- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- คลี่ปมร้อน ก่อนรื้อรัฐธรรมนูญ 50 ปี 55
คลี่ปมร้อน ก่อนรื้อรัฐธรรมนูญ 50 ปี 55
วาระใหญ่ของฝ่ายการเมืองที่จะนำมาสู่ความขัดแย้งทางความคิดในปี 2555 คือ การยกร่างรธน.ใหม่ทั้งฉบับ เมื่อกลุ่มพลังในสังคมยังเห็นแตกเป็นสองฝ่าย
ฝ่ายพรรคเพื่อไทยและเสื้อแดงต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ฉบับปัจจุบันบนเหตุผลว่า เป็นผลผลิตจากการยึดอำนาจที่มุ่งขจัดระบอบทักษิณโดยใส่กลิ่นอายของตุลาการภิวัฒน์ผ่านองค์กรอิสระเข้าไปในรัฐธรรมนูญฉบับนี้
ขณะที่ฝ่ายคัดค้าน จากกลุ่มที่ไม่เอาทักษิณ ยืนหลักการว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีจุดเด่นที่มุ่งขจัดความชั่วร้าย การกระทำผิดกฎหมายของนักการเมือง ถ้าไม่ทำผิดก็อย่ากลัว เพราะรัฐธรรมนูญบังคับใช้กับทุกกลุ่มอำนาจในสังคมอย่างเท่าเทียมกัน
รัฐบาลพรรคเพื่อไทยประกาศนโยบายจะเริ่มกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญภายใน 1 ปี และกำลังเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับภายในสมัยประชุมสภาสมัยนิติบัญญัติที่เปิดอยู่ในช่วง 4 เดือนนี้โดยจะปิดกลางเดือนเม.ย.
การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ จะทำ 2 ขั้นตอน ขั้นตอนแรกคือ แก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ก่อน ซึ่งเป็นกุญแจปลดล็อคยกร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ มาตรา 291 เป็นหมวดว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผู้ที่จะแก้คือ สส.สว. ในรูปแบบของคณะกรรมาธิการรัฐสภา เมื่ยกร่างออกแบบหน้าตา สภาร่างรัฐธรรมนูญหรือ สสร. แล้ว สภาชุดนี้ก็จะทำหน้าที่จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับต่อไป
พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ในเดือนมี.ค.จะเริ่มแก้ไขมาตรา 291 ได้ ส่วนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะได้กลางปี 2556 โดยมีปฏิทินรัฐธรรมนูญดังนี้
มี.ค. เริ่มแก้มาตรา 291 ใช้เวลา 3 เดือน จากนั้น เดือน ก.ค.-ส.ค.ได้สภาร่างรัฐธรรมนูญ ใช้เวลาร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งฉบับ 8 เดือนหรือตกในเดือน ก.พ.- เม.ย. และทำประชามติอีก 1 เดือน สรุปแล้ว ในเดือนพ.ค.กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญทั้งฉบับจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์
อย่างไรก็ตามการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ถือเป็นวาระใหญ่ ที่ยังมีความเห็นไม่ตรงกันหลายประเด็น ที่สำคัญเป็นการจัดทำรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ดำเนินท่ามกลางความขัดแย้งรุนแรงของสังคม ทำให้ภาคธุรกิจเป็นห่วงว่า สถานการณ์การเมืองในปี 2555-2556 จะเปราะบาง การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะปลุกชนวนความขัดแย้งครั้งใหญ่อีกครั้งในสังคมไทย ถ้าจัดการไม่ดี หรือเร่งรื้อเกินไปเพื่อประโยชน์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ก็จะเป็นระเบิดเวลาความรุนแรงในอนาคต
ประเด็นที่เกิดความหวาดระแวง คือ แก้เพื่อคนๆ เดียว หรือเขียนโครงสร้างกติกาใหม่ที่เอื้อกับพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะการนิรโทษกรรมคดีทุจริตของพ.ต.ท.ทักษิณและเครือข่าย
หากแกะ ประเด็น ความเคลื่อนไหว ในการแก้รัฐธรรมนูญหนนี้ ที่เป็นข่าวติดตลาดทุกวันและจะข้ามไปตลอดทั้งปี มีข้อถกเถียงขัดแย้งหลายเรื่อง ทั้งกระบวนการ รูปแบบการแก้ไข เนื้อในการแก้ เริ่มจาก
-จะให้สภาร่างรัฐธรรมนูญเป็นผู้ยกร่าง หรือให้ รัฐสภา สส.สว. เป็นผู้ยกร่าง
ประเด็นนี้แม้เสียงส่วนใหญ่ในพรรคเพื่อไทยจะสนับสนุนให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ แต่เสียงอีกด้านกลับเห็นว่า เมื่อพรรคเพื่อไทยได้รับเลือกล้นหลาม 15 ล้านเสียง และหาเสียงว่าจะแก้รัฐธรรมนูญนำรัฐธรรมนูญ2540 กลับมา จึงเท่ากับว่า ประชาชนได้มอบฉันทะให้มาแก้ไขรัฐธรรมนูญเต็มตัว ก็ไม่ต้องตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญให้เสียเวลา
-จะทำประชามติ ก่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือหลังมี รัฐธรรมนูญ
กรรมการการเลือกตั้ง เช่น สดศรี สัตยธรรม รวมถึง สมาชิกพรรคเพื่อไทยบางส่วนสนับสนุนให้ทำประชามติก่อนเพราะประเด็นการแก้ไขยังไม่ตกผลึก หากทำประชามติก่อน และประชาชนเห็นด้วยตั้งแต่แรกก็จะไม่เกิดการคัดค้านแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นปัญหาความขัดแย้งไม่จบ สดศรี ยังเสนอว่า การทำประชามติควรสอบถามเป็นประเด็นว่า ควรแก้เรื่องใด ผลเป็นอย่างไรถือเป็นการผูกมัดในตัว
ส่วนข้อเสนอให้ทำประชามติหลัง สสร.แก้ไขรัฐธรรมนูญ เสร็จ เพราะรัฐธรรมนูญ2550 ได้ผ่านการทำประชามติมาแล้ว ดังนั้น รัฐธรรมนูญฉบับที่ 19 หรือปี 2556 ก็ต้องยึดโยงกับประชาชนเช่นกันเพื่อสร้างความชอบธรรมและความศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงใช้เสียงส่วนใหญ่มาลดแรงต้านจากกลุ่มคัดค้านได้
-รูปแบบสภาร่างรัฐธรรมนูญ สสร.จังหวัดกับสสร.สายวิชาการ
การร่างรัฐธรรมนูญจะเป็นอิสระจากฝ่ายการเมืองได้แค่ไหนอยู่ที่ สสร.ซึ่งเป็น “ต้นทาง” ถ้าพรรคการเมืองส่งคนเข้ามาเป็น สสร.ได้ จะทำให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ถูกกล่าวหาไม่ต่างจากรัฐธรรมนูญ2550 ว่า เป็นกลุ่มของผู้มีอำนาจมายกร่าง ปัญหาก็จะวนเวียนกลับมาแบบเดิมว่าเขียนกติกาให้ตัวเองโดยเฉพาะพ.ต.ท.ทักษิณที่มีอำนาจในพรรคเพื่อไทยและขบวนการเสื้อแดง ฝ่ายนำแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยโดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประกาศในรัฐสภาว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะให้มี สสร. 99 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจังหวัดละ 1 คน 77 จังหวัด 77 คน อีก 22 คนมาจากผู้เชี่ยวชาญ3 สาขา คือ สาขานิติศาสตร์ สาขา รัฐศาสตร์และสาขา ผู้มีประสบการณ์การเมือง ซึ่งเป็นโครงร่างเดิมจากสสร.ชุดแรกร่างรัฐธรรมนูญ2540 จนเป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่าย
เรื่องที่มาของ สสร. มีหลายสูตรที่อาจป้องกันการแทรกแซงของฝ่ายการเมืองได้ เช่น การเลือกตั้งทางอ้อม ส่วนการเลือกตั้งทางตรงนั้นแม้เสียงประชาชนถือเป็นเสียงสวรรค์ตามหลักการในระบอบประชาธิปไตย แต่ในสังคมการเมืองไทยยังมีระบบอุปถัมภ์ การซื้อเสียงจำนวนมากขึ้น ถ้าสุดท้ายแล้ว พื้นที่ไหนพรรคใดคุมอยู่ ก็ง่ายที่การเมืองเข้าไปครอบงำการเลือกตั้ง สสร.จังหวัดได้เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในสสร.2540
แต่ล่าสุด แกนนำเสื้อแดง นพ.เหวง โตจิราการ เสนออีกแบบว่า ควรมี สสร. 100 คน ให้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนทั้งหมด โดยตัดตัวแทนฝ่ายวิชาการเฉพาะทางออกไป อ้างว่า อาจได้คนที่มีความเลื่อมใสในระบอบเผด็จการหลุดเข้าเป็น สสร. ซึ่งสูตรสสร.จังหวัดนี้ ก็เพื่อยืดโยงกับระบอบประชาธิปไตย โดยคิดค่าเฉลี่ยจากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 40 ล้านคนทั่วประเทศเบื้องต้นจะได้ สสร. 1 คน ต่อประชากร 4 แสนคน โดยกทม.จะมี สสร.ได้ 20 คน
- เนื้อหาที่จะแก้ไข ยังไม่ตรงกัน
เป้าหมายหลักของพรรคเพื่อไทย คือ แก้โครงสร้างระบบรัฐสภา ระบบตรวจสอบ อำนาจที่มาของตุลาการ ขณะที่ฝ่ายคัดค้านบอกว่าพรรคเพื่อไทยจ้องแก้เพื่อไล่รื้อองค์กรอิสระชุดปัจจุบันออกไปและเอาชุดใหม่ที่คุมได้เข้ามาเป็นได้เพื่อสกัดไม่ให้มีใครมาตรวจสอบรัฐบาลยิ่งลักษณ์
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นสำคัญเช่น จะให้มีวุฒิสภาต่อไปหรือไม่
ถ้ามีจะมีที่มาอย่างไร แต่เพื่อไทยไม่ต้องการให้มี สว.สรรหา โดยเปลี่ยนมาเป็น สว.เลือกตั้งทั้งหมด จากปัจจุบัน สว.เลือกตั้งและ สว.สรรหาฝ่ายละครึ่งรวม 150 คน
อำนาจหน้าที่ของ สว. อาจลดลง ให้เป็นเฉพาะ “สภาตรายาง” แบบดั้งเดิม เหลือเฉพาะบทบาทการกลั่นกรองกฎหมาย ไม่ให้มีอำนาจถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเหมือนที่ผ่านมา
เรื่องการยุบพรรคและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค ในประเด็นนี้ทุกพรรคการเมืองเห็นด้วยให้ยกเลิกการเอาผิดแบบเหมารวมยกเข่งในมาตรา 237 ที่กำหนดว่า หากใครฝ่าฝืนพรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. และ สว. หรือ ระเบียบและประกาศของกกต.อันมีผลทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม และถ้าหากพิสูจน์ได้ว่า หัวหน้าพรรคหรือกรรมการบริหารพรรคมีส่วนรู้เห็น ให้ถือว่า พรรคการเมืองนั้นกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งไม่ได้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคการเมือง และ ให้เพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 5 ปี
การดำรงตำแหน่งทางการเมืองของสส.ในมาตรา 265 ที่ควรแก้ให้ ส.ส.ไปเป็นเลขานุการ ที่ปรึกษาผู้ช่วยรัฐมนตรีได้ รวมถึงมาตรา 266 ที่ควรแก้ให้ ส.ส. และ ส.ว. สามารถแทรกแซง เข้าช่วยทำประโยชน์หรือแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนผ่านส่วนราชการต่างๆ ได้
ที่มาขององค์กรอิสระ เป็นประเด็นใหญ่อีกเรื่อง เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการการเลือกตั้ง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จากเดิมที่กำหนดให้มาจากการสรรหา โดยคณะกรรมการส่วนใหญ่ประกอบด้วย ประธานฝ่ายตุลาการ เช่น ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด รวมถึง ผู้นำฝ่ายค้าน ประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็อาจต้องเปลี่ยนที่มากลับไปเหมือนรัฐธรรมนูญ 2540
ที่มาของฝ่ายตุลาการ แกนนำเสื้อแดง ธิดา ถาวรเศรษฐ์ ระบุว่า จะต้องแก้ให้ยึดโยงประชาชน แต่ยังไม่บอกว่า ในรูปแบบใด หลายฝ่ายจึงมองไปที่โครงสร้าง คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมหรือ คณะกรรมการตุลาการศาลปกครองที่เป็นเหมือนบอร์ดของแต่ละศาลที่จะถูกแก้ไขเรื่องที่มาด้วย
รวมไปถึงบทเฉพาะกาลที่จะเขียนเรื่องการนิรโทษกรรมหลังเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นประเด็นร้อนที่สุดที่จะก่อให้เกิดการเผชิญหน้าเกิดขึ้น
การแตะโครงสร้างหลักๆ บนหลักการที่ว่า ให้ตุลาการกลับบ้านหลังจากมาทำภารกิจขจัดระบอบทักษิณ แน่นอนว่า ย่อมมีกระแสต่อต้าน ไม่เห็นด้วยจากม็อบที่คัดค้านทักษิณ เพราะไม่ใช่แค่เอาตุลาการออก แต่ด้านหนึ่งอาจเขียนเปิดทาง ออกแบบให้ฝ่ายการเมืองของตนเข้ายึดกุมองค์กรอิสระเหล่านี้อย่างที่บอกไว้
เพราะบทเรียนที่เคยเกิดขึ้น ในรัฐบาลไทยรักไทย ที่ใช้รัฐธรรมนูญ2540 ซึ่งขณะนั้นทุกฝ่ายยอมรับว่า เป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด บนปรัชญา “เพิ่มอำนาจรัฐ - สร้างระบบตรวจสอบ –เพิ่มพลังประชาชน” แต่เมื่อใช้ได้ รัฐบาลทักษิณใช้ช่องว่าเข้ารัฐประหารเงียบรัฐธรรมนูญ 2540 ทั้ง แทรกแซง แทรกซื้อ ยึดกุมองค์กรอิสระ รวมถึง วุฒิสภา ไว้ในมือหมด จนเป็นที่มาของวิกฤตการเมือง ดังที่ คอป.สรุปรายงานว่า การตัดสินคดีซุกหุ้นของศาลรัฐธรรมนูญในปี 2547 ได้บิดเบือนหลักนิติธรรม เป็นต้นเหตุของวิกฤตความขัดแย้งในปัจจุบัน
เหล่านี้ทำให้สังคมไม่เชื่อว่า การแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้จะกลับไปสู่วังวน ปัญหาเดิมหรือไม่ เพราะแรงกดดันให้แก้ครั้งนี้ถูกเร่งเร้าผิดปกติ ถึงแม้ว่าหลายฝ่ายจะเห็นด้วยกับการที่จะต้องแก้ไขเพื่อปลดล็อคความรู้สึก รัฐธรรมนูญ2550 มาจากการปฏิวัติ