- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- นายกฯ หนุน “1 จังหวัด 1 มหาวิทยาลัย” สั่งศธ.-สกอ.ชงเข้าครม.
นายกฯ หนุน “1 จังหวัด 1 มหาวิทยาลัย” สั่งศธ.-สกอ.ชงเข้าครม.
สถาบันอุดมศึกษาระดมสมองพลิกบทบาทหันมา “รับใช้สังคม-ชุมชนท้องถิ่น” กลุ่มม.รัฐ รับบท “รับใช้ชุมชน” ม.นอกระบบ-ราชภัฏ-ราชมงคลผนึกกำลังลงท้องถิ่น ด้านม.เอกชน วอนสังคมเลิกกล่าวหา “มุ่งกำไร” พร้อมเสนอรัฐเปิดช่องอุดหนุนงบฯ
วันนี้ (2 ส.ค.) ณ อาคารคอนเวนชั่นเซนเตอร์ อิมแพ็คเมืองทองธานี จ.นนทบุรี สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และมูลนิธิพัฒนาไท จัดประชุมระดมความคิดเห็นจากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ เพื่อร่วมสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่ โดยใช้บทบาทของสถาบันอุดมศึกษาการจัดประชุมครั้งนี้ มีการระดมความคิดเห็น “ข้อเสนอเพื่อปฏิบัติการของแต่ละมหาวิทยาลัยกับขบวนการร่วมสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่” จาก 5 กลุ่มมหาวิทยาลัย ได้แก่ มหาวิทยาลัยรัฐ มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ มหาวิทยาลัยราชภัฏ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล และมหาวิทยาลัย/วิทยาลัย/สถาบันอุดมศึกษาเอกชน
ม.รัฐเตรียมปรับบทบาท “รับใช้ชุมชน”
รศ.บุญสม ศิริบำรุงสุข อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในฐานะตัวแทนกลุ่มมหาวิทยาลัยรัฐ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยต้องปรับบทบาทเพื่อร่วมสร้างสังคมใน 7 ประเด็นสำคัญ ดังนี้ 1.มหาวิทยาลัยต้องปรับมุมมองพันธกิจให้สอดคล้องและพัฒนาฐานสังคมท้องถิ่น 2.มหาวิทยาลัยต้องเรียนรู้ร่วมกันกับชุมชนและช่วยให้ท้องถิ่นมีความเข้มแข็งดูแลตนเองได้อย่างยั่งยืน 3.ต้องสร้างจิตสำนึกให้ทุกคนในสถาบันตระหนักและมีส่วนในการดูแลชุมชน และร่วมสร้างจิตสำนึกที่เป็นธรรมในสังคม 4.มหาวิทยาลัยต้องทำฐานข้อมูลของพื้นที่อย่างครบถ้วนรวมถึงข้อมูลที่เป็นทุนทางปัญญาของพื้นที่ด้วย 5.สร้างความรู้ร้อนรู้หนาวให้ทุกคนในสถาบันร่วมทุกข์ร่วมสุขไปพร้อมกับคนในสังคม 6.การวิจัยเชิงพื้นที่มหาวิทยาลัยจะต้องกำหนดประเด็นนโยบายในการวิจัย และ7.ต้องนำศาสตร์ที่เกี่ยวกับการพัฒนาชุมชนมาสอนในหลักสูตรให้มากที่สุดเพื่อให้การเรียนการสอนมีจิตวิญญาณ
อธิการบดี ม.สงขลานครินทร์ กล่าวถึงแนวทางดำเนินการว่า มหาวิทยาลัยควรตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาชุมชน, สร้างความชัดเจนในการแบ่งพื้นที่ให้มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งดูแล,โครงการบัณฑิตอาสาที่รวมข้อมูลปัญหาพื้นที่มาแก้ไขนั้นต้องได้รับการสนับสนุน, ถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีสู่ชุมชนอย่างต่อเนื่อง, ปรับหลักสูตรภาคสนามให้บัณฑิตตระหนักในปัญหาสาธารณะ, สนับสนุน 1 จังหวัด 1 มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยต้องเร่งสร้างความไว้วางใจจากชุมชนกลับคืนมา
ม.นอกระบบ-ราชภัฏ-ราชมงคล ผนึกกำลังลงท้องถิ่น
ส่วนกลุ่มมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ รศ.นพ.อำนาจ อยู่สุข รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนาคุณภาพนักศึกษาและกิจการพิเศษมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยต้องมีบทบาทสร้างจิตสำนึกของคนในสถาบันทุกคนให้มีส่วนร่วมต่อการทำให้ชุมชนมีความสุข,สถาบันต้องมีโครงสร้างรองรับชุมชน เช่น ให้มีสถาบันวิทยาการชุมชนและนวัตกรรมจังหวัดเพื่อสานต่องานอย่างต่อเนื่อง,ต้องต่อยอดงานวิจัยเพื่อชุมชนให้ใช้งานได้จริง,สนับสนุนให้ชุมชนมีความเข้มแข็งมีความสุข โดยให้ชุมชนเป็นผู้คิด ส่วนมหาวิทยาลัยทำหน้าที่กระตุ้นและสนับสนุน,ดำเนินการโครงการ 1 จังหวัด1มหาวิทยาลัย ให้ยึดจังหวัดเป็นตัวตั้งและเป็นเจ้าของเรื่อง และสกอ.ต้องมีโครงสร้างดูแลรองรับเรื่องนี้, สร้างนโยบายที่ชัดเจนทั้งรัฐ จังหวัดและมหาวิทยาลัย, งานวิจัยชุมชนมหาวิทยาลัยต้องยึดโจทย์ความจำเป็นในพื้นที่ไม่ใช่แค่สนองความต้องการคนในชุมชนเท่านั้น รวมถึงทำการถ่ายทอดความรู้เทคโนโลยีสู่ชุมชน
ด้านรศ.ดร.ชวนี ทองโรจน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ในฐานะตัวแทนกลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏ กล่าวว่า จะเน้นบทบาทเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น ซึ่งเป็นหัวใจของมหาวิทยาลัยราชภัฏ โดยจะพิจารณาสร้างหลักสูตรเพื่อท้องถิ่น สร้างการวิจัยแก้ปัญหาท้องถิ่นอย่างจริงจัง เช่น กรณีมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ที่เป็นต้นแบบการสร้างหน่วยวิจัยร่วมแก้ปัญหาชุมชน เป็นต้น จะผนึกกำลังเครือข่ายมหาวิทยาลัยราชภัฏจัดทำฐานข้อมูลจังหวัดรวมทั้งประเทศ ทั้งมิติสิ่งแวดล้อม การท่องเที่ยว ฯลฯ และอาจตั้งศูนย์การเรียนรู้ของชุมชนเพื่อเป็นที่พึ่งประชาชน และเสนอให้รัฐอุดหนุนทุนวิจัยด้านการเมืองภาคประชาชนและการติดตามเฝ้าระวังความขัดแย้งในพื้นที่ด้วย
ส่วนผศ.ยุทธนา หริรักษาพิทักษ์ รองอธิการบดีด้านวิจัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ ในฐานะตัวแทนกลุ่มมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล กล่าวว่า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 9 แห่งจะสนับสนุนเสริมกลไกระดับจังหวัดใน 6 ประเด็นที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลมีความถนัดในเทคโนโลยีและภาคอุตสาหกรรม คือ ให้โอกาสทางการศึกษาทั้งในและนอกระบบแก่ชุมชน และยกระดับสถานศึกษาในแต่ละจังหวัดให้มีคุณภาพเท่าเทียมกัน,ทำความเข้าใจอาชีพในพื้นที่ พร้อมยกระดับอาชีพและสร้างรายได้ให้ชุมชน โดยให้นักศึกษาทำวิจัยพัฒนาภายใต้การดูแลของอาจารย์, เป็นที่ปรึกษาชุมชนและจังหวัด,ช่วยสื่อสารประสานความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาท้องถิ่นแบบบูรณาการพร้อมประเมินผลติดตามอย่างต่อเนื่อง,สร้างการวิจัยที่ชุมชนต้องการและถ่ายทอดความรู้เทคโนโลยี จัดตั้งศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านอาชีพ (Call Center) และส่งเสริมบุคลาการ นักศึกษาร่วมกิจกรรมชุมชนโดยเฉพาะด้านศาสนาและศิลปวัฒนธรรมให้เกิดความเข้าใจวิถีชีวิตชุมชน
จี้สังคม เลิกมองสถาบันการศึกษาเอกชนมุ่งกำไร
ดร.มัทนา สานติวัตร อธิการบดีมหาวิทยาลัยกรุงเทพ กล่าวถึงข้อเสนอของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนว่า บทบาทหลักของสถาบันอุดมศึกษาควรประกอบด้วย 1. เป็นแหล่งวิจัยและสะสมองค์ความรู้ในด้านพฤติกรรมและผลกระทบด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองระดับชาติ 2. มีนักวิชาการและองค์ความรู้ที่สามารถสนองต่อนโยบายแห่งรัฐและติดตามประเมินผลความสำเร็จของนโยบายอย่างยั่งยืน 3. มีเครือข่ายของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนที่สามารรถระดมกำลังจากนักวิชาการเพื่อทำวิจัยและให้บริการชุมชนทั้งระดับพื้นที่และประเด็นสำคัญ และ 4 การพัฒนาบทบาทของนักศึกษาต่อการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อชุมชน สังคม และประเทศ
อธิการบดีม.กรุงเทพ กล่าวว่า ต้องมีการปรับทัศนคติของคนไทยและหน่วยงานภาครัฐที่มีต่อสถาบันอุดมศึกษาเอกชนที่มองว่าสถาบันการศึกษาเอกชนทำเพื่อกำไร ทำให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนค่อนข้างยาก โดยเฉพาะการอุดหนุนจากหน่วยงานภาครัฐ และ 2. การแก้ไขความเหลื่อมล้ำในการได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ โดยการปรับปรุงพ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 เพื่อให้มีการสนับสนุนงบประมาณลงถึงมหาวิทยาลัยเอกชนได้โดยตรง
นายกฯ หนุน “1 จังหวัด1 มหาวิทยาลัย”
จากนั้นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เดินทางมารับฟังความคิดเห็น โดยยอมรับว่า ช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเกิดช่องว่างระหว่างอุดมศึกษากับสังคมไทย ที่อุดมศึกษามักเป็นเรื่องของชนชั้นนำในสังคม แต่ขณะนี้อุดมศึกษาก็พยายามปรับตัวขึ้นพยายามเข้ามาส่วนร่วมกับชุมชน ตนเห็นด้วยกับแนวคิด 1จังหวัด1 มหาวิทยาลัย เพราะเป็นเรื่องที่ดีมากเชื่อว่าสามารถทำได้ มหาวิทยาลัยควรเป็นตัวกลางเชื่อมทุกภาคส่วนในสังคมและควรนำภาคเอกชนมาร่วมด้วย
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า จะให้รัฐมนตรีในกระทรวงศึกษาธิการ เร่งนำประเด็นนี้เสนอเข้าสู่ครม. โดยให้สกอ. ร่วมกับสสส. ในขั้นแรกนี้จะต้องเร่งทำกำหนดให้ได้ว่าใครจะรับผิดชอบส่วนใดบ้าง และจะแบ่งพื้นที่รับผิดชอบให้แต่ละมหาวิทยาลัยอย่างไร ซึ่งตนเห็นว่าควรให้มหาวิทยาลัยที่เติบโตจากชุมชนใกล้ชิดชุมชนเข้ามารับผิดชอบ ส่วนมหาวิทยาลัยหลักชั้นนำควรจะมีบทบาทในการเป็นแม่ข่ายทำงานเชิงระหว่างพื้นที่จังหวัดเพื่อให้การทำงานสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
ส่วนเรื่องงบประมาณอุดหนุนแนวคิดนี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คาดว่ากองทุนสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน(สสค.) หรือสสส.ทางการศึกษาจะช่วยรองรับได้
“วิกฤติชาติปัญหาวันนี้เกิดจากขาดการจัดการข้อมูล และขาดการประมวลทักษะมาใช้แก้ปัญหา ดังนั้นการปฏิรูปและการปรองดองจะสำเร็จได้ขึ้นอยู่กับกระบวนการว่าจะทำอย่างไรบ้าง คิดว่านี่จะเป็นโอกาสในการเอานักศึกษามาร่วมฟื้นฟู จิตอาสาพัฒนา ถ้าสำเร็จในการจูงใจให้เด็กและเยาวชนมาร่วมเปลี่ยนบทบาทในการร่วมปฏิรูปได้ ก็จะถือว่าเป็นการปฏิรูปการศึกษาด้วย”
หมอวิจารณ์ชู “โมเดลวิชาการสายรับใช้สังคม”
ด้านศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ประธานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวว่า ข้อเสนอในวันนี้จะเป็นพันธะสัญญาระยะยาวไม่เฉพาะแค่รัฐบาลใดๆ เป็นพันธะสัญญาที่ต้องลงมือทำร่วมกันทั้งสังคม ซึ่งตนขอเสนอให้รัฐต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐานรองรับงานวิชาการสายรับใช้สังคมเพื่อคู่ขนานกับวิชาการสายนานาชาติที่กำลังดำเนินการกันอยู่ในปัจจุบัน แต่ต้องเน้นหนุนวิชาการสายรับใช้ให้มากกว่า และเสนอให้รัฐลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานในการสนับสนุนสร้างวิชาการสายรับใช้สังคม โดยใช้เวลา 10 ปี ลงทุนปีละ 100-1,000 ล้านบาท หรือรวมประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งเชื่อว่ารัฐลงทุนเพียงส่วนเดียว อีก 9เท่าผู้ได้รับประโยชน์จะเข้ามาช่วยลงทุน รวมถึงพัฒนาการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการด้วยไอซีที และเสนอให้สกอ.ต้องมีโครงสร้างรองรับวิชาการสายรับใช้สังคมด้วย ส่วนทุกมหาวิทยาลัยควรมีตำแหน่งรองอธิการบดีด้านสังคม
ประธานกกอ. กล่าวถึงแนวทางของการสร้างงานวิชาการสายรับใช้สังคมนั้น จะต้องยึดการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างสถาบันการศึกษากับชุมชน ไม่ใช่มหาวิทยาลัยเข้าไปในท้องถิ่นโดยยึดตนเองเป็นผู้รู้ อีกทั้งเสนอให้ปรับปรุงระบบประเมินผลและให้ตำแหน่งทางวิชาการที่ไม่ได้คำนึงถึงอาจารย์ที่อุทิศตัวทำงานเพื่อสังคมตลอดชีวิตที่ถูกมองข้ามและไม่ได้รับการยอมรับนับถือจากสังคมด้วย
“ต้องสร้างวัฒนธรรมใหม่ สร้างวิธีคิดใหม่ให้มหาวิทยาลัยร่วมกันปฏิรูปประเทศไทย และเชื่อว่าอีก 10 ปีข้างหน้าอุดมศึกษาไทยจะเปลี่ยน ปฏิรูปตัวเองได้จากที่เคยเหินห่างจากสังคม จะเข้ามาใกล้ชิดสังคมมากขึ้น”
ช่วงท้ายนายสุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) กล่าวว่า ยอมรับระบบประเมินค่าผลงานทางวิชาการยังเป็นด้านเดียว ยังคงมีอาจารย์ที่ทำงานรับใช้สังคมอุทิศตนตลอดชีวิตแต่ถูกมองข้ามและไม่ได้รับการยอมรับนับถือ ซึ่งประเด็นนี้สกอ.จะต้องรับไปปรับต่อไป