- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- จับตา...นโยบายประชานิยม กับปัญหาเสถียรภาพการคลัง
จับตา...นโยบายประชานิยม กับปัญหาเสถียรภาพการคลัง
ภายใต้สถานการณ์คับขัน เศรษฐกิจทั่วโลกกำลังเข้าขั้นวิกฤติ หลายประเทศออกอาการร่อแร่จนต้องดำเนินนโยบายชนิดเรียกว่า รัดเข็มขัด เพื่อเตรียมการรับมือให้ตัวเองบอบช้ำน้อยที่สุด แต่บ้านเราการดำเนินนโยบายของรัฐบาล กลับคิดสวนกระแสเร่งเครื่องเดินหน้านโยบายประชานิยม ลด แลก แจก แถมออกมา ผลาญเงินภาษี
ทั้งการใช้งบฯ 30,000 ล้านบาท จ่ายภาษีคืนเงินสำหรับ “รถยนต์คันแรก”
“บ้านหลังแรก” การใช้สิทธิ์ยกเว้นภาษีดังกล่าว กรมสรรพากร ออกมายอมรับเองแล้วว่า กระทบต่อการบริหารการจัดเก็บภาษีอากร 1,700 ล้านบาท
แม้แต่การขึ้นเงินเดือนข้าราชการ 15,000 บาท ก็ต้องใช้งบฯ เพิ่มขึ้นอีกปีละ 24,533 ล้านบาท
หรือการยกเลิกเก็บเข้ากองทุนฯ ที่ส่งผลราคาน้ำมันในประเทศลงแบบกระชากทีเดียวลิตรละ 3-8 บาท จนเบนซินและแก๊สโซฮอล์ ราคาต่างกันไม่มาก คนเลยหันไปใช้น้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น ขณะที่โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 ดีเดย์เริ่ม 7 ตุลาคมนี้แล้วนั้น การรับจำนำข้าวทุกเม็ด ก็ตั้งงบประมาณดำเนินการไว้สูงถึง 430,000 ล้านบาท
จึงไม่เกินเลยที่จะบอกว่า นโยบายต่างๆ เหล่านี้ ที่เคาะกันออกมาล็อตแรกๆ ซุกซ่อนปัญหาไว้มากพอสมควร บางเรื่องสามารถหยิบมาโชว์เป็นตัวอย่างได้เลยว่า “ยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง” ซึ่งไม่รู้ว่า นักการเมืองที่หาเสียงรู้หรือไม่รู้ สิ่งที่ตนเองหาเสียงไว้นั้น “ทำได้ ทำไม่ได้” หรือซ่อนปัญหาอะไรเอาไว้บ้าง
งบลงทุน ติดลบ ตลอด10 ปี
ลองมาดูโครงสร้างการคลังของประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วย 4 กลุ่มงบประมาณหลัก (งบบุคลากร งบลงทุน งบดำเนินการ และเงินอุดหนุน) มีสถิติการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล ที่น่าสนใจ รวบรวมโดย รศ.ดร.สกนธ์ วรัญญูวัฒนา คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พบว่า
ย้อนหลังกลับไป 10 ปี (2542 -2553) อัตราการเจริญเติบโตโครงสร้างการใช้จ่ายของรัฐบาล ส่วนใหญ่ใช้ไปกับ “งบบุคลากร หรืองบค่าจ้าง”
งบอุดหนุน (เงินอุดหนุนให้ท้องถิ่น โครงการพิเศษต่างๆ เช่น เรียนฟรี 15 ปี เงินอุดหนุนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ คนพิการ) มีอัตราการเติบโตสูงมากกว่า 10% ต่อปี
ส่วนรายจ่ายอื่นๆ (หลักๆ คืองบดูงานต่างประเทศ) เฉลี่ยอยู่ที่ 19% ต่อปี นับเป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นตลอดมา
ที่นับเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ก็คือ รายจ่ายของรัฐบาล งบลงทุนของประเทศมีอัตราการแกว่งมากๆ แทบไม่น่าเชื่อ งบลงทุนของประเทศ ...ติดลบ !
นี่แค่ตัวเลขบางส่วนที่แสดงให้เห็นว่า ภายใต้ โครงสร้างงบประมาณของประเทศ เราใช้ไปในเรื่องของรายจ่ายประจำ รายจ่ายในการดำเนินการโครงการของรัฐต่างๆ แต่ในแง่ของการลงทุนเพื่อวางรากฐานการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศแล้ว เฉลี่ยติดลบอยู่
เมื่อประชานิยม ผูกมัดกับงบฯ รายจ่าย
อาจารย์สกนธ์ ผู้ทำการศึกษาปัญหาโครงสร้างงบประมาณของประเทศ บอกว่า ในช่วงปี 2543-2547 เป็นช่วงที่ประเทศไทย ฟื้นจากภาวการณ์ทางเศรษฐกิจปี 2540 ได้พบว่า ณ ขณะนั้นรายได้การจัดเก็บ มีอัตราเพิ่มโดยเฉลี่ยกว่า 10 % รายจ่ายเพิ่ม 7.3% หลังจากนั้น ช่วง 2548-2553 กลับเป็นตรงกันข้ามเลย รายได้การจัดเก็บเฉลี่ยเพิ่มแค่ 5.7 % รายจ่ายเพิ่มถึง 11%
ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด อธิบายเหตุผลง่ายๆ เพราะรัฐบาลขณะนั้นออกนโยบายประชานิยม ไปผูกมัดกับงบประมาณรายจ่ายค่อนข้างมาก ทั้งเบี้ยยังชีพ โครงการประชานิยมที่กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธได้ อีกทั้งมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นๆ ไปเรื่อยๆ ด้วยซ้ำ
“หากไม่ทำอะไรเลย อัตราเพิ่มของรายได้ กับรายจ่ายก็จะยิ่งห่าง” อาจารย์สกนธ์ แสดงความกังวล พร้อมทั้งตั้งคำถามว่า แล้วใครจะเข้ามาสนใจ มาดูแลตรงนี้กันแค่ไหน
ปัจจุบันนี้ สัดส่วนงบประมาณด้านบุคลากรของประเทศ สูงมากอยู่แล้ว หากไปเพิ่มเงินเดือนข้าราชการ 15,000 บาท หนีไม่พ้นที่จะต้องปรับเพิ่มทั้งระบบ ไม่จำกัดเฉพาะคนเข้าใหม่เท่านั้น รวมถึงค่าแรง 300 บาท ก็ต้องเป็นภาระส่วนหนึ่งของรัฐบาลด้วยเช่นกัน
ก็กลายเป็นว่า สัดส่วนของงบลงทุนที่อยากจะเห็น อยากให้รัฐบาลเข้ามามีบทบาทตรงนี้ จะถูกกดดัน ด้วยงบบุคลากร งบดำเนินการ ซึ่งจะต้องจับตาดูกันต่อ ว่า แล้วเราจะปรับโครงการการคลังของประเทศอย่างไร หากยังเดินหน้ารายจ่ายประจำแบบนี้อยู่
อาจารย์สกนธ์ มองในระยะสั้น งบประมาณ ปี 2555 โดยชี้ให้เห็นว่า งบเยียวยาช่วยน้ำท่วมอาจจะพุ่งขึ้นมหาศาล ดังนั้นเรื่องของการพัฒนาระยะกลาง ระยะยาว หรือการวางโครงสร้างทิศทางเศรษฐกิจของประเทศ แทบไม่มีความหวัง หรือจะฝากความหวังไว้ก็ลำบาก ด้วยเหตุที่งบลงทุน ถูกเบียดบังกับประเด็นการขึ้นเงินเดือน การขึ้นค่าตอบแทนแรงงาน ในภาคเอกชน และภาครัฐในอนาคต
เมื่องบลงทุนน้อย แล้วทำไมไม่ไปกู้ยืม ?
คำถามนี้ อาจารย์สกนธ์ บอกว่า “ต้องอย่าลืม การกู้ยืมของรัฐบาลขณะนี้ ความสามารถในการบริหารการกู้ยืม ต้องดูการชำระหนี้ด้วย ในเมื่องบประมาณถูกจำกัดด้วยความสามารถในการจัดเก็บ และหารายได้ที่ค่อนข้างต่ำเตี้ย ก็พลอยทำให้รัฐบาลถูกกำหนดด้วยเพดาน ว่า มีรายได้อยู่เท่าไหร่ ต้องจ่ายหนี้เท่าไหร่ ซึ่งจะไปกดในเรื่องการกู้ยืมของรัฐบาลทางอ้อม เป็นการบังคับให้รัฐบาลต้องกลับมามองการเพิ่มรายได้”
ดังนั้น เรื่องสำคัญเพื่อลดภาระแรงกดดัน หลายๆ เรื่อง รัฐบาลต้องให้ความสนใจในความสามารถของรัฐในการจัดเก็บภาษีเพื่อหารายได้จากภายในประเทศ รวมถึงการปฏิรูปโครงสร้างภาษีของประเทศไทย ลำดับกลุ่มเป้าหมาย ลำดับความสำคัญของนโยบายที่จะทำประชานิยมให้ชัดเจน
การคลังท้องถิ่น-บทเรียนแจกเบี้ยผู้สูงอายุ
อีกประเด็นที่ท้าทายรัฐบาลต่อไปในอนาคต การคลังท้องถิ่น การจัดเก็บรายได้ของท้องถิ่น กอรปกับรายได้ที่รัฐบาลให้ท้องถิ่น อยู่ที่ 28% นั้น จากข้อมูลของอาจารย์สกนธ์ พบว่า 3-4 ปีที่ผ่าน นโยบายการกระจายอำนาจทางการคลังให้ท้องถิ่น ได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองไปเสียแล้ว ทั้งในเรื่องการหาเสียง ทำโครงการประชานิยม
ไม่ต้องดูอื่นไกล แค่การแจกเบี้ยผู้สูงอายุ 500 บาท แต่เดิมเป็นโครงการของท้องถิ่น แต่พอรัฐบาลอภิสิทธิ์เข้ามาเปลี่ยนให้เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เกิน 60 ปี ทุกคน ปัญหาที่พบ เงิน 500 บาท ไม่เพียงพอกับจำนวนยอด ผู้สูงอายุที่ขึ้นทะเบียน ส่งผลให้ท้องถิ่นต้องควักเนื้อตัวเองมาสมทบ
น่าสนใจด้วยว่า พอมาถึงนโยบายรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จากที่ได้เคยหาเสียงไว้ว่า จะให้เงินเบี้ยผู้สูงอายุ แบบขั้นบันไดนั้น ก็มีการคำนวณออกมาเป็นตัวเลขกันแล้วว่า เฉพาะเบี้ยผู้สูงอายุ 500 บาท รัฐต้องใช้เงินถึง 40,000 ล้านบาท หากรัฐบาลใหม่จะทำแบบขั้นบันได เม็ดเงินที่ต้องจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุ จะกระโดดขึ้นไปเกือบ 2 เท่าตัวเลยทีเดียว
“อย่าลืมว่า โครงสร้างประชากรไทย กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ดังนั้นเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่รัฐจัดสรรให้จะต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน คำถามก็คือว่า เงินที่รัฐบาลจะให้ท้องถิ่นตามที่หาเสียง นอกจากไม่เพียงพอแล้ว ภาระรายจ่ายตรงนี้รัฐบาลจะเอาเงินที่ไหนมาให้ หรือหากนำเงินมาให้ท้องถิ่น ก็ต้องหยิบงบประมาณของตนเองมาให้ท้องถิ่น อำนาจทางการคลังของรัฐก็จะหดหายไป” นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์การคลังและเศรษฐศาสตร์ท้องถิ่น กล่าวสรุป
และว่า ถึงวันนั้น รัฐบาลจะหาทางออกอย่างไร ในเรื่องการเพิ่มบทบาทของท้องถิ่นในอนาคต จะกล้าพอหรือไม่หยิบกฎหมายอาถรรพ์ กฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (ภาษีทรัพย์สิน) ที่ขณะนี้ค้างเติ่งอยู่สภา มาผลักดันต่อ หลังจากที่หลายฝ่ายลงความเห็นแล้วว่า เป็นกฎหมายที่ดี ช่วยให้ท้องถิ่นมีรายได้เพิ่มขึ้น แก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความไม่เท่าเทียม ตลอดจนการเสริมสร้างเรื่องการจัดเก็บภาษีทรัพย์สิน ซึ่งประเทศไทยไม่เคยมีมาก่อน…