- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- ตามไปดู พันธุ์ข้าวพื้นบ้าน น้ำท่วมสูงเกือบ 2 เมตร ยังรอด
ตามไปดู พันธุ์ข้าวพื้นบ้าน น้ำท่วมสูงเกือบ 2 เมตร ยังรอด
เหตุการณ์อุทกภัยในภาคใต้ เมื่อเดือนมีนาคมจนถึงเดือนเมษายน ปี 2554 ที่ผ่านมา ทำให้น้ำท่วมบริเวณพื้นที่ภาคใต้ สร้างความเสียหายต่อพืชผลเกษตรอย่างใหญ่หลวง แต่พื้นที่นา 3 ไร่ ของ ธวัชชัย มาเพ็ง ชาวนาที่บ้านเนินธัมมัง ต.แม่เจ้าอยู่หัว อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ไม่ได้รับความเสียหาย แต่อย่างใด
แถมยังสามารถเก็บเกี่ยวได้ผลผลิต 300-350 กิโลกรัมต่อไร่ แม้ว่าจะโดนน้ำท่วมถึง 2 ครั้งก็ตาม
"พันธุ์ข้าว" ที่ธวัชชัย ใช้ปลูกในแปลงนาของตัวเอง เป็นข้าวพันธุ์พื้นเมือง เรียกว่า “ข้าวเหลือง” โดยได้รับการอนุเคราะห์จากศูนย์วิจัยข้าวนครศรีธรรมราช มาจำนวน 60 กิโลกรัม
ในช่วงแรกๆ เขามีความลังเลอยู่ไม่น้อย ว่าจะได้ผลผลิตดีแค่ไหน แต่พอเข้าร่วมโครงการแปลงต้นแบบเกษตรนาข้าวอินทรีย์พื้นที่ดินพรุเพื่อสุขภาพที่ดี-มีวิถีพอเพียง บ้านเนินธัมมัง ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เขาจึงคิดว่าอย่างน้อย ก็ไม่ได้แบกรับความเสี่ยงเพียงลำพังแล้ว
กลุ่มเกษตรกรบ้านเนินธัมมังที่มีสมาชิกเริ่มต้นประมาณ 20 ราย มีความเห็นตรงกันที่จะร่วมกันทำธนาคารเมล็ดพันธุ์ครัวเรือน ถือเป็นการอนุรักษ์พันธุกรรมข้าวและวัฒนธรรมข้าวพื้นบ้าน โดยมีการทำแปลงนาต้นแบบจากพันธุ์ข้าวพื้นเมือง ขณะเดียวกันก็ปลูกข้าวหอมปทุมในรูปแบบเกษตรอินทรีย์ด้วย ซึ่งกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้เริ่มทำตั้งฤดูการทำนาปี 2553
กิจกรรมด้านการค้นหา และรวบรวมข้าวสายพันธุ์พื้นเมืองนั้น ทางกลุ่มเกษตรกรบ้านเนินธัมมังได้ทดลองปลูกหลายพันธุ์ อาทิ เหลือง, จงกลช่อ, ขอหอม, เล็บนกปัตตานี, เข็มทอง, กาบดำ, สังหยด และเฉี้ยงพัทลุง ซึ่งทั้งหมดมาจากหลายๆ พื้นที่ในภาคใต้
ซึ่งผลของการทำนาในปีนั้น ปรากฏว่า เจอกับอุทกภัยในภาคใต้ถึง 2 ครั้ง แต่กลับพบว่า ข้าวพันธุ์เหลือง และสังหยด สามารถต่อสู้กับภาวะน้ำท่วมและเติบโต ออกรวง จนเก็บเกี่ยวได้สำเร็จ
แม้ว่า ข้าวพันธุ์สังหยด จะให้ผลผลิตได้ไม่ดีนัก เพราะข้าวที่พันธุ์นี้เหมาะกับพื้นที่ดินเหนียว แตกต่างจาก “ข้าวเหลือง เป็นข้าวพันธุ์ไวแสง ต้องใช้เวลาเจริญเติบโตนาน สามารถเติบโตในช่วงน้ำท่วมและไปออกรวงในช่วงน้ำลด” ธวัชชัย บอก ก่อนสรุปว่า ข้าวเหลือง พันธุ์นี้แหละ ที่เหมาะกับพื้นที่บ้านเนินธัมมังที่สุด
เมื่อได้พันธุ์ข้าวที่เหมาะสมกับพื้นที่แล้ว ธวัชชัย บอกว่า กลุ่มเกษตรกรที่นี่ ต่อยอดร่วมกันหาหนทางในการลดต้นทุนการผลิต ด้วยแต่ละปีพวกเขาต้องเสียค่าปุ๋ย ค่ายาฆ่าแมลง ค่าแรงงาน เกือบครึ่งหนึ่งของรายได้ที่ได้จากการขายข้าว จนในที่สุดก็มาตกลงร่วมกันว่าจะทำนาอินทรีย์
ชาวนาบ้านเนินธัมมัง อีกคนที่มีความคิดเช่นเดียวกัน สมศักดิ์ มาเพ็ง นอกจากจะร่วมทำนาอินทรีย์แล้ว เขายังได้ทดลองทำแปลงนาเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ต และมีแนวคิดที่จะต่อสู้กับสภาพพื้นดินที่เป็นดินพรุ ไม่อุ้มน้ำ มีการย่อยสลายน้อย โดยนำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ ทั้งการบริหารจัดการคันนาให้เป็นพื้นที่ปลูกผัก เช่น ตะไคร้ พริก โหระพา กล้วย และข่า ลงแรงขุดร่องจากคันนากับแปลงนา เพื่อเลี้ยงปลาหมอและเป็ดเทศ จนเมื่อต้นข้าวโตแล้ว จึงปล่อยปลาหมอเข้าไปในนา
“ผมมีข้าวที่ปลูกปลอดสารให้ลูกกิน ส่วนที่เหลือก็แบ่งขายให้เพื่อนในกลุ่มไปทำพันธุ์ไว้สู้กับน้ำท่วมภาคใต้ เมื่อเลิกใช้เคมี ประหยัดค่าปุ๋ยที่มีราคาแพงมาก หันมาทำนาอินทรีย์ นาข้าวก็กลายมาเป็นธนาคารอาหาร ขายปลาจากท้องนาได้เงินถึง 30,000 บาท ไม่รวมกับพืชผักที่ขึ้นในนาที่เก็บมาทำอาหารกินได้อีก เมื่อต้นทุนดำรงชีวิตลดลง รายได้ก็มากขึ้น” สมศักดิ์ เล่าอย่างภาคภูมิใจ
สิ่งหนึ่งที่กลุ่มเกษตรกรบ้านเนินธัมมังที่ร่วมโครงการแปลงต้นแบบเกษตรนาข้าวอินทรีย์พื้นที่ดินพรุฯ เห็นตรงกันคือ การทำนาอินทรีย์นั้นต้องใช้ความอดทน อุตสาหะสูงกว่าเกษตรกรที่ใช้เคมีหลายเท่าตัว
เริ่มตั้งแต่การเตรียมดิน ชาวนาต้องใช้วิธีไถกลบตอซัง แล้วยังต้องหาวิธีกำจัดวัชพืชไม่ให้เติบโตขึ้น ซึ่งพวกเขาจะนัดกันหว่านข้าวพร้อมกัน เพื่อคุมหญ้าและน้ำ เมื่อไถเสร็จ ก็จะราดน้ำอีเอ็มทั่วผืนนา
ปล่อยให้ผ่านไปประมาณ 15-20 วัน เมื่อข้าวเริ่มโต ก็จะปล่อยน้ำเข้านา ให้ต้นหญ้าตายไปกับน้ำ
จากนั้น สมศักดิ์ ค่อยๆ อธิบาย การหว่านด้วยว่า มี 2 แบบ คือ หว่านไถกลบ (ใช้กับดินดี) และหว่านทำเทือกแล้วแช่ (ใช้กับน้ำตม) เมื่อข้าวเริ่มออกรวงก็จะใช้อีเอ็มอีกครั้ง ซึ่งน้ำอีเอ็มนั้น สมาชิกแต่ละบ้านจะผลิตกันเองจากหอยเชอรี่ หรือเศษปลาจากการประมง ณ วันนี้ ยังอยู่ในระหว่างทดลองว่า สูตรของบ้านไหนจะได้ผลผลิตดีที่สุด
ขณะที่ ธนพล นาพนัง แกนนำโครงการแปลงต้นแบบเกษตรนาข้าวอินทรีย์พื้นที่ดินพรุเพื่อสุขภาพที่ดี-มีวิถีพอเพียง เล่าย้อนไปเมื่อปลายปี 2553 ที่ได้เริ่มรวบรวมชาวนาในบ้านเนินธัมมังที่ต้องการจะอนุรักษ์นาข้าว ไว้เป็นธนาคารอาหารของชุมชน ไม่ให้ถูกรุกรานจากสวนปาล์มของกลุ่มนายทุน
"การทำนาปีเป็นไปได้ยากด้วยสภาพพื้นที่เป็นแอ่งกระทะต้องรองรับน้ำจากแม่น้ำปากพนังทำให้น้ำท่วมทุกเดือนมกราคมของทุกปี จากพื้นที่นา 1,900 ไร่ ของบ้านเนินธัมมัง จึงเหลือเพียง 630 ไร่ในปัจจุบัน"
และด้วยเหตุที่พื้นที่นี้ เป็นดินเปรี้ยว มีค่าเป็นกรดสูงถึง ph 4 ทำนาแล้วได้ผลผลิตไม่ค่อยดี ข้าวจะแข็งต้องขายให้โรงสี เพื่อสีเป็นปลายข้าว แล้วนำไปทำแป้ง จนทำให้คนทำนาอยากพวกเขา ก็ยังต้องหาซื้อข้าวกิน
อีกทั้งการทำนาเคมียังมีต้นทุนสูง ทำให้เกษตรกรมีรายได้ไม่เพียงพอ บางคนก็แปลงที่นาไปเป็นสวนปาล์มจำนวนมาก
ในวันนี้กลุ่มเกษตรกรบ้านเนินธัมมังที่ร่วมกันทำธนาคารเมล็ดพันธุ์ครัวเรือน อนุรักษ์พันธุกรรมข้าวพื้นบ้าน และแปลงนาสาธิตเกษตรอินทรีย์ มีสมาชิกรวม 30 คนแล้ว มีพื้นที่นารวมกันประมาณ 20% ของแปลงนาในหมู่บ้านและยังคงทำกิจกรรมส่งเสริมชุมชนในมาสนใจวิถีเกษตรอีกหลายกิจกรรม
อาทิ การให้เยาวชนเรียนรู้การทำนาข้าว สาธิตและแนะนำสารอินทรีย์ให้กลุ่มเกษตรกร กิจกรรมแปลงนาอินทรีย์ต้นแบบ พิธีทำบุญสู่ขวัญข้าว และทำบุญข้าวใหม่ พวกเขามุ่งมั่นที่จะทดลองทำตัวอย่างให้เกษตรกรรายอื่นได้เห็น เพราะการเปลี่ยนแปลงเป็นนาอินทรีย์อย่างสมบูรณ์นั้น ต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าปรับสภาพดินและน้ำให้เข้าที่
ที่สำคัญต้องควบคุมการเพาะปลูกให้ตรงตามหลักเกณฑ์ตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แห่งประเทศไทย (มกท.) ด้วย
เหนือสิ่งอื่นใด การที่กลุ่มเกษตรกรบ้านเนินธัมมังค้นพบ ว่าข้าวพันธุ์พื้นเมืองอย่างน้อย 2 สายพันธุ์ คือ ข้าวเหลือง กับสังหยด สามารถต้านน้ำท่วมได้ น่าจะช่วยให้เกษตรกรในพื้นที่ถูกน้ำท่วมอยู่ในขณะนี้ หันมาพิจารณาปลูกข้าวพันธุ์พื้นเมืองกันมากขึ้น