- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- จินตนาการ ที่เกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด ... เมื่อเมืองจมน้ำ !!
จินตนาการ ที่เกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด ... เมื่อเมืองจมน้ำ !!
“คนไทยโชคดี บ้านเมืองอุดมสมบูรณ์ ปราศจากภัยธรรมชาติรุนแรง”
เหตุการณ์ครั้งนี้ที่ว่ากันว่าเป็นอุทกภัยที่รุนแรงที่สุดในรอบ 50 ปี ในประเทศไทย น่าจะเป็นอีกหนึ่งบทเรียนสำคัญให้เราตระหนักถึงคุณค่าที่แท้จริงของความโชคดี ที่ไม่ได้มีไว้ให้เราตักตวงโดยขาดการศึกษาอย่างต่อเนื่องทางข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ เทคโนโลยี และความเคารพในสิ่งที่ธรรมชาติมีไว้ให้ และใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้อย่างไม่จบสิ้น โดยไม่ศึกษาผลกระทบที่ตามมา และการเตรียมการที่ดีพอเมื่อยุคแห่งความโชคดีพ้นผ่าน...
บางส่วนจากสูจิบัตรประกอบนิทรรศการ “เมืองจมน้ำ” โดย นางลักขณา คุณาวิชยานนท์ ผู้อำนวยการหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร คงพอจะช่วยกระตุกให้คนในสังคมได้ตระหนักถึงบทเรียนอันยิ่งใหญ่ของภัยพิบัติครั้งนี้ และมองย้อนกลับไปถึงการกระทำที่ผิดพลาดในอดีต เพื่อที่จะหาหนทางแก้ไขต่อไปในอนาคต
ก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน ทุกช่องทางการสื่อสาร ไม่ว่าจะในเฟชบุ๊ค ทวิตเตอร์ หรือตามหน้าหนังสือพิมพ์ ข่าวน้ำท่วมในหลายพื้นที่ภาคกลาง เป็นข่าวาที่ทุกคนให้ความสนใจ ซึ่งคนกรุงเทพฯที่ติดตามข่าว ก็คงจินตนาการกันไปต่างๆ นานา ว่าถ้าหาก มวลน้ำขนาดใหญ่นั้นไหลลงมายังมหานครของประเทศไทย ... แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น
ไม่ต่างจาก นางสาววิภาวี คุณาวิชยานนท์ ผู้ก่อตั้งกลุ่ม Design for Diasters ที่เพียงลองตั้งโจทย์ขึ้นมาเล่นๆ ว่า เมื่อเมืองจมน้ำ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ในภาวะวิกฤตที่คนในเมืองไม่เผชิญ และเราควรจะเตรียมการรับมืออย่างไร
“เราตระหนักถึงภัยพิบัติ สิ่งที่มันอาจจะเกิดขึ้นได้แบบรุนแรง เพราะสภาวะของโลกกำลังเปลี่ยนแปลง เราคิดว่าจะสร้างความตระหนัก และหาทางรับมือกับภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นร่วมกัน”
นั่นคือความคิดเมื่อ 4 เดือน ช่วงเดือนมิถุนายน ที่ทางนางสาววิภาวี และกลุ่ม Design for Diasters ได้เกิดความคิดที่จะถ่ายทอด ออกแบบเพื่อจำลองบรรยากาศ นำเสนออารมณ์ ความรู้สึกเพื่อช่วยเหลือเยียวยาในหลากหลายความเป็นไปได้สืบเนื่องจากสถานการณ์ต่างๆ โดยตั้งโจทย์ร่วมกันว่า “เมืองจมน้ำ”
... โดยที่ไม่คาดคิดว่า เหตุการณ์จริงจะมาถึงเร็วกว่าที่คาด !
บริเวณ ชั้น 8 ของศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ได้กลายเป็นสถานที่สร้างแบบจำลองในความเป็นไปได้ ของสถานการณ์ต่างๆทางสภาวะแวดล้อม ผ่านผลงานศิลปะและงานออกแบบที่ใช้จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์โดยผ่านเงื่อนไขของสภาวะที่อาจเกิดขึ้น เมื่อกรุงเทพฯ ต้องประสบกับภัยพิบัติครั้งใหญ่ โดยอิงความเป็นไปได้จริงของฝนล้านปีที่ตกไม่หยุดในสถานการณ์ที่ต้องหนีภัย และเอาชีวิตรอด ท่ามกลางภาวะที่อาหารเริ่มค่อยๆขาดแคลน และเกิดโรคระบาดรุนแรงที่คร่าชีวิต เราจะทำอย่างไรให้ตนเองนั้นอยู่รอด ...
อาหารไม่พอ ... จะทำอย่างไร หนึ่งหัวข้อที่น่าสนใจภายในนิทรรศการ สะท้อนให้เห็นถึงจินตนาการ และสถานการณ์ที่จะมีความเป็นไปได้ที่เกิดขึ้น เมื่อเมืองจมน้ำ และ ไม่มีอาหารจะกิน
เมื่อสิ่งที่มาส่งถึงบ้าน ไม่ใช่เพียงแค่น้ำ
“ในภาวะปกติ เราสามารถหาอาหารทานได้ง่ายมาก เพียงแค่โทรสั่งก็มีคนมาส่งให้ถึงบ้าน หรือเพียงแค่เดินไปยังซุปเปอร์มาร์เก็ตก็แสนจะสะดวกสบาย แต่ในสภาวะปัจจุบัน บางพื้นที่ก็ถูกตัดขาดออกไป แม้ถุงยังชีพก็ส่งไปไม่ถึง ตรงกันข้ามสิ่งที่มาถึงบ้านเราก็คือ น้ำ และสัตว์มีพิษต่างๆมากมาย เช่น งู ตะขาบ จระเข้” หนึ่งมุมมองของ นายมนน ธนานุรักษ์ หนึ่งในเจ้าของผลงานหัวข้อ อาหารไม่พอ ... จะทำอย่างไร ได้ถ่ายทอดผ่านผลงาน ที่เพียงหวังว่า ผู้ที่มาชมจะได้ตระหนักถึงหนี้ที่พวกเราได้ก่อไว้ ในการสร้างขยะที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และในบัดนี้ถึงเวลาที่ต้องชดใช้แล้ว โดยธรรมชาติได้ทวงคืนในรูปแบบของภัยพิบัตินั่นคือ น้ำท่วม
เมื่อเวลานั้นมาถึง เราอาจต้องตัดสินใจว่า ... จะเป็นเหยื่อของมัน หรือจะให้มันนั่นแหละที่จะเป็นอาหารที่ส่งตรงถึงบ้านเรา
“คนไทย ไม่จำเป็นที่ต้องทานสิ่งที่เหล่านี้ที่มากับน้ำ หากมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกิน หรือการใช้ แทนที่จะเป็นการสร้างขยะมากขึ้น ก็หันมาตระหนักถึงผลกระทบในอนาคตให้มากยิ่งขึ้น” เจ้าของผลงานย้ำถึงแนวคิด และความหวังจากผลงานที่ตนสร้างสรรค์ ขึ้น
ทั้งนี้ ในสภาวะที่ขาดแคลนอาหาร มนุษย์นั้นโดยธรรมชาติ มีสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดอยู่แล้ว แต่ถ้าหากในสถานการณ์ที่ไม่เหลืออะไรที่จะกินแล้ว คำถามคือ เราจะกินอะไร ... หรือว่า เราจะกินกันเอง
ผลงานของ นายมนน ธนานุรักษ์ ผลงานของ นายกิติคุณ วรสรธร
น้ำท่วมอาหารไม่มีกิน ... คนจึงหันมากินกันเอง
คำว่า “กินกันเอง” อาจไม่ได้หมายถึงการกินเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเป็นอาหาร แต่เป็นการกินกันทางด้านวาจา คำพูด
“ในภาวะที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น ไม่ว่าจะในโซเชียล เน็ตเวิร์ค หรือในอินเตอร์เน็ตก็ตาม จะเห็นว่าเราหันเริ่มมาวิพากย์วิจารณ์กันเอง จะมีการกินกันเองอยู่ตลอดเวลา”
นายกิติคุณ วรสรธร เจ้าของแนวความคิด ที่มองมุมต่างในสภาวะที่เกิดการขาดแคลนอาหาร และมองเห็นสภาพความเป็นจริงของคนในสังคม ที่ไม่รู้ตัวว่า เรากำลังกินกันเอง...
ผลงาน สื่อออกมาในลักษณะ ของ เก้าอี้ที่มีจานวางซ้อนด้านบน เจ้าของผลงาน ได้อธิบายความหมายว่า เป็นเก้าอี้ที่พร้อมให้แขกที่มาเยี่ยมเยียน ได้นั่งลงบนเก้าอี้เป็นอาหารพร้อมที่จะให้เรากินได้ตลอดเวลา ก่อนจะย้ำให้ผู้มาชมได้คิดอีกครั้งว่า “เมื่อถึงเวลาที่คับขันแบบนี้ ... มันถูกหรือไม่ที่เรายังมากินกันเองอยู่แบบนี้”
ผลงานของศิลปิน ทั้ง 15 ท่าน เป็นการจำลองบรรยากาศ นำเสนออารมณ์ ความรู้สึกเพื่อช่วยเหลือเยียวยาในหลากหลายความเป็นไปได้สืบเนื่องจากสถานการณ์ต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็น ในส่วนของหัวข้อ "ฝนล้านปี เมืองจมน้ำ" ได้ถ่ายทอดจินตนาการ และนำเสนอเรื่องราว เกี่ยว “ฝนล้านปี” ที่เกิดจากการทำลายธรรมชาติ จนทำให้สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปจากการกระทำ ของมนุษย์ ที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบที่ตามมา ทำให้เกิดภัยธรราติที่น่ากลัวยิ่งขึ้น สำหรับใครหลายๆคน
ผลงานหัวข้อ "ฝนล้านปี เมืองจมน้ำ"
นอกจากนี้ ยังมีผลงานที่สะท้อนผลกระทบที่จะตามมา ในเรื่องของ การเจ็บป่วย ในหัวข้อ เจ็บป่วย ... บาดเจ็บ ที่ไม่ใช่สะท้อนแต่ความเจ็บป่วยทางกาย แต่เป็นการส่งผลถึงการเจ็บป่วยทางใจ รวมถึงผลงานที่สะท้อนให้เห็นว่า ความรับผิดชอบของคนค่อยๆเสียสูญและจมลงไปกับน้ำเพิ่มขึ้นเกินกว่าจะช่วยให้รอด
ผลงานหัวข้อ "เจ็บป่วย ... บาดเจ็บ"
ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ทุกคนกำลังประสบ สภาพการณ์เปลี่ยนแปลงของโลกในขณะนี้ สิ่งสำคัญคงไม่ใช่การหนีเอาตัวรอดอย่างเดียว การเรียนรู้เพื่อสร้างความเข้าใจเพื่อปรับตัวป้องกันและพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นจึงเป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากเราจะพบเจอนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สรรสร้างขึ้น เพื่อเป็นตัวช่วยในการเอาตัวรอดของคนในยามที่การดำรงชีวิตต้องเปลี่ยนไป
กำลังจะจม ... หนีแล้วจะรอดหรือ จึงเป็นอีกหนึ่งหัวข้อ ที่แสดงให้เห็นถึงการนำความรู้ที่มีอยู่ของศิลปินแต่ละท่าน มาประยุกต์และสร้างสรรค์เป็นนวัตกรรมล้ำสมัย ที่สามารถนำมาปรับใช้ในสถานการณ์น้ำท่วมนี้ได้จริง
ผลงานหัวข้อ "กำลังจะจม... หนีแล้วจะรอดหรือ"
และในหัวข้อสุดท้าย ... เมื่อวิกฤตการณ์ และสถานการณ์อันเลวร้าย ได้ผ่านพ้นไป ...
คงจะต้องถึงเวลาแล้วที่จะ ... ออกแบบอนาคต
“ผมมองว่าถ้าเราใช้ชีวิตกับธรรมชาติด้วยความเคารพ ธรรมชาติก็จะดีกับเรา” นายณัฐวุฒิ เลื่อนไธสง หนึ่งในศิลปินในหัวข้อ ถึงเวลาแล้วที่จะ...ออกแบบอนาคต อธิบายถึงแนวความคิด ในการสร้างผลงาน ที่แสดงออกถึงความรู้สึกว่า การเคารพธรรมชาติ นั้น เป็นเรื่องที่สำคัญ
ทำไมคนสมัยก่อนได้เคารพธรรมชาติ โดยตั้งเป็นบุคลาธิษฐาน ไม่ว่าจะเป็น พระแม่ธรณี พระแม่คงคา สิ่งเหล่านี้ก็เพื่อให้เราเคารพกับสิ่งเหล่านี้ง่ายขึ้น
“คนในสมัยก่อนอยู่กับธรรมชาติด้วยความเคารพ มีการไหว้ และไม่กล้าทิ้งสิ่งปฏิกูลลงน้ำเพราะว่าศักดิ์สิทธิ์ ไม่กล้าตัดไม้เพราะว่าธรรมชาตินั้นคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์” นายณัฐวุฒิ กล่าว ก่อนย้ำความคิดอีกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทุกสิ่งเป็นเรื่องของธรรมชาติที่เป็นไปตามกลไก ตามเหตุต่างๆ นั่นคือ ... เราสร้างเหตุอย่างไร เราก็ได้ผลอย่างนั้น
อนึ่ง ผลงานทั้งหมดนี้เพื่อสื่อสารแลกเปลี่ยนความรู้ ข้อมูล เพื่อสร้างความตื่นตัวที่นำไปสู่การสร้างจิตสำนึก ในการใช้ชีวิตเพื่อรักษาสภาพแวดล้อม รวมถึง เป็นการกระตุ้น ให้เกิดกระแสสร้างสรรค์และสร้างโอกาสของการมีส่วนร่วมในการรักษาสภาพแวดล้อมโลกในรูปแบบต่างๆ และสื่อสารแนวคิดต่างๆ นี้ต่อสาธารณชนเพื่อภาวะแวดล้อมที่ยั่งยืนต่อไปในอนาคต
อย่างไรก็ตาม บทเรียนครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งบทเรียนที่ลืมไม่ลง ...หลังจากผ่านพ้นวิกฤตนี้ เราคงต้องวิเคราะห์กันว่าทำไมถึงมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้ ต้องบันทึกไว้ และไม่ลืม อะไรที่มันเปลี่ยนได้ วางแผนได้ หรือแม้ต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตเราก็ต้องทำ อย่าตกใจแล้วก็ลืม
เวลานี้ คนกรุงเทพฯ ที่ต้องกลายเป็นผู้ประสบภัย หรือแม้แต่ผู้ที่เตรียมตัวเป็นผู้ประสบภัย ต่างก็ต้องทำใจยอมรับวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น เตรียมพร้อมรับมือ และเรียนรู้ที่จะอยู่กับน้ำเพื่อความเอาตัวรอด ทั้งนี้ ด้วยจิตสำนึกและน้ำใจของคนไทย ที่ประจักษ์ให้เห็นในยามยาก จะช่วยให้คนไทย “ต้องรอด” และผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปร่วมกัน อย่างแน่นอน ...
คำอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลงานของ 15 ศิลปิน