- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- “เสมา1” ตีปี๊บ 3เดือนบุกเยี่ยมบ้านนร. หนุนสร้าง “พลเมือง” หัวใจปฏิรูป
“เสมา1” ตีปี๊บ 3เดือนบุกเยี่ยมบ้านนร. หนุนสร้าง “พลเมือง” หัวใจปฏิรูป
หลังนายกฯ เปิดม่าน “สัปดาห์ปรองดองแห่งชาติ 21-27 ก.ค.” ชี้ศธ.มี 3 ลักษณะพิเศษหนุนความสำเร็จขบวนปรองดองได้ พร้อมย้ำการ “พัฒนาคน” คือคำตอบการแก้ปัญหา ส่วนศธ. วาง 3 ยุทธศาสตร์หนุนปฏิรูปปท.พร้อมแจกงานจัดกิจกรรมรวมพลังปรองดอง
วันนี้ (21 ก.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ถ่ายทอดสดพิธีเปิด “สัปดาห์แห่งความปรองดองแห่งชาติ” ระหว่างวันที่ 21-27 ก.ค. 2553 ภายใต้โครงการ “ศธ.รวมพลังสร้างความปรองดองเพื่อเดินหน้าปฏิรูปประเทศไทย” จัดโดยกระทรวงศึกษาธิการ ณ ห้องส่งกรมประชาสัมพันธ์ โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิด ทั้งนี้มีการเชื่อมต่อสัญญาณถ่ายทอดสดแสดงกิจกรรมกระบวนการเรียนรู้เพื่อ สร้างความปรองดองจากจ.พิษณุโลก จ.อุบลราชธานี และจ.สุราษฎร์ธานี พร้อมกันด้วย โดยมีการแสดงสดเปิดงานจากตัวแทนนักเรียน ชุด "เด็กไทยจับมือผู้ใหญ่ร่วมใจปฏิรูปประเทศ" เพื่อเชิญชวนพลังเด็กและเยาวชนไทยร่วมเดินหน้าปฏิรูปประเทศไทย
ช่วงแรกนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงบทบาทสำคัญของกระทรวงศึกษาธิการในการร่วมขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศไทยว่า กระทรวงศึกษาธิการมี 3 ลักษณะพิเศษที่เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความสำเร็จของการสร้างความปรองดอง 1.กระทรวงศึกษาธิการมีภารกิจหลักเฉพาะในการพัฒนาคน ซึ่งคือหัวใจความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ซึ่งคนด้วยกันเองเป็นผู้สร้างปัญหาขึ้นมา
2.กระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวข้องกับเรื่องของความรู้และความคิด ซึ่งการแก้ไขปัญหาใดๆ ต้องตั้งอยู่บนฐานความมีสติ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้เมื่อทุกคนใช้ฐานความรู้และความคิดในทางสร้างสรรค์มาแก้ปัญหา ต้องยอมรับว่าหลายปัญหาในอดีตใช้อารมณ์ ความรู้สึก บางครั้งใช้ความเห็นที่ไม่ตรงกับคนอื่นทำให้เกิดความขัดแย้งและทำลายล้างกัน ไม่ใช้สติในการแก้ ดังนั้นต้องใช้ฐานความรู้วิชาการ และ 3.กระทรวงศึกษาธิการเป็นกระทรวงแห่งอนาคต เพราะสร้างคนอีกรุ่นหนึ่งที่ต้องมาดูแลรับผิดชอบบ้านเมืองต่อไป ซึ่งพลังของเด็กและเยาวชนหากนำมาสร้างพลังเชิงบวกได้ก็จะเป็นพลังมหาศาลในการขับเคลื่อนสังคมสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงกว้างและระดับประเทศชาติในที่สุด
นายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า หัวใจสำคัญของการปรองดองอยู่ที่ความสนใจและความมีส่วนร่วมของประชาชน การผลักดันแผนปรองดองจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนต้องเข้ามาร่วมผลักดันอย่างเต็มที่ ปัญหาที่บ้านเมืองกำลังเผชิญอยู่ทั้งหมดไม่ใช่ปัญหาที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากคนผู้สร้างปัญหา เกิดความขัดแย้ง ไม่สามารถมีแนวปฏิบัติในการอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ในลักษณะที่มีการให้เกียรติซึ่งกันและกัน และนำไปสู่การปรองดองหรือการขับเคลื่อนอย่างมีพลัง เพราะฉะนั้นเมื่อคนสร้างปัญหาขึ้นคนก็จะต้องแก้ไขปัญหาด้วย ดังนั้นเรื่องของการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าหรือเพื่อวางรากฐานให้สังคมเข้มแข็งในอนาคต หรือมีความปรองดองอย่างแท้จริงนั้น สิ่งสำคัญที่สุดจึงอยู่ที่การพัฒนาคน
สำหรับการพัฒนาคนนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในการแก้ปัญหานั้น คือ การพัฒนาคน โดยต้องสร้างการปลูกฝังจิตสำนึก ค่านิยมที่ถูกต้อง ที่จะทำให้คนไทยมีความรู้ ความสามารถ มีความหลากหลาย มีคุณธรรมจริยธรรมและมีความพร้อมในการที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการอยู่ภายใต้การปฏิรูปการศึกษารอบสองอยู่แล้ว ที่มุ่งเน้นการสร้างความพร้อมให้คนไทยทุกคนได้เรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ และมีทักษะการดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพด้วย
“ระบบการศึกษานอกจากจะให้ความรู้กับประชาชนแล้วยังต้องปลูกฝังและสร้างทักษะของการดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันกับคนอื่นในสังคมด้วย โดยเฉพาะสังคมตามธรรมชาติที่มีความแตกต่างและหลากหลาย การที่จะดำเนินการตรงนี้ให้สำเร็จจำเป็นต้องปฏิรูปปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกระบวนการเรียนการสอน ซึ่งสิ่งที่ดีที่สุดคือการเรียนรู้จากการปฏิบัติและการทำกิจกรรม ที่ทุกคนตั้งแต่เด็ก นักเรียน นักศึกษา ผู้ใหญ่ในสังคมต้องร่วมกันสร้างและเรียนรู้
"เหตุการณ์ที่ผ่านมาได้เห็นเด็กและเยาวชนมีความพยายามในการสร้างสรรค์ สิ่งดีๆ มาโดยตลอดโดยมีพลังจิตอาสาเห็นการรวมตัวกันเป็นอาสาสมัคร เชื่อว่าความสามารถของเด็กและเยาวชนไทยไม่เป็นรองใคร มีพื้นฐานทางจิตใจที่ดีอยู่แล้ว อยู่ที่สามารถนำพลังตรงนี้มาร่วมขับเคลื่อนได้หรือไม่เท่านั้น วันนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ไม่ใช่การจัดกิจกรรมเพียงวันหรือสัปดาห์เดียว จะต้องนำไปสู่การขยายผล ขยายเครือข่ายเพื่อผลักดันการปรองดองและการปฏิรูปให้สำเร็จต่อไป” นายกรัฐมนตรีกล่าว และว่า หวังว่ากิจกรรมในวันนี้จะเป็นต้นแบบกิจกรรมต่างๆ ในอนาคตให้ภาคส่วนต่างๆ ในสังคมได้ร่วมรับรู้เป็นแรงบันดาลใจ เพื่อปลูกฝังกระตุ้นค่านิยมที่ถูกต้องในการเป็นพลเมืองที่ดีต่อสังคมประชาธิปไตยที่มีความหลากหลาย ที่ต้องเอามาใช้ประโยชน์เป็นพลังในการสร้างสิ่งดีๆ ร่วมกันต่อชุมชน ต่อสังคมในอนาคตด้วย
จากนั้นนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ให้สัมภาษณ์ถึงแนวทางการดำเนินงานโครงการ “สัปดาห์ปรองดองแห่งชาติ” ว่า มีเป้าหมายที่สำคัญในการดึงทุกภาคส่วนเข้าร่วมโดยเฉพาะตัวนักเรียน นักศึกษา ครู บุคลาการทางการศึกษา กรรมการสถานศึกษา และประชาชน จากนี้ไปจะต้องมีการจัดกิจกรรมที่หลากหลายอยู่เป็นระยะ โดยในสัปดาห์นี้ทุกสถานศึกษาจะต้องจัดกิจกรรมสร้างความปรองดองตั้งแต่ในห้องเรียนจนถึงชุมชน ส่วนอาชีวศึกษาจะมีกิจกรรมเทิดไท้องค์ราชันย์และขยายกิจกรรมศูนย์เทคนิค (Technique Center)
นายชินวรณ์ กล่าวอีกว่า ส่วนอุดมศึกษาจะต้องไปสำรวจของความเหลื่อมล้ำในสังคมและนำสู่แนวทางการเยียวยาต่อไป ส่วนการศึกษานอกโรงเรียนจะดำเนินการส่งเสริมประชาธิปไตยเพื่อชีวิตที่จะนำเด็กและเยาวชนเข้ามาร่วมกระบวนการกิจกรรมทั้งหมด สำหรับการพัฒนาหลักสูตรจะดำเนินการปรับเนื้อหา เน้นการใช้การศึกษาเพื่อสร้างความเป็นพลเมืองให้เข้มข้นขึ้น โดยให้เคารพกติกา เคารพผู้อื่น อยู่ร่วมกันกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานจะมีบทบาทการเปลี่ยนแปลงสำคัญในเรื่องนี้ ซึ่งทั้งหมดนี้ทุกองค์กรจะต้องร่วมมือกัน
“การจะสร้างคนให้มีความเข้มแข็งนั้น จะต้องสร้างคนให้เป็นพลเมืองดีซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญของเมือง โดยจะต้องมีความรู้ เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก เป็นคนดี ใฝ่รู้ ใฝ่ดี คิดและแก้ปัญหาเป็น และที่สำคัญคือมีความรับผิดชอบ มีวินัยในตนเอง ใช้วิธีทางปัญญาในการแก้ปัญหา”
รมว.ศธ. กล่าวด้วยว่า ระยะ 3 เดือนจากนี้เดือนส.ค.-ก.ย.จะมุ่งเดินหน้าจัดกิจกรรมเพื่อสร้างความปรองดองตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ 3 ยุทธศาสตร์ นอกจากนี้จะมีกิจกรรมที่สำคัญคือ การเยี่ยมบ้านนักเรียนนักศึกษา ตั้งแต่ระดับผู้บริหารกระทรวงทุกคน ผู้บริหารสถานศึกษา ครูอาจารย์ จะลงไปเยี่ยมบ้านนักเรียนทุกครอบครัวเพื่อเข้าถึงปัญหาและทำความเข้าใจนักเรียนอย่างแท้จริง
รมว.ศธ. กล่าวอีกว่า กระทรวงศึกษาธิการมีส่วนเกี่ยวข้องกับความปรองดองทั้งในฐานะสร้างคน ซึ่งมีนักเรียนและนักศึกษากว่า 18 ล้านคน และมีครูกว่า 7 แสนคนที่ต้องพัฒนาคนเหล่านี้เพื่อขับเคลื่อนสังคม , กระทรวงศึกษาธิการเป็นที่สร้างความรู้ ซึ่งจะต้องทำหน้าที่สร้างความรู้ที่ดี โดยการปรังปรุงเปลี่ยนแปลงหลักสูตรและการสอนเพื่อการพัฒนาคนให้รู้จักเคารพผู้อื่น เคารพกติกา ให้อยู่ร่วมกันในสังคมได้ และในฐานะที่กระทรวงสร้างอนาคตของประเทศชาตินั้นต้องร่วมใจปฏิรูปประเทศไทยร่วมใจปฏิรูปการศึกษาด้วย เพราะไม่มีรากฐานใดเท่ากับสร้างการพัฒนาคนเพื่ออนาคต
นางสาวนริศรา ชวาลตันพิพัทธ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงบทบาทบของอาชีวศึกษาว่า จะต้องทำให้ผู้เรียนสามารถมีรายได้ระหว่างเรียนด้วย และจะมีศูนย์เทคนิค (Technique Center) ร่วมทำกิจกรรมกับชุมชน เช่น ซ่อม สร้างสิ่งต่างๆ ในพื้นที่ รวมถึงการสร้างอาชีพให้ชุมชนด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่อาชีวศึกษาจะร่วมกับกระทรวงเพื่อให้นักศึกษามีจิตอาสา จิตสาธารณะกับชุมชน
นายไชยยศ จิรเมธาการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ภาคอุดมศึกษานั้นต้องร่วมกันทั้งคณาจารย์ นักวิชาการในมหาวิทยาลัยรวมถึงตัวนิสิตนักศึกษา ซึ่งได้เสนอให้รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนิสิตนักศึกษาจัดให้มีสมัชชานิสิตนักศึกษาของแต่ละมหาวิทยาลัย เพื่อสร้างแนวทางความสมานฉันท์เสนอต่อรัฐบาล โดยจากนี้จะต้องมุ่งเน้นเรื่องจิตอาสาและจิตสาธารณะ
นายเฉลียว อยู่สีมารักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ไม่ได้คิดแค่จัดกิจกรรมเพียงสัปดาห์เดียว แต่จะต้องทำตลอดไป โดยพยายามจัดกิจกรรมฝึกนักเรียนให้มีจิตอาสาซึ่งต้องใช้เวลา และต้องฝึกฝนตั้งแต่ในกระบวนการเรียนรู้ในห้องเรียน เพื่อปลูกฝังจิตอาสาและจิตสำนึกความเป็นไทยด้วย โดยจะพยายามจัดกิจกรรมเป็นระยะๆ เพื่อสร้างกิจกรรมที่จะเข้าไปในกระบวนการสอน
ส่วนดร.สุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา กล่าวว่า ส่วนของอุดมศึกษานั้นมหาวิทยาลัยจะต้องปรับบทบาทลงไปสัมผัสกับชุมชนให้มากขึ้น ตัวอย่างขณะนี้ เช่น มหาวิทยาลัยมหิดลที่ให้นักศึกษาทุกคณะที่เกี่ยวกับการสาธารณสุขต้องลงไปช่วยเหลือ ให้บริการ ร่วมกิจกรรมกับชุมชนพื้นที่ เป็นต้น
รศ.ธงทอง จันทรางศุ เลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) และประธานคณะกรรมการพัฒนาการศึกษาเพื่อสร้าง ความเป็นพลเมือง กล่าวว่า การจัดกิจกรรมเปิดตัวสัปดาห์ความปรองดองแห่งชาตินี้เป็นเพียงการนำร่องกิจกรรมให้เห็นแนวทางการจัดการเรียนรู้เพื่อสร้างความปรองดอง ซึ่งขณะนี้ได้จัดทำคู่มือตัวอย่างการทำกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อสร้างความปรองดองขึ้น หากผู้ใดสนใจสามารถเข้าไปดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ของกระทรวงศึกษาธิการ และ 5 องค์กรหลักของกระทรวงศึกษาได้
ทั้งนี้กระทรวงศึกษาธิการเห็นว่าการสร้างความเป็นพลเมือง คือ หัวใจสำคัญของการปฏิรูปประเทศ โดยได้วาง 3 ยุทธศาสตร์หลักในการสร้างความปรองดองแห่งชาติ คือ 1.สร้างเสริมให้สถาบันการศึกษาทุกระดับเสริมทักษะและสำนึกของความเป็นพลเมือง เพื่อเป็นกำลังสำคัญของบ้านเมือง 2.สร้างเครือข่ายและช่องทางการขับเคลื่อนและขยายผลอย่างยั่งยืน และ 3.สร้างความตระหนักและระดมทรัพยากรจากทุกภาคส่วน เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาการศึกษาเพื่อสร้างความเป็นพลเมือง
ช่วงแรกนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงบทบาทสำคัญของกระทรวงศึกษาธิการในการร่วมขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศไทยว่า กระทรวงศึกษาธิการมี 3 ลักษณะพิเศษที่เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความสำเร็จของการสร้างความปรองดอง 1.กระทรวงศึกษาธิการมีภารกิจหลักเฉพาะในการพัฒนาคน ซึ่งคือหัวใจความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ซึ่งคนด้วยกันเองเป็นผู้สร้างปัญหาขึ้นมา
2.กระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวข้องกับเรื่องของความรู้และความคิด ซึ่งการแก้ไขปัญหาใดๆ ต้องตั้งอยู่บนฐานความมีสติ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้เมื่อทุกคนใช้ฐานความรู้และความคิดในทางสร้างสรรค์มาแก้ปัญหา ต้องยอมรับว่าหลายปัญหาในอดีตใช้อารมณ์ ความรู้สึก บางครั้งใช้ความเห็นที่ไม่ตรงกับคนอื่นทำให้เกิดความขัดแย้งและทำลายล้างกัน ไม่ใช้สติในการแก้ ดังนั้นต้องใช้ฐานความรู้วิชาการ และ 3.กระทรวงศึกษาธิการเป็นกระทรวงแห่งอนาคต เพราะสร้างคนอีกรุ่นหนึ่งที่ต้องมาดูแลรับผิดชอบบ้านเมืองต่อไป ซึ่งพลังของเด็กและเยาวชนหากนำมาสร้างพลังเชิงบวกได้ก็จะเป็นพลังมหาศาลในการขับเคลื่อนสังคมสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงกว้างและระดับประเทศชาติในที่สุด
นายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า หัวใจสำคัญของการปรองดองอยู่ที่ความสนใจและความมีส่วนร่วมของประชาชน การผลักดันแผนปรองดองจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนต้องเข้ามาร่วมผลักดันอย่างเต็มที่ ปัญหาที่บ้านเมืองกำลังเผชิญอยู่ทั้งหมดไม่ใช่ปัญหาที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากคนผู้สร้างปัญหา เกิดความขัดแย้ง ไม่สามารถมีแนวปฏิบัติในการอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ในลักษณะที่มีการให้เกียรติซึ่งกันและกัน และนำไปสู่การปรองดองหรือการขับเคลื่อนอย่างมีพลัง เพราะฉะนั้นเมื่อคนสร้างปัญหาขึ้นคนก็จะต้องแก้ไขปัญหาด้วย ดังนั้นเรื่องของการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าหรือเพื่อวางรากฐานให้สังคมเข้มแข็งในอนาคต หรือมีความปรองดองอย่างแท้จริงนั้น สิ่งสำคัญที่สุดจึงอยู่ที่การพัฒนาคน
สำหรับการพัฒนาคนนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในการแก้ปัญหานั้น คือ การพัฒนาคน โดยต้องสร้างการปลูกฝังจิตสำนึก ค่านิยมที่ถูกต้อง ที่จะทำให้คนไทยมีความรู้ ความสามารถ มีความหลากหลาย มีคุณธรรมจริยธรรมและมีความพร้อมในการที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการอยู่ภายใต้การปฏิรูปการศึกษารอบสองอยู่แล้ว ที่มุ่งเน้นการสร้างความพร้อมให้คนไทยทุกคนได้เรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ และมีทักษะการดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพด้วย
“ระบบการศึกษานอกจากจะให้ความรู้กับประชาชนแล้วยังต้องปลูกฝังและสร้างทักษะของการดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันกับคนอื่นในสังคมด้วย โดยเฉพาะสังคมตามธรรมชาติที่มีความแตกต่างและหลากหลาย การที่จะดำเนินการตรงนี้ให้สำเร็จจำเป็นต้องปฏิรูปปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกระบวนการเรียนการสอน ซึ่งสิ่งที่ดีที่สุดคือการเรียนรู้จากการปฏิบัติและการทำกิจกรรม ที่ทุกคนตั้งแต่เด็ก นักเรียน นักศึกษา ผู้ใหญ่ในสังคมต้องร่วมกันสร้างและเรียนรู้
"เหตุการณ์ที่ผ่านมาได้เห็นเด็กและเยาวชนมีความพยายามในการสร้างสรรค์ สิ่งดีๆ มาโดยตลอดโดยมีพลังจิตอาสาเห็นการรวมตัวกันเป็นอาสาสมัคร เชื่อว่าความสามารถของเด็กและเยาวชนไทยไม่เป็นรองใคร มีพื้นฐานทางจิตใจที่ดีอยู่แล้ว อยู่ที่สามารถนำพลังตรงนี้มาร่วมขับเคลื่อนได้หรือไม่เท่านั้น วันนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ไม่ใช่การจัดกิจกรรมเพียงวันหรือสัปดาห์เดียว จะต้องนำไปสู่การขยายผล ขยายเครือข่ายเพื่อผลักดันการปรองดองและการปฏิรูปให้สำเร็จต่อไป” นายกรัฐมนตรีกล่าว และว่า หวังว่ากิจกรรมในวันนี้จะเป็นต้นแบบกิจกรรมต่างๆ ในอนาคตให้ภาคส่วนต่างๆ ในสังคมได้ร่วมรับรู้เป็นแรงบันดาลใจ เพื่อปลูกฝังกระตุ้นค่านิยมที่ถูกต้องในการเป็นพลเมืองที่ดีต่อสังคมประชาธิปไตยที่มีความหลากหลาย ที่ต้องเอามาใช้ประโยชน์เป็นพลังในการสร้างสิ่งดีๆ ร่วมกันต่อชุมชน ต่อสังคมในอนาคตด้วย
จากนั้นนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ให้สัมภาษณ์ถึงแนวทางการดำเนินงานโครงการ “สัปดาห์ปรองดองแห่งชาติ” ว่า มีเป้าหมายที่สำคัญในการดึงทุกภาคส่วนเข้าร่วมโดยเฉพาะตัวนักเรียน นักศึกษา ครู บุคลาการทางการศึกษา กรรมการสถานศึกษา และประชาชน จากนี้ไปจะต้องมีการจัดกิจกรรมที่หลากหลายอยู่เป็นระยะ โดยในสัปดาห์นี้ทุกสถานศึกษาจะต้องจัดกิจกรรมสร้างความปรองดองตั้งแต่ในห้องเรียนจนถึงชุมชน ส่วนอาชีวศึกษาจะมีกิจกรรมเทิดไท้องค์ราชันย์และขยายกิจกรรมศูนย์เทคนิค (Technique Center)
นายชินวรณ์ กล่าวอีกว่า ส่วนอุดมศึกษาจะต้องไปสำรวจของความเหลื่อมล้ำในสังคมและนำสู่แนวทางการเยียวยาต่อไป ส่วนการศึกษานอกโรงเรียนจะดำเนินการส่งเสริมประชาธิปไตยเพื่อชีวิตที่จะนำเด็กและเยาวชนเข้ามาร่วมกระบวนการกิจกรรมทั้งหมด สำหรับการพัฒนาหลักสูตรจะดำเนินการปรับเนื้อหา เน้นการใช้การศึกษาเพื่อสร้างความเป็นพลเมืองให้เข้มข้นขึ้น โดยให้เคารพกติกา เคารพผู้อื่น อยู่ร่วมกันกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานจะมีบทบาทการเปลี่ยนแปลงสำคัญในเรื่องนี้ ซึ่งทั้งหมดนี้ทุกองค์กรจะต้องร่วมมือกัน
“การจะสร้างคนให้มีความเข้มแข็งนั้น จะต้องสร้างคนให้เป็นพลเมืองดีซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญของเมือง โดยจะต้องมีความรู้ เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก เป็นคนดี ใฝ่รู้ ใฝ่ดี คิดและแก้ปัญหาเป็น และที่สำคัญคือมีความรับผิดชอบ มีวินัยในตนเอง ใช้วิธีทางปัญญาในการแก้ปัญหา”
รมว.ศธ. กล่าวด้วยว่า ระยะ 3 เดือนจากนี้เดือนส.ค.-ก.ย.จะมุ่งเดินหน้าจัดกิจกรรมเพื่อสร้างความปรองดองตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ 3 ยุทธศาสตร์ นอกจากนี้จะมีกิจกรรมที่สำคัญคือ การเยี่ยมบ้านนักเรียนนักศึกษา ตั้งแต่ระดับผู้บริหารกระทรวงทุกคน ผู้บริหารสถานศึกษา ครูอาจารย์ จะลงไปเยี่ยมบ้านนักเรียนทุกครอบครัวเพื่อเข้าถึงปัญหาและทำความเข้าใจนักเรียนอย่างแท้จริง
รมว.ศธ. กล่าวอีกว่า กระทรวงศึกษาธิการมีส่วนเกี่ยวข้องกับความปรองดองทั้งในฐานะสร้างคน ซึ่งมีนักเรียนและนักศึกษากว่า 18 ล้านคน และมีครูกว่า 7 แสนคนที่ต้องพัฒนาคนเหล่านี้เพื่อขับเคลื่อนสังคม , กระทรวงศึกษาธิการเป็นที่สร้างความรู้ ซึ่งจะต้องทำหน้าที่สร้างความรู้ที่ดี โดยการปรังปรุงเปลี่ยนแปลงหลักสูตรและการสอนเพื่อการพัฒนาคนให้รู้จักเคารพผู้อื่น เคารพกติกา ให้อยู่ร่วมกันในสังคมได้ และในฐานะที่กระทรวงสร้างอนาคตของประเทศชาตินั้นต้องร่วมใจปฏิรูปประเทศไทยร่วมใจปฏิรูปการศึกษาด้วย เพราะไม่มีรากฐานใดเท่ากับสร้างการพัฒนาคนเพื่ออนาคต
นางสาวนริศรา ชวาลตันพิพัทธ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงบทบาทบของอาชีวศึกษาว่า จะต้องทำให้ผู้เรียนสามารถมีรายได้ระหว่างเรียนด้วย และจะมีศูนย์เทคนิค (Technique Center) ร่วมทำกิจกรรมกับชุมชน เช่น ซ่อม สร้างสิ่งต่างๆ ในพื้นที่ รวมถึงการสร้างอาชีพให้ชุมชนด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่อาชีวศึกษาจะร่วมกับกระทรวงเพื่อให้นักศึกษามีจิตอาสา จิตสาธารณะกับชุมชน
นายไชยยศ จิรเมธาการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ภาคอุดมศึกษานั้นต้องร่วมกันทั้งคณาจารย์ นักวิชาการในมหาวิทยาลัยรวมถึงตัวนิสิตนักศึกษา ซึ่งได้เสนอให้รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนิสิตนักศึกษาจัดให้มีสมัชชานิสิตนักศึกษาของแต่ละมหาวิทยาลัย เพื่อสร้างแนวทางความสมานฉันท์เสนอต่อรัฐบาล โดยจากนี้จะต้องมุ่งเน้นเรื่องจิตอาสาและจิตสาธารณะ
นายเฉลียว อยู่สีมารักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ไม่ได้คิดแค่จัดกิจกรรมเพียงสัปดาห์เดียว แต่จะต้องทำตลอดไป โดยพยายามจัดกิจกรรมฝึกนักเรียนให้มีจิตอาสาซึ่งต้องใช้เวลา และต้องฝึกฝนตั้งแต่ในกระบวนการเรียนรู้ในห้องเรียน เพื่อปลูกฝังจิตอาสาและจิตสำนึกความเป็นไทยด้วย โดยจะพยายามจัดกิจกรรมเป็นระยะๆ เพื่อสร้างกิจกรรมที่จะเข้าไปในกระบวนการสอน
ส่วนดร.สุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา กล่าวว่า ส่วนของอุดมศึกษานั้นมหาวิทยาลัยจะต้องปรับบทบาทลงไปสัมผัสกับชุมชนให้มากขึ้น ตัวอย่างขณะนี้ เช่น มหาวิทยาลัยมหิดลที่ให้นักศึกษาทุกคณะที่เกี่ยวกับการสาธารณสุขต้องลงไปช่วยเหลือ ให้บริการ ร่วมกิจกรรมกับชุมชนพื้นที่ เป็นต้น
รศ.ธงทอง จันทรางศุ เลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) และประธานคณะกรรมการพัฒนาการศึกษาเพื่อสร้าง ความเป็นพลเมือง กล่าวว่า การจัดกิจกรรมเปิดตัวสัปดาห์ความปรองดองแห่งชาตินี้เป็นเพียงการนำร่องกิจกรรมให้เห็นแนวทางการจัดการเรียนรู้เพื่อสร้างความปรองดอง ซึ่งขณะนี้ได้จัดทำคู่มือตัวอย่างการทำกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อสร้างความปรองดองขึ้น หากผู้ใดสนใจสามารถเข้าไปดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ของกระทรวงศึกษาธิการ และ 5 องค์กรหลักของกระทรวงศึกษาได้
ทั้งนี้กระทรวงศึกษาธิการเห็นว่าการสร้างความเป็นพลเมือง คือ หัวใจสำคัญของการปฏิรูปประเทศ โดยได้วาง 3 ยุทธศาสตร์หลักในการสร้างความปรองดองแห่งชาติ คือ 1.สร้างเสริมให้สถาบันการศึกษาทุกระดับเสริมทักษะและสำนึกของความเป็นพลเมือง เพื่อเป็นกำลังสำคัญของบ้านเมือง 2.สร้างเครือข่ายและช่องทางการขับเคลื่อนและขยายผลอย่างยั่งยืน และ 3.สร้างความตระหนักและระดมทรัพยากรจากทุกภาคส่วน เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาการศึกษาเพื่อสร้างความเป็นพลเมือง