- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- “กิจการเพื่อสังคม” ฐานในการสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่
“กิจการเพื่อสังคม” ฐานในการสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมนัดแรก เตรียมทำแผนแม่บทสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคม พร้อมตั้งอนุกรรมการ 3 ด้าน
เมื่อวันที่ 14 ม.ค. นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง แถลงผลการประชุมคณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคม ครั้งที่ 1/2553 ณ ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาลว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2552 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมขึ้น จากการที่รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยการน้อมนำเอาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่เน้นความร่วมมือเอื้อเฟื้อต่อกันและกันไม่เบียดเบียนกันระหว่างกิจการต่าง ๆ ของทุกภาคส่วนในสังคม มาเป็นฐานในการสร้างระบบ
เศรษฐกิจใหม่อย่างเป็นรูปธรรม โดยเรียกกิจการดังกล่าวว่า “กิจการเพื่อสังคม” (Social Enterprise) ซึ่งในชั้นนี้มีความเข้าใจกันว่าเป็นธุรกิจหรือวิสาหกิจลักษณะพิเศษที่ตั้งขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาสังคม สุขภาวะ และสิ่งแวดล้อมไปพร้อม ๆ กับการสร้างรายได้อย่างยั่งยืนเพื่อความก้าวหน้าของประเทศชาติ หรืออาจจะเรียกว่าเป็นระบบเศรษฐกิจพอเพียงขั้นก้าวหน้าอันจะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน และสังคมที่มีความเท่าเทียม ยุติธรรม และมีปัญญามากขึ้น
นายปณิธาน กล่าวว่า กิจการเพื่อสังคมดังกล่าวนั้นมีอยู่ในหลากหลายด้าน เช่น กิจการด้านพลังงานทดแทนในระดับท้องถิ่น การท่องเที่ยวที่จัดการโดยชุมชน กิจการให้สินเชื่อขนาดเล็กสำหรับคนยากจน (micro-credit) การเกษตรยั่งยืน การพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับคนยากจน การนำสินค้าทางวัฒนธรรมของชาวบ้านมาทำการตลาด เช่น โครงการดอยตุง การใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเพื่อแก้ปัญหาสังคม การสร้างงานให้กับผู้พิการ สร้างสื่อสร้างสรรค์ ซึ่งลักษณะของกิจการเพื่อสังคมเหล่านี้ กำลังเป็นกระแสไปทั่วโลก
“ในยุโรปโดยเฉพาะรัฐบาลอังกฤษนั้นได้ให้ความสนใจในการเข้าไปพัฒนากิจการเพื่อสังคมของประเทศตนเองจนเกิดกิจการเพื่อสังคมกว่า 50,000 แห่ง และปรากฏผลว่ากิจการเพื่อสังคมสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศถึงประมาณ 8,000 ล้านปอนด์ต่อปี และยังสร้างผลเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมได้มากอีกด้วย”
ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมการพัฒนากิจการเพื่อสังคมให้ก้าวหน้า นายปณิธาน กล่าวว่า รัฐบาลอังกฤษโดย British Council จะเชื่อมประสานกับทั้งรัฐและเอกชนอังกฤษในการสนับสนุนการสร้างกิจการเพื่อสังคมในประเทศไทย โดยสนับสนุนทั้งในเชิงความรู้ เครื่องมือ และความช่วยเหลืออื่น ๆ นอกจากนี้ยังพบอีกว่า ขณะที่ประเทศเกิดภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจโลก ทำให้หลายบริษัทต้องปิดตัวลง มีผลกำไรลดลง แต่กิจการเพื่อสังคมยังสามารถเจริญเติบโตและคงสถานภาพได้ดีกว่าเพราะการดำเนินการกิจการเพื่อสังคมไม่ได้คำนึงถึงแต่หรือตามกระแสเศรษฐกิจแต่อย่างเดียว จึงทำให้กิจการเพื่อสังคมมีความยั่งยืนอย่างชัดเจน และเพื่อให้มีแนวทางร่วมกันในการดำเนินการจึงให้มีการทำแผนแม่บทสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) ขึ้น เพราะเชื่อว่าการเจริญเติบโตของภาคกิจการเพื่อสังคมจะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน รวมทั้งจะช่วยให้ประเทศไทยไม่ต้องประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจเหมือนเช่นที่ผ่านมา
สำหรับยุทธศาสตร์ในการดำเนินการงานของคณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมนั้น ประกอบด้วย 3 ยุทธศาสตร์หลัก กล่าวคือ 1. การสร้างการรับรู้ และการเรียนรู้ในสังคมไทย โดยผ่านการทำกิจกรรมต่าง ๆ หรือการพัฒนาเนื้อหาประกอบการเรียนเข้าไปในระดับโรงเรียน มหาวิทยาลัย และสถาบันเฉพาะทางเพื่อให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการลงทุนและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระดับภูมิภาค (Social Enterprise ASIA) 2. การพัฒนารูปแบบและขีดความสามารถของกิจการเพื่อสังคม ซึ่งอาจนำไปสู่การพัฒนากฎหมายหรือกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ และการจัดตั้งเครือข่ายศูนย์บ่มเพาะธุรกิจเพื่อให้คำปรึกษาแก่บริษัทที่ต้องการเปลี่ยนธุรกิจตนเองให้เป็นธุรกิจเพื่อสังคม หรือพัฒนาขีดความสามารถของธุรกิจเพื่อสังคมให้เจริญเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และ 3. พัฒนาช่องทางเข้าถึงเงินทุนและทรัพยากรด้วนการจัดตั้งกองทุน เพื่อระดมการสนับสนุนทรัพยากรอื่น ๆ โดยสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชน ทั้งนี้ จึงมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการทั้ง 3 ด้านเพื่อขับเคลื่อนงานตามยุทธศาสตร์ดังกล่าวต่อไป