- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ “วรากรณ์” เร่งศธ.ปั้นคนรองรับประชาคมอาเซียน
ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ “วรากรณ์” เร่งศธ.ปั้นคนรองรับประชาคมอาเซียน
อธิการบดี มธบ.ชี้วิกฤตใหญ่ 10 ปีข้างหน้า ครูเรือนแสน ถึงวัยเกษียณอายุ แนะสบช่องเป็นโอกาสเติมครูดีเข้าไปแทน ยืนยันหากไม่รีบแก้ปัญหาจะลากยาวต่อไปอีก 30 ปี
เมื่อเร็วๆนี้ รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ บรรยายเรื่อง “ปัญหาระบบการศึกษาไทยกับการสร้างภูมิคุ้มกันทางสังคม” ในการอบรมหลักสูตรผู้บริหารสื่อสารมวลชนระดับกลาง (บสก.) จัดโดยสถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย ณ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
อธิการบดี ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวถึงสถิติที่น่าสนใจของประเทศไทย เมื่อ 12 ปีที่แล้ว ว่า เด็ก 100 คน สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เพียง 53 คน ระหว่างทางหายไป 57 คน และพบว่า จบมหาวิทยาลัยจริงๆ ไม่ถึง 22 คน ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องปลูกฝังให้มีการเรียนรู้ตลอดชีวิตมากกว่าการเรียนรู้ภายในห้องเรียนด้วย แม้ว่าจะออกมาจากระบบการศึกษาไปแล้ว เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสังคมในอนาคต
สำหรับปัญหาใหญ่ของการศึกษาไทย รศ.ดร. วรากรณ์ กล่าวว่า ไม่มีความต่อเนื่อง ขาดความมุ่งมั่น การบริหารและนโยบายการพัฒนาปรับเปลี่ยนบ่อยจากเหตุผลทางการเมือง อีกทั้งระบบราชการทำให้ไม่สามารถสั่งย้ายครูให้กระจายไปยังพื้นที่ชนบทได้ เกิดการกระจุกตัว ปริมาณครูที่มีคุณภาพและจำนวนโรงเรียนไม่สมดุลกัน ต้องจ้างครูอัตราจ้างส่งผลต่อการเรียนการสอนเด็กที่ไม่มีความต่อเนื่อง
“แม้ในปี พ.ศ.2520- 2530 มีการรับครูเกือบ 2 แสนคน แต่ก็ไม่ได้มีการกลั่นกรองอย่างรอบคอบ ด้วยเหตุจากการเร่งรีบเปลี่ยนระบบการศึกษาจาก 6 ปี เป็น 9 ปี มีการรับครูอย่างรวดเร็ว ผลที่ได้ก็คือ วันนี้บุคลกรเหล่านั้นอยู่ในวัย 50-60 ปี และอีก 10 ปี ครูจำนวนเกือบครึ่งหนึ่งจะถึงวัยเกษียณอายุ ซึ่งถือเป็นวิกฤตใหญ่ แต่ก็นับเป็นโอกาสในการเติมคนที่ดีเข้าไปแทน หากไม่รีบแก้จะเป็นวิกฤตรอบยาวอย่างน้อย 30 ปี ข้างหน้า”
รศ.ดร.วรากรณ์ กล่าวถึงปัญหาการจัดสรรงบประมาณทางการศึกษาที่ด้อยคุณภาพ จากเงินจำนวน 4 แสนล้านบาทของกระทรวงศึกษาธิการ งบประมาณกว่า 2 แสนล้านบาท หรือ 78% ลงไปที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ดูแลการศึกษาตั้งแต่อนุบาลจนถึงมัธยมศึกษา ส่วนใหญ่เป็นเงินเดือนของครูและบุคลากรทางการศึกษา อีก 15 % เป็นการจัดกิจกรรม เหลือเพียง 6-7 % ไปที่งบพัฒนาโรงเรียน ซึ่งต้องกระจายไปสู่ทุกโรงเรียนทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่
“เรื่องที่สำคัญยิ่งต่อความสำเร็จของระบบการศึกษา คือ คุณภาพของครู ,การพัฒนาครูให้มีประสิทธิภาพ,และสร้างระบบการศึกษาที่ให้เกิดการสอนที่ดีที่สุด โดยไม่สำคัญว่า เด็กจะเก่งหรือไม่เก่ง แต่ต้องได้รับการเรียนอย่างเท่าเทียม เพราะสิ่งที่เกิดในห้องเรียน หรือ การสอนที่มีคุณภาพด้วยครูที่ทรงความรู้และมีใจ ประกอบสิ่งแวดล้อมอันเหมาะสมต่อการเรียนรู้ นับเป็น หัวใจของคุณภาพการศึกษา”
ส่วนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง รศ.ดร.วรากรณ์ กล่าวต่อว่า จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิด เป็นการปฏิรูปรอบสองโดยเน้นให้เกิด 4 ลักษณะคือ มีคุณภาพ ใฝ่รู้ ใฝ่ดี คิดเป็น ให้ทุกคนตระหนักและมีส่วนร่วมในการปฏิรูปการศึกษา และส่งเสริมให้เกิดสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม(สคส.) ที่มีหลักเกณฑ์เหมือนการเก็บภาษีจากเหล้าและบุหรี่ จากเดิม 2 % โดยจะเก็บเพิ่ม เป็น 2.2 % มาตั้งเป็นกองทุนให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการปฏิรูปการศึกษา ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการ
รศ.วรากรณ์ กล่าวด้วยว่า ในอนาคต 5 ปีข้างหน้า จะเกิดประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) ขึ้น เพื่อรวมพลังกันหาประโยชน์ ทางด้านเศรษฐกิจ การศึกษา ดังนั้น หากให้ความสำคัญของ "คน" เราต้องเริ่มกันตั้งแต่วันนี้ มองไปอีก 30 ปีข้างหน้าจะเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาระบบใหม่ได้ทัดเทียมโลก