- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- มติมหาชนยังไม่เกิด เหตุใดรัฐจึงเร่งรีบแก้ รธน.
มติมหาชนยังไม่เกิด เหตุใดรัฐจึงเร่งรีบแก้ รธน.
ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพียงแค่เริ่มต้นที่การแก้ไขมาตรา 291 ที่มาของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ก็กลายเป็นประเด็นความเห็นต่าง มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันแล้ว บ้างก็ว่า การเสนอขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนั้น มิใช่เพื่อขอแก้ไขมาตรา 291 เท่านั้น แต่กลับเป็นการเสนอให้มีการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยโดยเพิ่มหมวด 16 ขึ้น
และยังมีบทบัญญัติที่อาจส่งผลกระทบต่อที่มาขององค์กรอิสระ รวมไปถึงอำนาจของฝ่ายตุลาการ นอกจากนี้ ประชาชนในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตยอย่างแท้จริง กลับยังไม่ได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น และผ่านการตกผลึกทางความคิดเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตราบใดที่การแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญยังไม่ชัดเจน เช่น ส.ส.ร.จะแตะต้อง สถาบัน ศาล องค์กรอิสระ และทั้งหมดจะนำไปสู่การนิรโทษกรรม หรือไม่ ความเคลือบแคลงใจของสังคมก็ยังคงอยู่
วันวาน คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ร่วมกับโครงการวิทยาลัยการเมือง สาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จัดเสวนา เรื่อง "แก้รัฐธรรมนูญฯ มาตรา 291 : ประชาชนได้-เสียอะไร" ระดมผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเข้าร่วมนำเสนอ และแสดงความเห็น
ไล่เรียงจากวิปรัฐบาล ในฐานะรองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ได้เริ่มต้นมองถึงเหตุที่มาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า เนื่องจากรัฐธรรมนูญปี 2550 เป็นฉบับที่ใช้ไม่ได้กับทั้งประเทศ ด้วยเพราะมีรูปแบบที่ขาดความชอบธรรม และมีเนื้อหาที่ใช้ร่วมกันไม่ได้ทั้งประเทศ
ในนามพรรคเพื่อไทยเขาจึงมองว่ารัฐธรรมนูญมีปัญหา และการดำเนินการแก้ไขหากจะแก้ทีละเรื่องตามมาตรา 291 คงไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหา พร้อมอรรถาธิบายให้เข้าใจอีกว่า การแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ไม่ใช่เป็นไปเพื่อให้พรรคเพื่อไทยได้ประโยชน์ หรือตั้งใจแก้เพื่อคนๆ เดียว คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือแม้แต่ต้องการล้มล้างคดี และเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจเช่นนั้น จึงเป็นที่มาให้รัฐบาลเลือกวิธีการให้มี ส.ส.ร.
"เราต้องโยนภาระให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน และเลือกตั้ง ส.ส.ร.ขึ้นมาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทั้งนี้มั่นใจว่าประชาชนจะรู้ว่าควรเลือกใครมายกร่างรัฐธรรมนูญของตนเอง แต่ต่อจากนี้หากยังมีเสียงครหา หรือไม่เชื่อถืออีกก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร"
รองประธานวิปรัฐบาล เน้นย้ำด้วยว่า รัฐบาลยืนยันว่าจะเดินหน้ากระบวนการต่อ โดยให้ ส.ส.ร.ยกร่างและรับฟังความคิดเห็นประชาชนอย่างจริงจัง ไม่ใช่ฟังแล้วเขียนตามใจ ซึ่งเขาเชื่อว่ากระบวนการนี้จะทำให้เกิดความมั่นคงทางรัฐธรรมนูญ ลดความขัดแย้ง และประชาชนจะมีส่วนร่วมให้เกิดรัฐธรรมนูญของประชาชนทั้งประเทศ
ในส่วนวิปฝ่ายค้าน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน เปิดความคิดเห็นแบบชี้ชัดว่า การแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ จะเป็นประเด็นที่นำไปสู่ความขัดแย้ง และความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน อันเนื่องมาจากการแก้ไขไม่ได้เกิดจากความเห็นพ้องต้องกันขององคาพยพทั้งประเทศ และไม่ใช่ที่ใครกล่าวว่า มี 66 ล้านคนในประเทศนี้เห็นด้วย
ทั้งนี้ เขาเห็นว่า ประชาชนไม่ได้ไว้เนื้อเชื่อใจรัฐบาล ว่าจะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อประชาชน โดยเกรงว่าจะอ้างประชาธิปไตยมาบังหน้าเหตุผลอื่น อันจะนำไปสู่ความวิตกกังวลของประชาชนว่าจะเกิดความขัดแย้งและปะทะกันตามมา
"ผมว่า...หากแก้ไขเป็นไปเพื่อส่วนรวม แน่นอนว่าไม่มีใครขัดข้อง แต่เหตุที่ประชาชนยังกังวล เนื่องจากมีสัญญาณของ "วาระพิเศษซ้อนเร้น" อยู่"
ที่สำคัญ!! รัฐบาลไม่กล้าให้หลักประกันกับประชาชน ทั้งที่มีฐานะเป็นเจ้าภาพในการแก้รัฐธรรมนูญและเป็นผู้คุมเสียงข้างมากในรัฐสภา ว่าจะไม่แตะต้องความเป็นอิสระของสถาบันศาล และองค์กรอิสระ ซึ่งอาจจะเอื้อประโยชน์ต่อคดีสำคัญของผู้อยู่เบื้องหลังรัฐบาล หรือการนิรโทษกรรมได้
ส่วนการที่รัฐบาลขอให้มีการทำสัตยาบัน ในกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นั้นก็เป็นการ "โยนหินถามทาง" แทนที่จะแปรญัตติกำหนดกรอบให้ชัดเจนว่า จะไม่แตะต้ององค์กรอิสระเพื่อคลายความกังวลใจแก่ประชาชน
"ที่ผ่านมา ก็ชัดเจนว่า แม้จะมีการทำสัตยาบรรณก็ยังสามารถเบี้ยวได้ กรณีนี้สังคมคงต้องเคลือบแคลงใจต่อไป"
ประเด็นดังกล่าวนี้ นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย เลขานุการคณะกรรมิการวิสามัญศึกษาการบังคับใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ชี้แจงว่า มาตรา 291 เป็นหมวดการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ยกเลิกฉบับเก่า เพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ในทัศนะเขามองว่า หากผู้ใดคิดว่ารัฐธรรมนูญมีปัญหา แล้วจะยกเลิก อย่างนั้นรัฐธรรมนูญไทยคงไม่มีความถาวร รัฐบาลไหนเข้ามาก็สามารถยกเลิกได้ เพื่อประโยชน์ของตนเอง แล้วความมั่นคงทางรัฐธรรมนูญ จะเกิดขึ้นได้อย่างไร?? ยิ่งะหากครั้งนี้ เรายอมรับการแก้ไข ก็จะเป็นการสร้าง "นิติประเพณีใหม่" ขึ้นมา
ก่อนจะตั้งคำถาม...เราจะยอมรับให้เกิดขึ้นในประเทศนี้ได้จริงหรือ? เพราะแม้จะมีการยกร่างรัฐธรรมนูญฯ ขึ้นใหม่ แต่ก็ควรจะเป็นไปเพื่อประโยชน์พร้อมกันทั้งประเทศ หรือเพื่อแก้ไขความขัดแย้งของสังคมไทย แทนที่จะ "ซ่อนรูป" หรือเอื้อประโยชน์ให้บุคคลใด
" สังคมไทยยังไม่พร้อมจะยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตราบใดที่สังคมยังไม่พร้อม หรือยังไม่ตกผลึก ผมไม่เข้าใจว่า เมื่อมติมหาชนยังไม่เกิด เหตุใดรัฐบาลจึงเร่งรีบแก้ไขรัฐธรรมนูญ วันนี้ประชาชนยังไม่รู้ว่า ประเด็นที่แก้เป็นปัญหาต่อตนเองอย่างไร และมีความจำมากน้อยแค่ไหนในการแก้"
ท่าทีเช่นนี้เอง ทำให้มองได้ว่า การยกร่างฯ ในครั้งนี้เป็น "เกมทางการเมือง" อย่างไรก็ตามจะยกร่างฯ ขึ้นใหม่อีกกี่ฉบับ ก็ไม่สำคัญเท่าการปฏิรูปการเมืองใหม่
ทั้งนี้เขายังชวนให้ช่วยกันคิดด้วยว่า... ปัญหาบ้านเมืองทุกวันนี้ เกิดจากปัญหารัฐธรรมนูญ หรือปัญหาจากคนใช้รัฐธรรมนูญกันแน่
ในฐานะอดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 นายเดโช สวนานนท์ สรุปบทเรียนให้ฟังว่า หากจะตั้งคำถามว่าประชาชนจะได้อะไรจากรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เขาเห็นว่า ประชาชนจะได้สิทธิในการเลือกผู้แทน คือ ส.ส.ร.และเสนอความเห็นให้ผู้แทนเข้าไปแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ อันเป็นสิทธิในการเลือกตั้งทั้งทางตรงและลับ ซึ่งจะทำให้ได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นของ เพื่อและโดยประชาชนอย่างที่แท้จริง อันจะเป็นเกราะคุ้มกันรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จากการล้มล้างด้วยวิธีการอื่น ที่ไม่ใช่วิถีประชาธิปไตย
ส่วนข้อเสียจากการยกร่างฯ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ นั้น จะเกิดความซ้ำซ้อนในการทำหน้าที่ผู้แทนราษฎร ที่อาจมองได้ว่า เป็นการผลักภาระความรับผิดชอบไปให้ประชาชนโดยไม่มั่นใจว่า จะเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจริง
"การเลือกตั้ง ส.ส.ร.อาจต้องเสียงบประมาณจำนวนมากเกินความจำเป็น โดยคาดว่าประมาณ 3 พันล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามเขาทิ้งท้ายไว้สั้นๆ ว่า "ประชาธิปไตยก็ควรต้องมีราคา"
ทางด้านอดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ย้ำชัดถึงเจตนาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ ของรัฐบาลนี้ว่า เป็นไปเพื่อการล้มล้างรัฐธรรมนูญปี 2550 เพื่อยกร่างฯ ฉบับใหม่ขึ้น ซึ่งกระบวนการทำที่มี "เทคนิคทางกฎหมาย" และมี "ขั้นตอนทางการเมือง" ทั้งที่แท้จริงแล้วรัฐธรรมนูญไม่ใช่ตัวปัญหา แต่ปัญหาอยู่ที่ตัวผู้ใช้
ซึ่งเขาเห็นว่า หากพฤติกรรมนักการเมืองยังคงเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะแก้กฎหมายอย่างไรคงมีการแหกกฎได้อยู่ดี พร้อมกับเชื่อด้วยว่าการแก้กฎหมายครั้งนี้ ไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งประเทศ แต่มีประโยชน์แอบแฝง เช่น ต้องการล้มล้างคำตัดสินของศาลฎีกา ต้องการเอาใจแนวร่วมบางคนในการลดพระราชอำนาจ หรือมีเจตนาแทรกแซงอำนาจศาล และองค์กรอิสระ โดยอ้างว่าเหตุผลว่า องค์กรเหล่านี้ "ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน"
"การจะใช้มาตรา 291 มาแก้ไขมาตรา 291 เอง เพื่อฉีกรัฐธรรมนูญปี 2550 ทิ้งนั้น เป็นเรื่องแปลก สิ่งเหล่านี้เหมือนเป็นการ "ปฏิวัติเงียบ" เป็นการยึดอำนาจทางการเมืองโดยอ้างการแก้ไขรัฐธรรมนูญ"
เมื่อมีการปฏิวัติเงียบ แล้วจะหวังให้คนอื่นเงียบ คงเป็นไปไม่ได้ คงต้องมีคนต่อสู้...
"ผมขอคาดการณ์ว่า น่าจะมีการรัฐประหารเกิดขึ้นอีกครั้ง และคงเป็นครั้งที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่หน่อมแน้ม ซึ่งก็ไมได้หมายความว่าผมจะเห็นด้วยและผมก็ไมได้ขู่"
ทางด้านนายวันชัย สอนศิริ เลขานุการคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนฯ ตั้งข้อสังเกตว่า ขณะนี้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยก็ดูเหมือนสามารถยึดทุกกระทรวง และควบคุมทุกภาคส่วนได้อย่างเบ็ดเสร็จอยู่แล้ว จึงเป็นที่น่าสงสัยว่า หากไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญจะมีใครเดือดร้อน หรือจะเป็นจะตาย
เขามองว่าการนำ ส.ส.ร.มาดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ ครั้งนี้ เป็นการนำคนอื่นมาเป็น เกราะกำบัง เป็นกันชน เป็นการปัดความรับผิดชอบ และเป็นการปิดบังซ่อนเร้นตัวเอง พยายามทำให้เป็นเรื่องของประชาชนและเป็นประชาธิปไตย ดังนั้น การแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้จึงเป็นเหมือนการ "สับขาหลอก"
และแม้รัฐบาลจะพยายามยืนยันว่า ภายหลังการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะเดินหน้ากฎหมายปรองดอง หรือนิรโทษกรรม ซึ่งคงเป็นการ "เปิดหน้าชก" และเป็นการ "เรียกแขก" มากเกินไป แต่จะอย่างไรผมคาดเดาว่า กฎหมายปรองดองคงจะไม่ทันได้ออก...
ข้อสังเกตประการต่อมา ที่เขาเน้นย้ำ คือ ไม่เห็นความจำเป็นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ ในบรรยากาศเช่นนี้ นอกเหนือเสียจากต้องการแก้ในสิ่งที่ตนเองทำผิด ซึ่งคงเป็นการกระทำที่แปลก คนเดือดร้อนคงมีคนเดียว ไม่ใช่คนทั้งประเทศ เพราะรัฐบาลและนักการเมืองก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร มีการบริหารที่ควบคุมเบ็ดเสร็จอยู่แล้ว เชื่อว่า...คงต้องมีวาระซ่อนเร้น เพื่อให้คนๆ หนึ่งได้รับประโยชน์
"เป็นเรื่องแปลกหากจะมีกฎหมายที่ทำเรื่องผิดให้บริสุทธิ์ แล้วอ้างว่าเป็นเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน โดยเอาตนเองเป็นที่ตั้งในการแก้กฎหมาย คงเปรียบเหมือนว่าฆ่าคนตาย แล้วออกกฎหมายให้ตนเองพ้นผิด..."