- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- 'ปรองดอง' ในมุมศาสนา-ปชช.คำนึงถึงเวลา บรรยากาศ ความรู้สึก
'ปรองดอง' ในมุมศาสนา-ปชช.คำนึงถึงเวลา บรรยากาศ ความรู้สึก
หากจะกล่าวถึง "การปรองดอง" ที่สังคมไทยเรียกร้องกันอยู่ทุกวันนี้ มองดูแล้วยังมีความอึมครึม และสีออกเทาๆ ภายหลังที่ภาครัฐถอดสมการปรองดอง ด้วยวิธีหักด้ามพร้าด้วยเข่า ใช้ "กฎหมาย" ที่มีนัยยะของการบังคับ แทนการแก้ปัญหาอย่างประนีประนอม จนกลายเป็นแรงกระเพื่อมให้สังคมแตกแยก มีความคิดออกไปคนละทิศละทาง
ศูนย์ข่าวสารนโยบายสาธารณะ สำนักข่าวอิศรา ได้ประมวลอีกแนวความคิด ที่จะนำไปสู่การสมานฉันท์และปรองดองจากมุมมอง "ศาสนา และประชาชน" ที่มาจากการถกเถียง แลกเปลี่ยนข้อมูลแบบ "สานเสวนา" ซึ่งจัดโดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ร่วมกับ "กลุ่มอาทรเสวนา" หลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงการเสริมสร้างสังคมสันติสุขรุ่น 3 สถาบันพระปกเกล้า และศูนย์สันติวิธี ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ ณ โรงแรมรามา การ์เด้น
พัก กม.ปรองดอง รอบรรยากาศคุกรุ่นให้เบาลง
เริ่มต้นที่อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ศ.ดร.สุจิต บุญบงการ สวมหมวกประธานสภาพัฒนาการเมืองในวันนี้ ให้ความเห็นยืนยันแต่แรกว่า การปรองดองด้วยการใช้กฎหมายเป็นสิ่งที่พิสูจน์ชัดแล้วว่า "ใช้ไม่ได้" เพราะกฎหมายเป็นการบังคับให้คนปฏิบัติตามซึ่งไม่ได้ผล
ปัญหาสำคัญของประเทศไทยที่ต้องยอมรับ คือ คู่กรณีต่างยึดถือเสาคนละเสา และยังไม่มีเสาหนึ่งเสาใด ยอมโอนเข้าหากัน เสาของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ยังปรองดองแบบจะใช้กฎหมาย อีกฝั่งเสาหนึ่งก็ย้ำว่า หากใช้การปรองดองเช่นนั้น คงต้องต่อสู้กันสักตั้ง ปัญหานี้สะท้อนชัดแล้วว่า ยังไม่ใช่บรรยากาศของการปรองดอง
เขาบอกต่อว่า การจะปรองดองได้ ต้องอาศัยบรรยากาศและคู่กรณียินยอม ส่วนจะทำให้เกิดบรรยากาศดังกล่าวได้นั้น ประการแรก อย่าไป"เร่ง" และ "กระตุ้น" จนเกินไป มิเช่นนั้นคนที่ไม่เห็นด้วยจะลุกฮือขึ้นต่อต้าน
ฉะนั้น การจะสร้างบรรยากาศต้องคำนึงถึงเวลา เงื่อนไข และสถานการณ์...
"ขณะนี้รัฐควรพักเรื่องการปรองดองไว้ก่อน สิ่งสำคัญควรหยุดสร้างประเด็นเพื่อให้การคุกรุ่นเบาบางลง อย่าใช้กฎหมายและกลไกสภาฯ เข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะจะเกิดการแบ่งฝ่ายค้านกันทันที รอให้คนมีความคิดทางบวกมากขึ้น ให้เกิดการปรองดองในบริบทที่ตกลงคุยกันได้ ไม่ใช่การต่อสู้"
เมื่อบรรยากาศและสังคมมีความพร้อมให้เกิดการปรองดองแล้ว กระบวนการต่อไป คือ ภาคประชาชนจะต้องเริ่มเป็นฝ่ายแรก เปลี่ยนความคิดตนเองให้รู้สึกว่าเป็น "พลเมือง" ในสังคม โดยเชื่อมั่นว่าตนเองมีพลังและมีปากมีเสียง แม้จะต้องใช้เวลานานเท่าใด อดีตตุลาการศาล รธน. บอกว่า ก็ต้องทำ เพราะเมื่อประเทศไทยมีพลเมืองที่เต็มไปด้วยพลัง ไม่ลู่ไปตามการชี้นำ เมื่อนั้นการทะเลาะระหว่างผู้นำจะเบาลง เสาทั้ง 2 จะอ่อนแรงลงในที่สุด
"แต่ทุกวันนี้ที่เสาทั้ง 2 ยังไม่อ่อนลง เนื่องจากยังมั่นใจว่า สามารถชี้นำมวลชนได้"
เปิดพื้นที่สานเสวนา กู้ความไว้วางใจคืน
ด้าน ดร.โคทม อารียา ผู้อำนวยกาศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี ม.มหิดล วิเคราะห์ถึงรากเหง้าของความขัดแย้งและการทะเลาะกันในประเทศไทยให้ฟังว่า มีอยู่ 2 ประเด็น ได้แก่ 1.มายาคติ 2.การไม่ไว้วางใจ ทางออกต้องอาศัย "สื่อมวลชน" ที่มีส่วนสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมการพูดคุยอย่างตรงไปตรงมา เคารพรับฟังกัน ที่เรียกว่า "การสานเสวนา"
กล่าวเฉพาะประเด็น พ.ต.ท.ทักษิณ เห็นได้ชัดว่าคนต่างมีมายาคติและความไม่ไว้วางใจว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณ กลับเข้าประเทศจะมารับเงิน 4.6 หมื่นล้านคืนหรือไม่ ประเด็นนี้ สื่อต้องสัมภาษณ์ให้ชัดเจน จะได้รู้ว่า คนตอบรักษาคำพูดหรือไม่
สำหรับประเด็นการร่างรัฐธรรมนูญ ที่มีมายาคติว่า เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาแล้วจะเปลี่ยนจากการเป็นผู้จัดการอำนาจ กลายเป็นผู้ครองอำนาจ การร่างรัฐธรรมนูญจะไม่เป็นไปตามกรอบหรือเป็นการล้มล้างประชาธิปไตยหรือไม่ ก็ถือเป็นโอกาสให้ศาลรัฐธรรมนูญเชิญผู้เสนอร่างฯ มาชี้แจงแถลงไขอีกครั้ง
"ที่สำคัญ สื่อมวลชน จะช่วยกู้ความไว้วางใจและกู้สถานการณ์ให้อยู่ในระดับที่ไม่ใช้ความรุนแรงคืนมาให้ได้ อีกทั้งป้องกันการเบี้ยว ลดการเกิดมายาคติ สร้างความสนใจให้ทุกภาคส่วนร่วมมือและให้ผู้ที่อยู่ระดับบนวางกติกาการอยู่ร่วมกัน โดยยึดแนวคิดว่า "เราต้องเห็นตรงกันบ้างไม่มากก็น้อย" นั่นคือ ประตูสู่ "การปรองดอง" แล้ว"
ปรองดอง ต้องทำให้ถูกดี ถึงดี และพอดี
สำหรับมุมมองด้านศาสนาพุทธ พระราชปฏิภาณมุนี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดประยูรวงศาวาส มองว่า การปรองดองและสมานฉันท์ ที่กล่าวกันอยู่ทุกวันนี้ เป็นเพียงแค่ความคิด ส่วนจะทำให้เกิดผลได้นั้นต้องมีความรัก ความสามัคคีและยึดเงื่อนไข 3 ประการ ได้แก่ การทำให้ถูกดี ทำให้ถึงดีและทำให้พอดี ไม่อย่างนั้นจากดีจะกลายเป็นเสีย
"การปรองดองเป็นเรื่องดี แต่ต้องทำให้ถูกดี คำนึงว่าเวลาและบรรยากาศขณะนี้เหมาะสมแล้วหรือไม่ ความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ในประเทศเข้าใจเรื่องการปรองดองดีแล้วหรือไม่ และต้องทำให้ถึงดี ทำพอดีด้วย ทั้งนี้ ต้องอาศัยเวลาและความร่วมมือจากประชาชน หากทำได้ครบพร้อมความสมานฉันท์จะตามมาเอง"
พร้อมกับเปรียบการปรองดองนั้น เหมือนการซักผ้า ที่เนื้อผ้าแต่ละชนิดมีความแตกต่างกัน เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัว และแม้จะมีเป้าหมายเดียวกัน คือ ความสะอาด แต่ก็ต้องใช้เวลา และวิธีการในการซักไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน
เฉกเช่นเดียวกับการปรองดอง หากจะทำให้ประสบความสำเร็จต้องคำนึงเรื่องระยะเวลา บรรยากาศและความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ในสังคมควบคู่ไปด้วย
ดึงผู้นำจิตวิญญาณที่แหลมคม ช่วยผ่าตัดปมประเทศ
ขณะที่ ศ.นิรุทธิ์ จันทร์ก้อน ประธานองค์กรคริสตจักรร่วมนิมิต สะท้อนมุมมองคนในสังคม เสมือน "ด้าย" ที่มีปมเยอะ ท้ายที่สุดเมื่อการศึกษาและวิทยาศาสตร์คลายปมให้คนไม่ได้ จึงเหลือเพียง "ศาสนา" เท่านั้นที่จะคลายปมชีวิตได้ บทหนักจึงตกมาที่ตัวแทนแต่ละศาสนา
"คนป่วยรอหมอฉันใด คนในแผ่นดินนี้ก็รอศาสนาฉันนั้น" ตัวแทนศาสนาคริสต์ บอก และเห็นว่า ศาสนิกชนทุกคนกำลังรอผู้นำทางจิตวิญญาณที่มีความแหลมคม เป็นคนดี คนเก่ง คนกล้า คนแกร่ง คนพร้อมและคนเสียสละ มาผ่าตัดปมชีวิตคน เพื่อความสำเร็จของประเทศที่ต้องเป็นความสำเร็จแท้ที่สุขสงบ ไม่มีสงคราม ต้องสว่าง สะอาด และมีสาระ
ในส่วนผู้แทนศาสนาอิสลาม ดร.วิศรุต เลาะวิถี หัวหน้าหลักสูตรอิสลามศึกษา ม.รังสิต บอกว่า การสมานฉันท์และปรองดองในมุมของศาสนาอิสลาม เน้นการให้เกียรติยกย่องซึ่งกันและกัน รวมทั้งการพูดดี การให้อภัย มีความรักความเมตตาซึ่งกันและกันโดยไม่แบ่งแยก นี่คือปัจจัยสูงสุดที่เป็น "แก่นคำสอน" อันสำคัญที่จะรังสรรค์ความเป็นปึกแผ่น นำไปสู่การปรองดองได้
และนี่คือ สมานฉันท์และปรองดองจากมุมมอง "ศาสนา และประชาชน" ชนิดค่อยๆ คืบคลานให้คนคล้อยตาม ไม่เร่งเร้า เกินหน้าออกกฎหมายแบบไม่มีที่มาที่ไป