- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ถกพื้นที่ "นำร่อง" ทำเขตสังคมและวัฒนธรรมพิเศษ สำหรับชาวเล
ถกพื้นที่ "นำร่อง" ทำเขตสังคมและวัฒนธรรมพิเศษ สำหรับชาวเล
สาทิตย์ วงศ์หนองเตย อาสาขอเป็นเจ้าภาพประสานทุกฝ่าย ตั้งกรรมการฟื้นฟูวัฒนธรรม แก้ปัญหาชาวเล ด้าน “ปรีดา คงแป้น” กก.คสป. เสนอให้ “พท.นำร่องเขตวัฒนธรรมพิเศษ” เป็นรูปธรรมตัวอย่างแก้ปัญหา การประกาศเขตอุทยานฯทับที่ดินของชาวบ้าน
วันนี้ (9 ก.ย.) โครงการสื่อสารสุขภาวะเพื่อคนชายขอบ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเสวนาโต๊ะกลมตอบคำถามและชี้แจงประเด็นข่าวกรณีปัญหาของชาวเลและการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติทับที่ดินของชาวบ้านในพื้นที่อันดามัน โดยมีนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน ร่วมรับฟังความคิดเห็น
นายสาทิตย์ กล่าวถึงปัญหาของชาวเลและการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติทับที่ดินของชาวบ้านในพื้นที่อันดามันว่า เบื้องต้นได้วางแนวทางแก้ปัญหา คือ จะต้องสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ต้องมีการแก้ปัญหาการละเมิดกฎหมายของกลุ่มเจ้าหนี้นอกระบบในพื้นที่ ดำเนินการพิสูจน์เอกสารสิทธิ์การถือครองที่ดินในพื้นที่โดยเร็ว สร้างเครือข่ายชาวบ้าน พร้อมทั้งสร้างกลไกติดตามงานในเชิงพื้นที่ เร่งดำเนินการตามแผนฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเลที่กระทรวงวัฒนธรรมเคยเสนอ รวมทั้งสร้างความมั่นคงทางที่อยู่อาศัย การให้สัญญาชาติ และการพัฒนาเรื่องการประกอบอาชีพ ฯลฯ
รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การเดินหน้าเรื่องแผนฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล ต้องเปลี่ยนในเรื่องกรอบความคิดใหม่ ทำความเข้าใจในวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวเล นำสิ่งใหม่ๆเข้าไปในชุมชน โดยต้องคำนึงด้วยว่าจะไม่กระทบต่อวิถีชีวิตดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม ปัญหาเร่งด่วนและสำคัญที่สุดในขณะนี้คือ เรื่องที่ดินทำกิน ดังนั้นจะเริ่มจากพื้นที่ที่เป็นโฉนดชุมชน ให้เป็นพื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษด้วย ซึ่งตนเห็นด้วยกับการประกาศให้มีเขตพื้นที่วัฒนธรรมพิเศษของชาวเล เป็นที่นำร่อง
"ขณะนี้โฉนดชุมชนมีการพิจารณาอยู่ใน 88 พื้นที่ เฉพาะที่พังงา ภูเก็ต ประมาณ 14-15 พื้นที่ ส่วนพื้นที่ที่อยู่ในเขตอุทยานฯ การประกาศโฉนดชุมชนจะให้อุทยานฯ ให้ความเห็นชอบให้เป็นพื้นที่โฉนดชุมชน" นายสาทิตย์ กล่าว และว่า การจัดทำโฉนดชุมชนเป็นการแก้ปัญหาพื้นที่ที่คนไปอยู่ในพื้นที่ของรัฐ ขณะนี้มีอยู่เกือบ 10 ล้านคน ถือเป็นการแก้ไขปัญหาโดยไม่นำคนออกจากพื้นที่ หากพื้นที่อันดามันแห่งใดมีความพร้อมที่จะประกาศเป็นโฉนดชุมชนได้ ก็อาจจะประกาศให้เป็นพื้นที่นำร่อง เรื่องพื้นที่วัฒนธรรมพิเศษได้ เพื่อคุ้มครองวิถีชีวิตของคนในพื้นที่
นายสาทิตย์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้พบพื้นที่สิเหร่ ได้มีเอกชนเสนอเงินถึง 10 ล้านบาท เพื่อขอซื้อพื้นที่สุสานของชุมชนชาวเล แต่คนในชุมชนไม่ขาย เพราะเกี่ยวข้องกับความเชื่อ ถือเป็นปัญหาการปะทะระหว่างทุนสมัยใหม่กับวิถีชีวิตดั้งเดิม ส่วนแนวทางฟื้นฟูเขตวัฒนธรรมนั้น ตนขอเป็นเจ้าภาพเพื่อประสานทุกฝ่าย โดยจะหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมโดยเร็ว
สำหรับกรณีการประกาศที่โฉนดชุมชนนั้น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า รัฐบาลตั้งใจพยายามจะประกาศโฉนดชุมชน 30 แห่ง ให้ทันในปีนี้ขณะนี้มีพื้นที่ต.คลองโยง อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม และพื้นที่ในอ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์ มีความพร้อมที่จะประกาศเป็นโฉนดชุมชนแล้ว
ด้านดร.นฤมล อรุโนทัย ผู้เชี่ยวชาญด้านชาวเลจากสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จากเดิมชุมชนชาวเลสามารถอาศัยบริเวณแนวชายฝั่งทะเล โดยไม่มีปัญหาเรื่องที่ทำกิน แต่หลังจากการกระตุ้นด้านการท่องเที่ยวส่งผลให้ชุมชนชาวเลมากกว่า 50% มีปัญหาในเรื่องที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย ทั้งที่เคยอยู่มาก่อน ทั้งๆ ที่วิถีชีวิตของชาวเล คือ เคลื่อนย้ายไปมาและกลัวราชการจึงไม่เคยต่อสู้เรื่องสิทธิในที่ดินทำกิน จนเกิดเหตุการณ์สึนามิที่มีการรื้อฟื้นการครอบครองสิทธิทางที่ดิน เป็นการเปิดแผลของปัญหาให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น โดยพบว่าชุมชนชาวเล กลายเป็นผู้บุกรุก เพราะไม่มีโฉนด บางพื้นที่เป็นที่สุสานของบรรพบุรุษ และยังเกิดปัญหาการใช้ทรัพยากรเพื่อทำมาหากินในพื้นที่
“ข้อเสนอแนะต่อการฟื้นฟูวิถีวัฒนธรรมของชาวเล โดยเครือข่ายชุมชนชาวเล คือ ขอให้สร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย โดยใช้โฉนดชุมชน ขอให้มีการจัดทำเขตสังคมและวัฒนธรรมพิเศษสำหรับกลุ่มชาวเล และขอให้ชาวเลสามารถประกอบอาชีพประมงในพื้นที่ได้ กรณีของชาวเลถือเป็นกรณีอย่างให้ชนพื้นเมืองที่อื่นๆ”
ส่วนนายสุวิทย์ รัตนมณี รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวถึงการเปิดโอกาสให้ชาวมอแกนมีส่วนในการทำกินในพื้นที่ ถือเป็นหน้าที่ของกรมอุทยานอยู่แล้วในการอนุรักษ์ทรัพยากรทั้งทางธรรมชาติ และบุคคลให้คงอยู่ ส่วนการเร่รอนของคนเกิดขึ้นจากเหตุการณ์สึนามิ ที่มีคณะกรรมการระดับชาติมาตั้งที่อยู่อาศัยให้กับคนมอแกน ซึ่งเป็นการเปลี่ยนวิถีชีวิตของเขาเป็นการดำเนินงานของหลายหน่วยงาน จึงเป็นสิ่งที่ต้องลงไปแก้ไขในพื้นที่ให้คงวิถีชีวิตตามความต้องการของเขา เพราะวิถีชีวิตของชาวมอแกน จะอพยพ ตามถิ่นฐานในที่ต่างๆ แล้วเวียนกลับมาถิ่นเดิม
"ทางกรมอุทยานฯก็ไม่ได้ดำเนินการที่ก่อปัญหากับวิถีชีวิตของชาวมอแกน การทำมาหากินเล็กน้อยของชุมชนในพื้นที่สามารถทำได้ โดยกรมอุทยานฯ ไม่มีมาตรการขับไล่ และหากมีปัญหาในพื้นที่ก็สามารถเสนอร้องเรียนมาได้ที่กรมอุทยานฯ เป็นรายกรณี"
นางปรีดา คงแป้น กรรมการสมัชชาปฏิรูป (คสป.) ในฐานะผู้ทำงานเอ็นจีโอภาคประชาชน กล่าวด้วยว่า ควรให้มีการประกาศพื้นที่นำร่องพื้นที่วัฒนธรรมพิเศษตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเคยเสนอไว้ในการแก้ปัญหา เพื่อให้เกิดตัวอย่างรูปธรรมนำร่องในการแก้ปัญหาให้กับพื้นที่อื่นๆด้วย