ผู้ประกอบนิคมฯ จี้รัฐแจ้งยอดเงินสมทบ ค่าก่อสร้างเขื่อนกันน้ำท่วมให้ชัด
รมว.อุตฯ เผย 1 ใน 4 ข้อเสนอ ที่ผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมต้องการให้ภาครัฐช่วย คือการประชาสัมพันธ์ถึงความก้าวหน้าตามแผนป้องกันอุทกภัยนอกนิคมฯ พร้อมเปิดเผยข้อมูลระดับน้ำในแต่ละพื้นที่อย่างทั่วถึง โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย
วันที่ 16 ก.พ.หม่อมราชวงศ์พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึงข้อเสนอแผนงาน/โครงการป้องกันปัญหาน้ำท่วมของนิคมอุตสาหกรรม 7 แห่ง ระหว่างที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรับฟังการบรรยายสรุปแผนงาน/โครงการป้องกันน้ำท่วมพื้นที่กลางน้ำตอน ล่าง (จังหวัดสุพรรณบุรี อยุธยา ปราจีนบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง ลพบุรี สระบุรี และนครนายก) และพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย ณ ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยระบุว่า ทุกนิคมอุตสาหกรรมได้จัดทำแผนก่อสร้างกำแพงคอนกรีต เขื่อนดิน และคันดินสูงขึ้นจากเดิม 1-2 เมตร วงเงินลงทุนรวมประมาณ 4,000 ล้านบาท กำหนดแล้วเสร็จประมาณเดือน ก.ค.-ก.ย. 2555 ซึ่งองค์การความร่วมมือแห่งประเทศญี่ปุ่น (JICA) จะสนับสนุนเงินช่วยเหลือแบบให้เปล่าจำนวน 2 ใน 3 ของค่าก่อสร้าง (ประมาณ 2,600 ล้านบาท) ส่วนที่เหลืออีก 1,400 ล้านบาทนั้นจะใช้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) จากธนาคารออมสิน หรือธนาคารแห่งประเทศไทย
ในส่วนของการป้องกันระดับโรงงานอุตสาหกรรมภายในนิคมอุตสาหกรรมนั้น รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมจะต้องป้องกันโรงงานของตนเองในเบื้องต้น ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความก้าวหน้าของแผนป้องกันน้ำท่วมของภาครัฐ ซึ่งทางจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับการจัดสรรงบ ประมาณจากงบกลางประจำปี 2555 เพื่อดำเนินการในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม ในด้านการสนับสนุนผู้ประกอบการอุตสาหกรรมของภาครัฐในส่วนอื่นนั้น จะมีการจัดตั้งกองทุนประกันภัย การสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และการยกเว้นภาษีเครื่องจักรต่าง ๆ
สำหรับข้อเสนอ 4 ประเด็น ที่ผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมต้องการให้ภาครัฐดำเนินการเพื่อช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ นั้น ประกอบด้วย
1) ต้องการให้ภาครัฐกำหนดแผนปฏิบัติการเพื่อแก้ไขปัญหาที่ชัดเจน มิใช่เพื่อป้องกันนิคมอุตสาหกรรมเพียงอย่างเดียว แต่ต้องรวมไปถึงการจัดการด้านโลจิสติกส์และระบบกระจายสินค้า การจัดระบบการคมนาคมขนส่ง และการเดินทางเข้าออกนิคมอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดน้ำท่วมเป็นเวลานาน
2) เสนอแนะให้มีการผันน้ำจากพื้นที่เหนือจังหวัดนครสวรรค์ไปทางฝั่งตะวันออก ผ่านจังหวัดลพบุรี สระบุรี และฉะเชิงเทรา โดยพิจารณาความเหมาะสมในการจัดสร้างอ่างเก็บน้ำในพื้นที่ดังกล่าว เพื่อบรรเทาปัญหาน้ำท่วมในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและช่วยกัดเก็บน้ำไว้ใช้ใน ฤดูแล้งในพื้นที่ฝั่งตะวันออกที่ขาดแคลนน้ำ
3) แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายสมทบ ค่าก่อสร้างเขื่อน กำแพง และแนวคันดินป้องกันน้ำท่วม ให้ผู้ประกอบการภายในนิคมอุตสาหกรรมทราบอย่างชัดเจน
4) ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนและผู้ประกอบการทราบถึงความก้าวหน้าของการดำเนินการ ตามแผนป้องกันอุทกภัยนอกนิคมอุตสาหกรรม และเปิดเผยข้อมูลระดับน้ำในแต่ละพื้นที่ให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึง โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย
ขณะที่นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการกำหนดพื้นที่รับน้ำในเขตจังหวัดกลางน้ำตอนบนและตอนล่าง ว่า ขณะนี้มีความต้องการพื้นที่รับน้ำ จำนวน 2 ล้านไร่ จึงจำเป็นต้องจัดหาพื้นที่แก้มลิงเพิ่มเติมใน 2 ส่วน คือ บึงธรรมชาติและพื้นที่เกษตร โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มน้ำที่ต่ำสุดในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยให้ทำความเข้าใจกับประชาชนถึงความจำเป็นในการป้องกันอุทกภัยของประเทศ รวมถึงได้สั่งการให้กระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าภาพในสร้างแนวกำแพงป้องกันน้ำท่วม ในพื้นที่ปลายน้ำ เพื่อป้องกันพื้นที่อุตสาหกรรม และพื้นที่เขตชุมชนเมือง โดยพิจารณาถึงความเชื่อมโยงกับถนนทางหลวง และคันกั้นน้ำรอบเมือง