได้ และคาดว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยมาอยู่ที่ 3.5%ก่อนถึงสิ้นปีนี้
ทว่า ความคืบหน้าล่าสุดเมื่อช่วงกลางก.ค.ที่ผ่านมา กรมบัญชีกลางเตรียมเสนอแผนปรับรายได้ให้รัฐบาลชุดใหม่พิจารณา โดยจะใช้วิธีปรับ “เพิ่มค่าครองชีพ” ซึ่งสามารถดำเนินการได้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.เป็นต้นไป
สำหรับแนวทางการเพิ่มค่าครองชีพจะเป็นภาระงบประมาณเฉพาะในส่วนที่เป็นเงินเพิ่มแต่ละเดือน เมื่อใดที่ข้าราชการได้รับเงินเดือนถึง 1.5 หมื่นบาท จะไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มส่วนนี้ โดยพรรคเพื่อไทยสามารถดำเนินการได้ทันที เพียงแค่ขอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบเท่านั้น ทั้งนี้ประเมินว่าภาครัฐจะมีรายจ่ายด้านงบประมาณเพิ่มขึ้นอีก 15,240 ล้านบาทต่อปี
แตกต่างกับการปรับฐานเงินเดือนที่จะต้องปรับทั้งระบบเพื่อให้เกิดความสมดุลและเท่าเทียม ซี่งนอกจากภาระงบประมาณในแต่ละเดือนแล้วยังต้องนำเงินบำเหน็จบำนาญมาคำนวณเพิ่ม นั่นหมายความว่ารัฐจะต้องแบกรับภาระงบประมาณในระยะยาว ที่สำคัญต้องมีการแก้ไขพระราชกฤษฎีกาฯ เกี่ยวกับเงินเดือน ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานข้าราชการพลเรือน (ก.พ.)
นายนนทิกร กาญจนะจิตรา เลขาธิการ ก.พ. ระบุว่า นโยบายปรับขึ้นเงินเดือนทำได้ไม่ยาก โดยขณะนี้เงินเดือนบรรจุข้าราชการใหม่อยู่ที่ 9,100 บาทต่อเดือน และ พ.ร.บ.ข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 กำหนดให้ปรับขึ้นเงินเดือนในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ไม่เกิน 10% ถ้าเกินกว่า 10% จะต้องเสนอรัฐบาลแก้ไขกฎหมาย
ทั้งนี้นโยบายของพรรคเพื่อไทยจะมีการปรับเงินเดือนข้าราชการไปถึง 50% และจะต้องปรับโครงสร้างบัญชีเงินเดือนข้าราชการใหม่ทั้งหมด รวมทั้งแก้ไข พ.ร.บ.ข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 หรือออกเป็นพระราชกฤษฎีกามารองรับ
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีข้าราชการพลเรือนสังกัด ก.พ.อยู่ทั้งสิ้น 4 แสนคน และข้าราชการพลเรือนสังกัดหน่วยงานอื่นๆ อีก 1.6 ล้านคน รวมทั้งสิ้น 2 ล้านคน การปรับเงินเดือนข้าราชการครั้งนี้จึงขึ้นอยู่กับนโยบายและการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาล หากได้รับงบประมาณสนับสนุนมากเพียงพอ ก็สามารถดำเนินการได้ในคราวเดียว แต่หากงบฯ ไม่พอก็จะต้องดำเนินการ 2 ครั้ง
ท้ายที่สุดแล้ว ความชัดเจนจะเกิดขึ้นภายหลังรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แถลงนโยบายต่อรัฐสภา สิ่งที่จำเป็นต้องจับตามองหลังจากนี้คือแนวทางระหว่าง “ปรับฐานเงินเดือน” หรือ “ปรับเพิ่มค่าครองชีพ” และรายละเอียดของการดำเนินนโยบาย เพราะที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยยังไม่เคยให้ความชัดเจนต่อสังคม
มีเพียงลมปากและร่างนโยบายใน 2 แผ่นกระดาษเอสี่เท่านั้น